Monday, April 25, 2011

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม ” จาก “ สภษ.4:18 ”

สภษ.4:18 แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน
วิถีทางหรือวิถีของแสงอรุณ คือ ค่อยๆ ฉายสุกใสขึ้นจนเต็มวัน แสงอรุณยามเช้าอบอุ่น อ่อนโยน เมื่อเวลาสายก็จะค่อยๆ ร้อนขึ้น และจะสว่างเต็มที่เมื่อถึงเวลาเที่ยง แม้ในช่วงเวลากลางคืนที่เรามองไม่เห็นแสงอาทิตย์นั้น ไม่ได้หมายความว่า แสงอาทิตย์จะดับไปหรือไม่ฉายแสง เพียงแต่เวลาเช้าของซีกโลกหนึ่ง กลายเป็นเวลากลางคืนของอีกซีกโลกหนึ่งเท่านั้น
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรมก็เป็นเช่นนั้นแหละ
“ผู้ชอบธรรม” คือ ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงประทานความชอบธรรมให้เราผ่านความเชื่อ
รม.4:22-24 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน แต่คำว่า "ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน" นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย
เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า และกลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระองค์ พระเจ้าสัญญาว่าวิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม จะไม่มีวันตกต่ำลง จะมีแต่สูงขึ้นทางเดียว หรือแม้ล้มลงแล้ว เราก็สามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ แต่เงื่อนไขหนึ่งที่เราต้องระวังรักษาให้ได้ นั่นคือ “ความเชื่อ”
เชื่อวางใจในพระเจ้า แม้ไม่เข้าใจพระองค์ทั้งหมด เชื่อและกระทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่ง แม้เราไม่เห็นด้วยกับพระองค์ทั้งหมด สิ่งนี้จะทำให้เรารับพระพร ผู้เชื่อที่เพียงแต่เชื่อโดยไม่กระทำตาม ผู้นั้นรับความรอด แต่ขาดพระพร ขาดกำลัง เป็นลูกของพระเจ้า แต่ไม่ได้รับเกียรติให้เป็นทหารในกองทัพของพระองค์
ยก.5:16 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล
ผู้ชอบธรรมต้องรักษาความเชื่อ เพื่อพลังแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าจะอยู่กับเราตลอดไป

1. วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม จะเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม และวิถีของโลก ทุกอย่างจะเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า
ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก จนกระทั่งปัจจุบันและอนาคต ทุกสิ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์
ตัวอย่างจากชนชาติยิว ชนชาติเล็กๆ ที่ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา แม้จะถูกกดขี่ข่มเหงจากหลายชาติ
แม้ร่อนเร่พเนจรไม่มีประเทศของตัวเองมานาน แต่พระเจ้าก็สามารถให้พวกเขาตั้งประเทศอิสราเอลสำเร็จในปี ค.ศ.1948
เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม (ต้นกำเนิดของยิว) และพระองค์รักษาสัญญานั้น
ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"

ผู้เชื่อ (คริสเตียน) ก็เป็นยิวฝ่ายวิญญาณ เราได้รับพระสัญญาแห่งพระพรนั้นด้วย
เราเริ่มต้นจากเล็กน้อย แต่กลายเป็นผู้นำของโลกใบนี้ได้
1คร.1:26-28 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

