Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น ” จาก “ ฉธบ.28:13, มธ.5:13-14 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น ” จาก “ ฉธบ.28:13, มธ.5:13-14 ”

ฉธบ.28:13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง
มธ.5:13-16 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
พระวจนะทั้งสองตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้เชื่อ คือ เป็นชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์มากขึ้น ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา ... ไม่มีมนุษย์คนใดอยากมีชีวิตที่ตกต่ำลง ไม่มีมนุษย์คนใดอยากมีชีวิตที่ไร้ค่า ทุกคนอยากสูงขึ้นและอยากเป็นประโยชน์ขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น พระวจนะของพระเจ้ามีแนวทางสนับสนุนให้เราก้าวไปสู่จุดนั้นได้
คำว่า “สูงขึ้น” ในที่นี้ ไม่ได้เป็นการมักใหญ่ใฝ่สูงหรือเป็นพวกหัวสูง แต่หมายถึง คุณธรรมในชีวิตสูงขึ้น วุฒิภาวะสูงขึ้น ความเข้าใจชีวิตสูงขึ้น สติปัญญาสูงขึ้น ... เมื่อสิ่งเหล่านี้สูงขึ้น วัตถุหรือทรัพย์สินที่เรามีย่อมสูงขึ้นเช่นกัน
ส่วนคำว่า “เป็นประโยชน์ขึ้น” นั้น พระเจ้าทรงเปรียบผู้เชื่อเหมือน “เกลือและแสงสว่างของโลก” พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นประโยชน์เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพระเจ้าคงใช้คำว่า “เกลือและแสงสว่างของบ้านหรือของประเทศ” แต่พระเจ้าใช้คำว่า “ของโลก” หมายถึง คนของพระเจ้าไม่ว่าอยู่ส่วนใดของโลกก็เป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับโลก นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์

ขบวนการที่จะนำชีวิตให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น
การที่เราจะมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นนั้น ไม่ได้ใช้เฉพาะข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย
ระบบการศึกษา ให้แต่ปัญญา โดยปราศจากคุณธรรม ... ทำให้คนเก่งขึ้น แต่ก็เลวขึ้นด้วย
“คุณธรรม” ต้องนำ “ปัญญา” มนุษย์จึงจะสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นอย่างแท้จริง
คุณธรรม เกิดขึ้นได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่ใส่เข้าไป แล้วเกิดดอกออกผลเป็นชีวิตและจิตวิญญาณ
สังเกตดูประเทศที่เชื่อพระเจ้า คนที่เชื่อพระเจ้า เจริญก้าวหน้าสูงขึ้นกันทุกประเทศ ทุกคน
เพราะเขาได้รับทั้งข้อมูล (ปัญญา) และคุณธรรมผ่านพระวจนะของพระเจ้า
เราเองก็สามารถสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นได้ด้วยแนวทางของพระวจนะ ดังนี้

1. ต้องมีเป้าหมายชีวิต
คนที่จะมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเป็นผู้ที่มีเป้าหมายชีวิต
การใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ หรือไปตายเอาดาบหน้า ไม่คิดถึงอนาคต ไม่มีเป้าหมาย ไม่สามารถทำให้ชีวิตเราสูงขึ้นได้
มีคำหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ฟังจากโฆษณาเกี่ยวกับเป้าหมายในการตีกอล์ฟ
คำนั้นกล่าวว่า “ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ แม้พลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว”
เป็นคำที่สอนชีวิตเราได้ดีมาก การตั้งเป้าหมายของชีวิตนั้น เราต้องตั้งให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะแม้ทำพลาดหรือทำไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ... ชีวิตของเราก็สูงกว่าเดิม
แม้ไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่การอยู่ท่ามกลางดวงดาวก็มีคุณค่าสูงกว่าการอยู่บนพื้นดินมากนัก
แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายต่ำ เมื่อทำพลาดหรือไปไม่ถึง เราจะพบว่าชีวิตเราไม่ได้ก้าวไกลไปจากเดิมเลย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ดังนั้น ขอหนุนใจว่าหากอยากมีชีวิตที่สูงขึ้น เราต้องมีเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายนั้นต้องเป็นเป้าหมายที่สูงด้วย
“ถ้าตั้งเป้าหมายสูง ชีวิตเราจะไม่มีวันตกต่ำ”

