Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ วินัยชีวิต ” จาก “ 1คร.5, สภษ.4:13 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ วินัยชีวิต ” จาก “ 1คร.5, สภษ.4:13 ”

1คร.5:1-5 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ท่านควรที่จะตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้ออกเสียจากพวกท่าน แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้น ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า
คำสอนเรื่อง “วินัยชีวิต” เป็นคำสอนที่สำคัญมาก พระวจนะใน 1คร.5 ทั้งบทเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้วินัย ทำผิดต่อตัวเอง ทำผิดต่อครอบครัว และนำความเดือดร้อนเสื่อมเสียคริสตจักร เปาโลผู้ที่ให้กำเนิดและสร้างคริสตจักรโครินธ์ อีกทั้งยังเป็นอัครทูตของพระเจ้า จึงจำเป็นต้องเขียนจดหมายมาเพื่อสั่งให้คริสตจักรลงวินัยโดยให้ตัดเขาออกจากคริสตจักร เพื่อเป็นการลงโทษผู้ที่กระทำความผิด แต่เจตนาเพื่อช่วยให้เขากลับใจ ไม่ได้ต้องการทำร้ายแต่อย่างใด
เรื่องการลงวินัยของคริสตจักรเป็นเรื่องสำคัญมาก หากถูกตัดออกจากคริสตจักรเมื่อใด สวรรค์ก็จะตัดพรแก่ผู้นั้นด้วย เนื่องจากพระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ไว้ให้กับคริสตจักร สามารถเปิดพรและปิดภัยให้กับผู้เชื่อได้ (มธ.16:19) แต่การลงวินัยของคริสตจักร ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ แต่ต้องทำตามพระคัมภีร์เท่านั้น
“วินัยชีวิต” เป็นสิ่งสำคัญ หากคนปราศจากวินัยก็จะกลายเป็นรูรั่วที่ทำให้เรือชีวิตจมได้ คนไทยส่วนใหญ่มักติดกับคำว่า “ไม่เป็นไร” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปล่อยให้ผ่านไป แต่ที่จริงกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ดีให้เกิดขึ้น เมื่อละเลยเรื่องวินัย ชีวิตก็มีแต่จะล่มจมลง ... พระเจ้าให้ลงวินัยผู้ที่ทำผิด เป็นการรังเกียจพฤติกรรม แต่ไม่ได้รังเกียจผู้ที่กระทำ ถ้าใครรับวินัยแล้วกลับตัวกลับใจ พระเจ้าก็ให้อภัย แต่ใครที่รับวินัยแล้วยังเพิกเฉย พระเจ้าไม่สนับสนุนให้เราคบคนประเภทนี้
คนที่ทำผิดเสมอและไม่ตั้งใจที่จะกลับใจ อยากไปนรก ไม่อยากไปสวรรค์ ก็เป็นเรื่องของเขา เมื่อลงวินัยแล้วยังไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็จำเป็นต้องปล่อย แต่พระองค์จะไม่ปล่อยให้ใครเอาความประพฤติอย่างคนในนรก มาปะปนกับคนที่เป็นของพระเจ้าที่ถือเป็นชาวสวรรค์ ... นี่จึงเป็นที่มาของการลงวินัย

สภษ.4:11-13 เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรมเมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางและถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด จงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
วินัย เป็นเรื่องของปัญญา
พระเจ้าจึงสอนให้เรา “ยึดวินัย” ไว้ อย่าปล่อยวินัยให้หายไปจากชีวิต เพราะวินัยนั้น คือ ชีวิตของคน
• วินัย เป็นตัวกำหนดอนาคต ความมั่นคง ความสงบสุขของชีวิตและสังคม
วินัยกำหนดชีวิต แต่วินัยจะเกิดได้ ต้องมีการสร้าง ถ้าไม่สร้าง วินัยก็ไม่เกิด
วินัยกำหนดความเจริญของคริสตจักรด้วย ในคริสตจักรนั้นความเมตตาต้องมี แต่อย่าลืมว่าวินัยต้องเข้มเช่นกัน
• ใครมีวินัย แสดงว่า ผู้นั้นมีวุฒิภาวะ มีความรอบคอบ มีวิสัยทัศน์
คนที่มีวุฒิภาวะนั้น ไม่ได้อยู่ที่อายุมากหรือน้อย แม้อายุน้อย แต่ถ้าเป็นคนที่มีวินัย ก็ถือเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ
คนที่มีวุฒิภาวะ จะเป็นคนมองไกล อดวันนี้ เพื่อมีวันหน้า ลำบากวันนี้ เพื่อสบายในวันหน้า
คนไทยส่วนใหญ่ เลือกเอาสบายในวันนี้ แล้วขอไปตายเอาดาบหน้า ... แล้วก็จะตายจริงๆ เพราะขาดวินัย
• วินัย คือ เกียรติยศของชีวิต วินัยเป็นพวงมาลัยไม่ใช่โซ่ของนักโทษ
วินัย เป็นมงคลของชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจหรืออ่อนแอ
บ่อยครั้งวินัย อาจจะดูไม่ดีในสายตาของเรา คือ ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ ต้องอดทน ต้องเอาชนะตัวเอง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่ที่จริงเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ เพียงแต่สายตาเราต้องยาวไกลและแหลมคมพอที่จะเห็นประโยชน์ของมัน
• วินัยกอบกู้สิ่งที่เสียหายให้กลับสู่สภาพเดิม และต่อยอดให้ดีกว่าเดิม
คนที่ไร้วินัย เหมือนรูรั่วของชีวิต ถ้าไม่รีบอุดเรือชีวิตอาจจะจมได้
วินัย คือ รางชีวิต รถแรงต้องมีราง ตกรางเมื่อไร ตายเมื่อนั้น ยิ่งรถเร็วด้วยยิ่งอันตราย
วินัย อาจจะทำให้เราเหมือนขัดใจ แต่มันจะนำชีวิตเราไปถึงหลักชัยได้
วินัย จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เชื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า วินัยชีวิตต้องสูง