อัครทูตกลุ่มเล็กๆ ที่ขาดการศึกษา ฐานะยากจน แต่กลายเป็นผู้คว่ำโลกได้ แต่ทุกวันนี้ทุกท่านรับเกียรติยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
พระเจ้าทรงเลือกสิ่งเล็กน้อยให้เติบโตกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
สิ่งที่พระเจ้าต้องการย้ำกับเรา คือ ผู้ชอบธรรม เหมือน “แสงอาทิตย์” แต่เราไม่ได้เป็น “ดวงอาทิตย์”
ดวงอาทิตย์นั้น เปรียบกับ พระเจ้า พระองค์ฉายแสงผ่านเรา เราเป็นเพียงพระฉายของพระเจ้าเท่านั้น
ดังนั้น อยากฉายแสงได้มาก ก็ต้องรับการสร้างให้มาก อย่ารับแต่การเลี้ยง ต้องรับการสร้างด้วย
ส่วนใหญ่เราชอบให้คน “อุ้ม” แต่เมื่อถูก “ดุ” เราไม่ชอบ
แต่จำไว้ว่า คุณค่าของเราจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมรับการสร้างจากพระเจ้า
การเลี้ยงทำให้เรามีชีวิตเติบโต แต่เราจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเรารับการสร้าง
ผู้สร้าง จะเอาส่วนที่บดบังแสงออกจากชีวิตของเรา เพื่อให้เราฉายแสงและความสว่างนั้นได้เต็มที่

ปญจ.11:5 เจ้าไม่ทราบทางลมว่าไปทางไหน และกระดูกมีขึ้นในมดลูกของหญิงที่มีครรภ์อย่างไรฉันใด เจ้าก็จะไม่ทราบถึงกิจ การของพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัดฉันนั้น
ยน.3:8 ลม {ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ} ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน
ฟังดูแล้วพระวจนะของพระเจ้าอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่พระวจนะ 2 ข้อนี้เตือนให้เรารู้ว่า
พระเจ้าทรงกระทำราชกิจของพระองค์เสมอ แม้เรามองไม่เห็นก็ตาม
และพระราชกิจหลักๆ นั้น พระเจ้าทรงกระทำผ่านพระวจนะของพระองค์
ในอนาคตแม้โลกต้องแตกดับ แม้อะไรจะต้องเสื่อมสลายไป แต่พระวจนะจะยังดำรงอยู่และเป็นจริงตามนั้น
ดังนั้น ผู้ชอบธรรมต้องเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า แล้ววิถีชีวิตของเราจะเป็นดั่งที่พระเจ้าตรัสไว้

2. หนทางในการมีวิถีชีวิตอย่างแสงอรุณ
แม้ทุกคนที่เชื่อ จะได้เป็นผู้ชอบธรรมสำหรับพระเจ้า แต่ในขบวนการที่จะเข้าสู่วิถีชีวิตอย่างแสงอรุณนั้น
ตัวเราต้องทำในส่วนที่เราสมควรทำ แล้วพระเจ้าจะกระทำส่วนของพระองค์

2.1 ต้องเริ่มต้นจากการคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่คิดอย่างผู้แพ้
ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"
สดด.8:5-6 เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
ผู้ที่จะมีวิถีชีวิตดั่งแสงอรุณ ต้องเป็นคนคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้
เราเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน เพราะเราถูกสร้างจากพระฉายของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราให้เก่งอย่างพระองค์
พระเจ้าทรงสร้างเราให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราเย่อหยิ่ง
แต่ทำให้เราตระหนักถึงความจริงว่า เราเป็นพันธุ์ของพระเจ้า ต้องมีลักษณะชีวิตอย่างพระองค์
คือ เป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้ในทุกสถานการณ์

พ่อของข้าพเจ้าสอนเสมอว่า “เขาก็คน เราก็คน ถ้าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้”
“ไม่มีใครเก่งมาจากท้องแม่ ทุกคนมาเก่งนอกท้องแม่ทั้งนั้น”
นี่คือคำสอนที่กระตุ้นให้ข้าพเจ้าคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