ฟป.3:12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ฟป.3:14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
พระวจนะตอนนี้ เป็นคำพูดของเปาโล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายชีวิตที่สูงส่ง
แม้ท่านจะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ท่านเองไม่เคยคิดว่าชีวิตอยู่จุดสูงสุดแล้ว
ทุกวันท่านยัง “บากบั่น” เพื่อไปสู่เป้าหมายและหลักชัยที่สูงขึ้น
การบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้ก็จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับชีวิต
อีกทั้งยังทำให้ชีวิตของเราเป็นประโยชน์มากขึ้นและสูงส่งขึ้นด้วย

2. ต้องเป็นคนธรรมดาที่ “ไม่ธรรมดา”
การมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นนั้น ไม่เพียงต้องมีเป้าหมายชีวิตเท่านั้น
แต่เรายังต้องเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ...
ที่จริงแล้วคริสเตียนก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่เชื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง ทำให้เราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ก็เพราะเรามี “พระเจ้าที่พิเศษในชีวิต”
พระองค์จะสร้างชีวิตของเราให้พิเศษขึ้น เพื่อให้เราทำสิ่งพิเศษให้เกิดขึ้นในโลกนี้

เรื่องความพิเศษนี้ไม่ใช่เป็นการพูดให้ความหวังลอยๆ แก่ผู้เชื่อ แต่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว
ชีวิตของเปโตรกับยอห์น เป็นตัวอย่าง
กจ.4:13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู
เปโตรและยอห์น เป็นเพียงคนธรรมดา เป็นชาวประมง เป็นคนสามัญ เป็นคนขาดการศึกษา
แต่สามารถพูดจาโต้ตอบกับพวกผู้ใหญ่ในสภาซันเฮดรินในสมัยนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
สภาซันเฮดริน เป็นการประชุมบรรดาผู้นำของประชาชนชาวยิว ประกอบด้วยนักบวช ธรรมาจารย์และผู้อาวุโส
พูดกันง่ายๆ คือ สามารถพูดจาโต้ตอบกับบรรดานักปราชญ์และผู้มีการศึกษาได้อย่างเข้าใจ ทั้งๆ ที่ขาดการศึกษา
คนในสภาพากันประหลาดใจและได้พบคำตอบว่า “คนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู”
พวกเขาใช้ชีวิตกับพระเยซูคริสต์สามปีครึ่ง ฟังคำสอน รับใช้พระเจ้าร่วมกับพระองค์
พระเจ้าเป็นผู้ทำให้คนธรรมดา ... กลายเป็นคนไม่ธรรมดาอีกต่อไป
ทุกวันนี้แม้ตัวของท่านจากไป ก็ยังคงมีมหาวิหารที่ระลึกถึงชีวิตของท่าน ชื่อเสียงของท่านไม่เคยจางหายไปจากโลกเลย
พระองค์สามารถทำในชีวิตของเปโตรและยอห์นอย่างไร พระเจ้าจะทำในชีวิตของเราด้วย (ถ้าเรายอมให้พระองค์ทำ)

แนวคิดในการสร้างคนธรรมดาให้เป็นคนที่ไม่ธรรมดา
2.1 อย่าคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนวิเศษหรือเก่งกาจกว่าคนอื่น
ทุกคนในโลกที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เป็นคนวิเศษหรือเก่งกาจกว่าคนอื่น
ทุกคนก็เป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนกับเรา แต่เขากล้าที่จะทำชีวิตที่ธรรมดาให้เป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องของบุญหรือกรรม ไม่ใช่เรื่องการสูงกว่าหรือต่ำกว่า
แต่เป็นเรื่องของการลงมือกระทำ

2.2 งานทุกงาน ล้วนมีปัญหาและอุปสรรค
งานทุกงาน ล้วนมีปัญหาและอุปสรรค
ในการก้าวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นก็เช่นกัน หนทางนั้นเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค
ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเหนื่อย ชีวิตจะสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น เราต้องเหนื่อยในการแก้ไขปัญหา
คนธรรมดา เมื่อเจอปัญหา จะท้อถอย ไม่กล้าเผชิญหน้าและยอมแพ้ต่ออุปสรรค
แต่คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา จะกล้าฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคนั้น

ยชว.1:6-7 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะกระทำให้ชนชาตินี้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษ ของเขาทั้งหลายว่าจะยกให้เขา เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชา เจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความ สำเร็จอย่างดี
ฉธบ.31:6-7 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิดอย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย" แล้วโมเสสเรียกโยชูวาเข้ามาและกล่าวแก่ท่านต่อหน้าคนอิสราเอลว่า "จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิดเพราะท่านจะต้อง ไปกับชนชาตินี้เข้าไป ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะประทานแก่เขา ท่านจงให้เขาได้เข้ายึด ครองแผ่นดินนั้น
ทุกปัญหาชนะได้ ถ้าเรากล้าชน ... พระวจนะของพระเจ้าจึงย้ำกับเราบ่อยๆ ในเรื่องความกล้าหาญ
การแก้ปัญหา เป็นการทวนกระแส ถ้าเราไม่กล้า เราก็เอาชนะมันไม่ได้
ไม่กล้าชน ไม่กล้าแก้ ไม่กล้าเจ็บ ไม่กล้าเหนื่อย ... ไม่สามารถทะลุปัญหาได้
เมื่อปัญหาผ่านเข้ามาในชีวิต เราต้องมีมุมมองและทัศนคติที่ถูกต้อง คือ พยายามหาประโยชน์จากมัน
อย่างคำที่ข้าพเจ้ากล่าวเสมอว่า ทุกสิ่งที่เข้ามากระทบชีวิต มันจะ 1) วัดเรา 2) สร้างเรา 3) สอนเรา
ปัญหาจะวัดความเติบโตของเรา ปัญหาจะสร้างให้เราแกร่งขึ้น และปัญหาจะสอนเราว่าทำอย่างไรจะไม่ผิดพลาดอีก
“ปัญหาไม่ใช่เวรกรรม แต่เป็นวีรกรรม ถ้าเราผ่านพ้นและแก้ไขมันได้”
ถ้าเรามีแนวคิดอย่างนี้ เราจะกลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และสามารถมีชีวิตที่สูงขึ้น เป็นประโยชน์ขึ้นได้

3. ทุกความสำเร็จ จะมีความยากลำบากมาขวางกั้น
การมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นนั้น ถือเป็นความสำเร็จของชีวิต
แต่กว่าจะก้าวไปถึงความสำเร็จนั้นได้ จำไว้ว่า จะมีความยากลำบากมาขวางกั้นเสมอ
ชีวิตเราจะสูงขึ้น ถ้าเรากล้ามอง “อุปสรรค” ที่มาขวางกั้นนั้น เป็น “อุปกรณ์” ในการสร้างชีวิต
ถ้าเราแพ้ต่ออุปสรรคนั้น ชีวิตเราเป็นเพียง “ถ่าน” แต่ถ้าเราผ่านอุปสรรคนั้น ชีวิตเราจึงจะเป็น “เพชร”
กระบวนการเป็นถ่านนั้น ไม่ต้องผ่านความร้อนมาก ไม่ต้องถูกกดดันมาก แต่คุณค่าก็ไม่มากไปด้วย
แต่กว่าจะเป็นเพชรได้ ต้องผ่านความร้อนมาก ผ่านการกดดันมาก ผ่านการตกผลึกอย่างยาวนาน ... แต่คุณค่าก็มากไปด้วย
อย่าลืมว่า “ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้วัดกันที่จุดเริ่มต้น แต่วัดกันที่เส้นชัย
ไม่สำคัญว่าเราเริ่มต้นอย่างไร แต่สำคัญที่เราจบลงอย่างไรต่างหาก”
ถ้าเราจบลงอย่างประสบความสำเร็จ ถ้าเราผ่านความยากลำบากได้ แสดงว่าเราเก่งขึ้น เราแกร่งขึ้น
ดังนั้น อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะความยากลำบากไม่เคยทำลายใคร แต่ความสบายต่างหากที่ทำลายคน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความสบาย ทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทำลายความอดทน ทำลายอนาคตของคน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่สบายๆ ไม่เคยผ่านความยากลำบาก เราจึงไม่ค่อยเจริญเท่าที่ควร
เมื่อเทียบกับประเทศที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากมามาก เขาพัฒนาประเทศสู่ความเจริญได้
เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น เป็นต้น ความลำบาก สอนให้เขาพัฒนาตัวเอง
อีกตัวอย่างคือ ชนชาติยิว ชนชาติที่เผชิญกับความยากลำบากตลอดเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พวกเขาลำบากกันมามาก จนไม่กลัวความยากลำบากอีกเลย