นอกจากนี้ ขอเพิ่มเติมแนวคิดที่จะทำให้เราคิดอย่างผู้ชนะได้ ดังนี้

ก. คนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนเชื่อมั่นตลอดว่า “ฉันทำได้”
คนที่เชื่อมั่น ไม่ได้หมายความว่า เขาจะชำนาญหรือเชี่ยวชาญทุกเรื่อง
แต่เขาเชื่อว่าเขาทำได้ เขามีความบากบั่น เขามีความอุตสาหะในการฝึกฝน
คนอื่นอาจจะสำเร็จก่อนก็ไม่เป็นไร เขาจะสำเร็จด้วย แม้จะต้องสำเร็จหลังคนอื่นก็ตาม
อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวไว้เสมอๆ ว่า “ผมเป็นคนช้า แต่ผมไม่เคยหยุดเดิน”
แล้วเราก็เห็นแล้วว่าผลของการไม่หยุดเดิน ไม่หยุดในการมุมานะทำสิ่งต่างๆ ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ข. ต้องไม่ยึดติดความคิดเดิมๆ
เราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ถูกผลิตขึ้นมาเสมอ เพราะนักประดิษฐ์ไม่เคยพอใจอะไรเดิมๆ
เขาไม่ยึดติดความคิดเดิม แต่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นเสมอ
ถ้าเอดิสัน พอใจแค่การใช้เทียนอย่างที่เราเคยใช้กันมา วันนี้เราก็ไม่มีหลอดไฟที่ใช้ส่องสว่างได้มากกว่า
ดังนั้น อยากชนะ อยากสำเร็จ ต้องไม่ยึดติดความคิดเดิมๆ

ค. เราต้องเป็นนักบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จ หรือความล้มเหลว จะฉายแสง หรือจะอับแสง ส่วนหนึ่งขึ้นกับการจัดการเรื่องเวลา
คนที่ไม่ไปถึงหลักชัยก็เพราะบริหารเวลาไม่เป็น
ตลอดชีวิตของเรามีเพียงไม่กี่สิ่งที่เราต้องบริหาร นั่นได้แก่ (1) สิ่งจำเป็น (2) สิ่งต้องทำ (3) สิ่งอยากทำ
เราต้องเรียงลำดับมันให้ถูกต้อง เวลาที่มีจำกัดสิ่งจำเป็นต้องทำก่อน แล้วค่อยทำสิ่งที่ต้องทำ
เมื่อเวลาเหลือ จึงไปทำในสิ่งที่อยากทำ ... แต่ถ้าเวลาจำกัดให้ตัดส่วนนี้ออกไปเลย
คนที่เก่งและประสบความสำเร็จในโลก เขาเลือกเก่งเพียงไม่กี่อย่าง
ในขณะที่คนล้มเหลว อยากเก่ง อยากทำทุกเรื่อง แต่แล้วก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
คนเรามีแค่ 2 แขน 2 ขา 1 ชีวิต เราต้องคิดให้ถูกต้อง
อยากชนะ ต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

ง. ไม่หยุดเรียนรู้
คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็เพราะผิดพลาดแล้วไม่กล้าแก้ไข ไม่กล้าเรียนรู้
วีรบุรุษและวีรสตรีที่แท้จริง ล้วนเคยล้มเหลวมาแล้ว แต่เขาไม่หยุดที่จะเรียนรู้
เพราะหยุดเรียน คือ หยุดรู้ และหยุดการเป็นผู้นำ
แต่การเรียนรู้ไม่หยุด ทำให้เราพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้เรื่องในเรื่องนั้นๆ ได้

จ. ยอมรับความจริงว่าชีวิตมีขึ้นลง มีแพ้ มีชนะ
ที่กล่าวว่าวิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีตกต่ำลงนั้น
หมายถึง การขึ้นเรื่อยๆ อย่างเส้นกราฟ ... คือ ขึ้นตลอดก็จริง แต่ในอัตราการขึ้นนั้น จะมีขึ้นๆ ลงๆ บ้าง
ตลอดชีวิตของเรา จะเจอทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ เสียงชื่นชมและเสียงก่นด่า
เป็นเรื่องธรรมของชีวิต ที่เราต้องกล้ายอมรับมันให้ได้

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

จ. ทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีกว่ามาตรฐาน
คนที่จะมีชีวิตอย่างผู้ชนะ คือ คนที่ทำอะไรก็ทำอย่างดีที่สุด เป็นอะไรก็เป็นให้ดีที่สุด
ทำให้ดีกว่ามาตรฐานที่ผู้อื่นและสังคมวางไว้ ทำให้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ทำมากกว่าที่คนอื่นขอให้ทำ
การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะขึ้นถึงยอดเขาได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากตีนเขา ฐานเขา
การทำดีที่สุดนี่แหละ เป็นรากฐานที่ดีที่สุดส่งผลให้ชีวิตเราสูงส่งได้