2ทธ.1:10-12 และบัดนี้ได้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการที่พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราเสด็จมา ผู้ได้ทรงกำจัดความตายให้สูญสิ้น และได้ทรงกระทำให้ชีวิตและสภาพอมตะกระจ่างแจ้ง โดยข่าวประเสริฐ สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูตและเป็นครู เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ {หรือ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า} จนถึงวันพิพากษาได้
เปาโล ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อย
แต่เพราะท่านรู้จักพระเจ้า จึงสามารถเผชิญและเอาชนะความยากลำบากนั้นได้
ดังนั้น เมื่อเกิดความยากลำบากในชีวิต ให้เราคิดเสมอว่ามันจะสร้างชีวิตของเรา
แม้ว่าวันนี้ เราอาจจะยังไม่สามารถผ่านพ้นมันไปได้ ก็อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย
เพราะในพระเจ้า เราเริ่มใหม่ สู้ใหม่ได้เสมอ ... ที่สำคัญพระเจ้าเอาใจช่วยเราเสมอ

4. ชีวิตและความสำเร็จของเราต้องเหนือ “ดวง” เหนือ “ดาว”
ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเปิดหน้าหนังสือพิมพ์หรือหนังสือต่างๆ ในบ้านเรา ด้วยความหดหู่ใจ
หนังสือแทบจะทุกเล่ม จะต้องมีการพยากรณ์ “ดวง” ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ “ดาว”
วันนี้ วันนั้น เราจะเป็นอย่างไร คนเกิดวันนี้ วันนั้น จะทำอย่างไร
พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดวงดาวกลายเป็นมีส่วนในการกำหนดชีวิตคน
เพราะคนเชื่อใน “ดวง” จึงจะทำให้ Down (ดาวน์) หรือตกต่ำลงทุกวัน
คนจะสูงขึ้น เป็นประโยชน์ขึ้น ไม่เกี่ยวกับ “ดวง” ไม่เกี่ยวกับ “ดาว” แต่เกี่ยวกับการกระทำของเราเอง

พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สูงส่ง พระเจ้าสร้างให้เราอยู่เหนือดวงดาว อยู่เหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า เราเก่งอย่างพระเจ้า มีปัญญาอย่างพระเจ้า มีความคุณธรรมอย่างพระเจ้า
ปฐก.1:26-28 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิงพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จง ครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
สดด.8:4-6 มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขาและบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
พระเจ้าสร้างเราเป็นผู้ปกครองและควบคุมสรรพสิ่ง ... ทุกอย่างอยู่ใต้เท้าของมนุษย์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จักความจริง ก็ถูกสรรพสิ่งปกครองและควบคุม ผล คือ แทนที่จะมีชีวิตสูงส่ง ชีวิตก็ตกต่ำลง

ชีวิตของคนจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ไม่เกี่ยวกับวันเดือนปี หรือเทวดาหน้าไหน แต่ขึ้นกับการกระทำของเราเอง
คส.2:16-19 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์ อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง และไม่ได้ยึดมั่นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยง และติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆจึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น
ประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่เชื่อพระเจ้า จะส่งยานอวกาศออกนอกโลก ไม่ต้องหาฤกษ์หายาม
ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่ทำเงินทั่วโลก ก่อนเปิดกล้องก็ไม่ต้องทำพิธีบวงสรวงใดๆ
นักการเมืองเข้ารับตำแหน่ง ก็ไม่ต้องปรับเปลี่ยนห้องทำงานให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ประเทศของเขาก็เจริญดี
หันมาดูประเทศของเรา ถอยรถยนต์ออกมาก็ต้องมีการเจิม, แต่งงานก็ต้องหาฤกษ์ยาม, เข้ารับตำแหน่งก็ต้องปรับฮวงจุ้ย,
จะตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ก็ต้องปรึกษาหมอดู ... ผลของมันเป็นอย่างไร เราก็เห็นๆ กันอยู่
ดวงดาว ฤกษ์ยาม ทำให้เราอ่อนแอ เป็นความเข้าใจผิด
เพราะไม่รู้จักความจริงว่ามนุษย์ถูกสร้างให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว นอกจากนั้นล้วนอยู่ใต้เท้าของมนุษย์ทั้งสิ้น