2.2 ต้องตระหนักถึงความเป็นพิเศษ และการเป็นคนพิเศษของเรา
ปัญหาที่เราเป็นแสงอรุณไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเรา
เราไม่ได้ตระหนักว่าเราเป็นคนพิเศษและมีความเป็นพิเศษอยู่ในชีวิต

ก. ลักษณะของคนพิเศษ คือ กล้าคิดและกล้าทำ
คนที่จะเป็นแสงอรุณได้นั้น ต้องกล้าคิด และกล้าทำ
เมื่อไตร่ตรอง ใคร่ครวญแล้วว่าสิ่งที่จะทำเป็นประโยชน์ ลงมือทำทันที โดยไม่สนใจคนเยาะเย้ยหรือมีคำถาม
แสงเทียนนั้นดับได้ง่ายๆ แต่แสงอรุณไม่มีวันดับ
ดังนั้น อย่าให้ใครมาดับความคิด ดับความกล้าและดับการกระทำที่ดีที่ถูกต้องของเราได้

ข. กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า
ความกล้าอย่างนี้ ต้องเป็นความกล้าคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำ
ไม่ใช่กล้าอย่างบ้าบิ่นหรือไร้สติ กล้าแบบนั้นมีแต่พัง มีแต่พินาศ

ค. กล้าเริ่มต้นใหม่ และกล้าก้าวข้าม
ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ แต่เราจะได้มันมา ต้องมีการลงมือกระทำ
ในการลงมือกระทำนั้น ต้องมีความกล้า ล้มแล้วก็กล้าเริ่มใหม่ และกล้าที่จะก้าวข้ามสิ่งที่เคยเป็นความล้มเหลวในอดีตให้ได้

ง. กล้าเผชิญกับทุกสถานการณ์
เราจะกลายเป็นคนพิเศษ และฉายแสงอย่างพิเศษได้ ต้องกล้าเผชิญทุกสถานการณ์
ทำอะไรลงไปแล้ว ต้องกล้าขอความเห็นจากผู้อื่น ต้องกล้าเผชิญหน้า ไม่ใช่หลบหน้าหลบตา
ฟป.4:11-13 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
เปาโล กล้าเผชิญทุกสถานการณ์ เพราะท่านตระหนักว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย
เราก็ควรจะกล้าเช่นเดียวกัน เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเราด้วย

2.3 เป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น
เราจะมีชีวิตเหมือนแสงอรุณได้ เราต้อง “เป็น” อย่างที่พระเจ้าให้เรา “เป็น”
พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็น ผู้ซึ่งเราเป็น” (อพย.3:14)
พระเจ้าทรงสร้างทุกคนให้เป็นปัจเจกบุคคลที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ดังนั้น เราจึงควรเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น และเป็นให้ดีที่สุด
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
ตัวอย่างของเปาโลอีกเช่นกัน ท่านเป็นอย่างที่พระคุณของพระเจ้าให้เป็น
และเราก็เห็นแล้วว่า การเป็นเช่นนั้น ทำให้ชีวิตของท่านฉายแสงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ก. จะเป็นได้ ต้องมีความคิดเป็นอิสระ
ยน.8:36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ
เราทุกคนเกิดมาพร้อมความเป็นพิเศษของพระเจ้าในชีวิต เพียงแต่เราต้องค้นหาให้เจอว่าความพิเศษนั้นคืออะไร
และเราจะค้นหาสิ่งนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่เป็นอิสระ เราเป็นไท ไม่ใช่ถูกบังคับ โดยผู้อื่นหรือกระแสสังคม
วันนี้เราจะเป็นอะไรอย่างไรไม่สำคัญ เพราะคนสรุปเราที่ “ผลงาน”
ผลงานนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องพิสูจน์ชีวิตของเราว่าเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เป็นแล้ว
ยังเป็นเครื่องยืนยันด้วยว่า เราเป็นสาวกที่แท้จริงของพระเจ้า
ยน.15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา

ข. เราต้องค้นหาตัวตนของเราต่อไป และภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
1ทธ.2:7 และสำหรับการนี้ข้าพเจ้าจึงได้ถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดจริงไม่ปดเลย) และเป็นครูสอนความเชื่อและความจริงแก่คนต่างชาติ
เปาโล ค้นพบตัวตนและความสามารถ ความเป็นพิเศษของท่าน
เราเองก็ต้องมุ่งมั่นที่จะค้นหาต่อไปจนพบ และเมื่อพบแล้วจงภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นนั้น
โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะพระเจ้าสร้างเราให้พิเศษไม่เหมือนกัน

ค. เราต้องเป็นคนหนักแน่น ไม่ถูกซัดไปมาด้วยเสียงต่างๆ
อฟ.4:14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
เราต้องหนักแน่น มั่นคงในสิ่งที่เราเป็น อย่าให้ใครมาจูงจมูก มาจูงชีวิตของเราได้
เราต้องเป็นปลาเป็นที่ว่ายทวนกระแส ไม่ใช่ตามกระแส
เป็นอย่างที่เราเป็น เป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น ไม่ใช่เป็นอย่างที่คนอื่นบอกให้เราเป็น

ง. พระเจ้ามอบชีวิตให้เราเป็นผู้ดูแล เราต้องกำหนดชีวิตตัวเอง
พระเจ้ามอบชีวิตของเราให้เราเป็นผู้ดูแลอารักขา
ดังนั้น ชีวิตของเรา เราต้องเป็นคนกำหนดเอง โดยใช้สติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้
ไม่ใช่จะเป็นอะไร จะทำอะไร จะกินอะไร จะใส่เสื้อสีอะไร ต้องถามพระเจ้าตลอด
กจ.20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น
เปาโล รู้ว่าพระเจ้าให้รับใช้พระองค์ ก็ตัดสินใจรับใช้ตามหน้าที่นั้นให้สำเร็จ
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

วันนี้ถ้าเรารู้และมั่นใจว่า พระเจ้าทรงใช้ให้เราทำสิ่งนั้น ก็จงทำสิ่งนั้นทันที

2.4 ต้องเป็นคนที่อึดและมุ่งมั่น
วิถีชีวิตของเราจะฉายแสงของพระเจ้าได้ เราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
ก็ต่อเมื่อ เราต้องเป็นคนที่อึดและมุ่งมั่น ไม่สำเร็จ ไม่ยอมเลิกเรา
จะสำเร็จช้าหรือเร็ว ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญ เราต้องสำเร็จ
เราต้องเห็นภาพความสำเร็จปรากฏตรงหน้าเราอยู่เสมอ และมุ่งมั่นให้ได้รับสิ่งนั้น
แต่ย้ำว่า เราไม่ได้สำเร็จในทุกเรื่อง เราจะสำเร็จในเรื่องที่เราถนัดและในสิ่งที่เราเป็นเท่านั้น

2.5 ไปให้ไกลกว่าเงินที่เราได้รับ ไปให้ไกลกว่างานที่รับมอบหมาย ไปให้ไกลกว่าเกียรติที่เราได้รับ
คนที่จะเป็นเหมือนแสงอรุณ ต้องเป็นคนที่มองไกล ไปไกล และทำไกลกว่าคนอื่น
ไกลกว่าเงินที่ได้รับ ไกลกว่างานที่รับมอบหมาย และไกลกว่าเกียรติที่ผู้อื่นมอบให้
เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถทำได้ดั่งนี้ ให้มั่นใจเลยว่า เรากำลังฉายแสงของพระเจ้า
และชีวิตของเราจะส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

No comments:

Post a Comment