ทุกความสำเร็จ ทุกการสูงขึ้น ทุกการเป็นประโยชน์ขึ้น จะได้มาต้องใช้ความคิด ต้องใช้สมอง
คิดแล้วลงมือกระทำ ทำแล้วต้องทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าบรรลุวัตถุประสงค์
ดวงดาวไม่ได้มีส่วนกำหนดชีวิตของเราแต่อย่างใด การกระทำของเราและพระเจ้าต่างหากเป็นผู้กำหนดชีวิตของเรา
ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยแนวคิดอย่างพระเจ้าและมีพระเจ้าในชีวิต
เราก็สามารถมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นได้อย่างแน่นอน

5. สูตรความสำเร็จและสูงส่ง 5 ประการ
ในการมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น นอกจากแนวทางที่กล่าวมา 4 ประการข้างต้นแล้ว
ยังมีสูตรความสำเร็จอีก 5 ประการสั้นๆ ที่หากใครทำได้ รับรองว่าชีวิตของผู้นั้นจะสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นทันที
5.1 เลิกชั่ว ... เป็นการอุดรูรั่วของชีวิต
ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเรือ ... เรือชีวิตของหลายคนไปไม่ถึงฝั่ง ไม่ถึงความสำเร็จ ไม่ถึงความสูงส่งและไม่ถึงความเป็นประโยชน์
ก็เพราะว่าเรือชีวิตของผู้นั้น เต็มไปด้วยรูรั่ว ที่จริงรูรั่วนิดเดียวก็สามารถทำให้เรือใหญ่จมได้
แต่ถ้าทั้งตัวเราเต็มไปด้วยรูรั่ว ลองคิดดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเรือชีวิตของเรา !!!
ดังนั้น สูตรความสำเร็จประการแรก คือ การเลิกชั่ว ... การเลิกชั่วนั้นจะเป็นการอุดรูรั่วของชีวิต
การหมกมุ่นอยู่กับความชั่วเท่ากับเป็นการเจาะรูรั่วให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข การพนัน ยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย
การพัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มีแต่จะทำให้ชีวิตเราตกต่ำลง และถ้าเราเลิกชั่วได้ ชีวิตของเราจะสูงขึ้นทันที

การทำชั่วบางครั้ง อาจจะทำให้เราได้เงินมาก แต่การมีเงินมากอย่างอธรรม สู้การมีน้อยอย่างชอบธรรมไม่ได้
คนของพระเจ้าแม้จะมีไม่มาก แต่เราจะมีไม่ขาดอย่างแน่นอน
สภษ.10:2-3 คลังทรัพย์อธรรมไม่เป็นกำไร แต่ความชอบธรรมช่วยกู้จากความตาย พระเจ้ามิได้ทรงปล่อยให้คนชอบธรรมหิว แต่พระองค์ทรงขัดขวางความอยากของคนชั่วร้าย
สภษ.15:16 มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระเจ้า ดีกว่ามีคลังทรัพย์ใหญ่ แต่มีความลำบากอยู่ด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

2คร.8:15 ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนที่เก็บได้มากนั้น ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่

5.2 เลิกฟุ่มเฟือย ... ชีวิตจะไม่เน่าเปื่อย
บางคนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความชั่ว แต่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยตลอด ชีวิตก็เน่าเปื่อยลงทุกวัน
มีน้อย แต่ใช้มาก รายได้ต่ำ แต่รสนิยมสูง กินอยู่เกินตัว เห็นเขามีอยากมีบ้าง เอาเงินอนาคตมาใช้ ... ในที่สุดก็ไม่มีอนาคต
สำหรับคนฟุ่มเฟือยนั้น ต่อให้มีมากเท่าใดก็ใช้ไม่พอ ดังนั้น เราต้องรู้จักพอ ชีวิตจึงจะมีความสุข
เก็บเงินที่จะใช้ฟุ่มเฟือยไว้ช่วยเหลือคน ชีวิตจะมีคุณค่าและมีประโยชน์มากขึ้น
ลดความต้องการของตัวเองลง ทำประโยชน์ให้มากขึ้น ... ชีวิตสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ลก.12:15 แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย
1ทธ.6:7-9 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้นแต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิดส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป

5.3 เลิกเกียจคร้าน
หนทางสู่ชีวิตที่สำเร็จและสูงขึ้น คือ เลิกเกียจคร้าน
คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีคุณสมบัติของความขยัน ไม่ใช่ความเกียจคร้าน
คนที่มีมาก บ่อยครั้งไม่ใช่คนที่เก่งมาก แต่เป็นคนที่ทำมากต่างหาก เพราะเขามีความขยันไม่เกียจคร้าน
คนเกียจคร้าน ต่อให้มีมากไม่นานก็หมด คนขยัน แม้มีน้อยก็สามารถทำให้มีมากได้
ที่สำคัญของคนของพระเจ้า ต้องเป็นคนขยัน ไม่ใช่คนเกียจคร้าน
สภษ.6:6-11 คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊ พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงฉลาด โดยปราศจากผู้หัวหน้า เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง และส่ำสมของกินของมันในฤดูเกี่ยว คนเกียจคร้านเอ๋ย เจ้าจะนอนนานเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักนิดหน่อย และความจนจะมาเหนือเจ้าอย่างคนจร และความขัดสน อย่างคนถืออาวุธ
2ธส.3:10 แม้เมื่อเราอยู่กับพวกท่าน เราก็ได้กำชับอย่างนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงานก็อย่าให้เขากิน

5.4 ใช้สติปัญญา (เลิกโง่)
สติปัญญา เป็นสิ่งที่นำชีวิตสู่ความสำเร็จ ... คริสเตียนเป็นพวกที่ใช้ความเชื่อก็จริง แต่เราก็ไม่ใช่พวกที่โยนสมองทิ้ง
เราต้องดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา กินอย่างคนมีปัญญา ใช้อย่างคนมีปัญญา เชื่ออย่างคนมีปัญญา
บ่อเกิดแห่งสติปัญญา คือ พระเจ้าและพระวจนะของพระองค์
สภษ.8:12 เราคือปัญญา อยู่ในความหยั่งรู้ และเราพบความรู้และความเฉลียวฉลาด
อฟ.5:15 เหตุฉะนั้น ท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา

5.5 มีพระเจ้าอวยพร
สำหรับคนที่ไม่มีพระเจ้า ชีวิตของเขาสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้นได้ถ้าทำข้อ 5.1-5.4
แต่สำหรับคนที่มีพระเจ้า มีสิทธิพิเศษมากขึ้น มีกำลังพิเศษมากขึ้น เพราะมีพระเจ้าอวยพร
นำเราไปสู่ความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าและมั่นคงขึ้น
เราเคยได้ยินคำว่า “แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนา แข่งกันไม่ได้” ... พระเจ้า คือ บุญวาสนาของผู้เชื่อในพระองค์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 9 ม.ค. 11 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

รวมถึงคำว่า “เก่งไม่กลัว แต่กลัวเฮง” ... พระเจ้านั่นแหละ คือ ความเฮงในชีวิตคริสเตียน
คนที่ไม่มีพระเจ้า บางคนร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง แต่ยากจนความสุข
บางคนประสบความสำเร็จทางโลก ทางหน้าที่การงาน แต่ล้มเหลวด้านครอบครัว
แต่หากชีวิตของเรามีพระเจ้า พระองค์จะมาพร้อมกับพระพรทั้งวัตถุและทางจิตวิญญาณ
สูตรทางโลก 1+1 = 2 แต่สูตรของพระเจ้า 1+1 อาจจะเท่ากับ 2,000, 000 ก็เป็นได้
เพราะ 1 เรา กับ 1 พระเจ้า รวมกันแล้วไม่มีที่สิ้นสุด รวมกันแล้วใหญ่ที่สุดในโลก
และพระองค์จะให้มากกว่าที่เราคิดและให้มากกว่าที่เราขอเสมอ
อฟ.3:20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อคิดสั้นๆ ของหนังสือเล่มนี้ จะมีส่วนช่วยทำให้ชีวิตของผู้อ่านสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพร

No comments:

Post a Comment