1. พระธรรม 1คร.5 ทั้งบท บ่งบอกความไร้วินัยของคนๆ หนึ่ง
การไร้วินัยของสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักรนั้น ไม่เพียงนำความเสื่อมมาสู่ชีวิตของตนเองและครอบครัวเท่านั้น
แต่เขายังนำมาซึ่งความเสื่อมเสียและความเดือดร้อนแก่คริสตจักรอีกด้วย
ชายหนุ่มคนนี้ ได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาตัวเอง
(ไม่ได้หมายถึงมารดาของตัวเอง แต่หมายถึงภรรยาคนอื่นๆ ของพ่อ ซึ่งสมัยนั้นเป็นธรรมดาที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน)
เป็นการทำผิดต่อพ่อของตัวเองอย่างร้ายแรง แสดงถึงความไร้วินัย
และหากใครทำผิดกับพ่อแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระคุณมากที่สุดได้ ผู้นั้นก็สามารถทำผิดกับคนทั้งโลกได้
ความนี้ทราบถึงเปาโล ท่านจึงต้องทำจดหมายมาให้คริสตจักรลงวินัยกับผู้ที่กระทำความผิด

2. คริสตจักรเป็นสถาบันหลักของพระเจ้า ต้องมีวินัยสำหรับสมาชิก
เนื่องจากผู้ที่กระทำความผิด เป็นสมาชิกของคริสตจักร ดังนั้น ในเรื่องนี้คริสตจักรจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
คริสตจักรของพระเจ้า ต้องเป็นมาตรฐานของวินัยสำหรับผู้เชื่อ ในขณะเดียวกัน ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้เชื่อด้วย
มธ.16:18-19 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย
พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ให้คริสตจักร เพื่อบริหารครอบครัวของพระเจ้า ให้เกิดความสงบสุขและถวายเกียรติพระเจ้า
กุญแจของสวรรค์นั้น พระเจ้าใช้ผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้า ซึ่งในที่นี้ คือ เปาโล
เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดคริสตจักรโครินธ์ และเป็นอัครทูตของพระเจ้า
ดังนั้น ผู้เชื่อที่เป็นสมาชิกของให้ความเคารพต่อผู้รับใช้พระเจ้า เพราะท่านเป็นผู้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
ถ้าผู้นำทำถูกตามพระคัมภีร์ สมาชิกต้องเชื่อฟังสถานเดียว
แต่ถ้าผู้นำทำผิดจากพระคัมภีร์ เราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง และผู้นำจะรับโทษจากพระเจ้าเอง
พระคัมภีร์ เป็นมาตรฐานสูงสุดของผู้เชื่อ ใช้วัดความผิดถูกทุกอย่างได้ ไม่มีใครอยู่เหนือพระคัมภีร์

เปาโลสั่งให้คริสตจักรลงวินัยแก่ผู้ที่กระทำความผิด ดังนี้
2.1 ต้องตัดคนนั้นออกจากคริสตจักรเสีย
1คร.5:2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ท่านควรที่จะตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้ออกเสียจากพวกท่าน
เปาโล ยอมไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่มีวินัย ทำให้คริสตจักรเสื่อมเสีย เพราะคริสตจักรเป็นสถาบันหลักของพระเจ้า
ผู้เชื่อในคริสตจักรควรมีลักษณะความประพฤติอย่างชาวสวรรค์ ไม่ใช่ชาวโลก
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ใครที่ไม่อยากไปสวรรค์ แต่อยากไปนรก (คือเป็นลูกพระเจ้าแล้วแทนที่จะทำดีกลับทำชั่ว)
เราก็ไม่ต้องห้ามเขา และที่สำคัญคือ เขาจะนำ “นรก” มาอยู่ใน “สวรรค์” ของพระเจ้าไม่ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คริสตจักร จึงจำเป็นต้องตัดเขาออกจากการเป็นสมาชิกของคริสตจักร

2.2 เมื่อถูกตัดออกจากคริสตจักร ชื่อก็ถูกลบจากบัญชีสวรรค์
1คร.5:3-5 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้น ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า
อัครทูตเปาโล ใช้อำนาจที่พระเจ้าให้ลงวินัยกับผู้ที่ทำผิดร้ายแรงออกจากคริสตจักร
เมื่อใครก็ตามถูกตัดชื่อออกจากคริสตจักร ชื่อเขาจะถูกลบจากบัญชีสวรรค์ทันที
วว.20:15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ
การไร้วินัยชีวิต นำมาซึ่งความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ดังนั้น การมีวินัยชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

2.3 วัตถุประสงค์ในการลงวินัย ก็เพื่อช่วยเขารอด
1คร.5:5 พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า
การลงวินัยที่รุนแรงของคริสตจักรนั้น อาจจะดูเหมือนโหดร้ายต่อผู้ที่กระทำความผิด
แต่ที่จริงแล้ว กว่าที่คริสตจักรจะลงวินัยใครคนใดนั้น ความผิดของเขาต้องปรากฏชัด
และต้องเป็นความผิดที่เขาตั้งใจกระทำซ้ำๆ โดยไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจ
คริสตจักรจึงต้องลงวินัย ไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อให้เขาได้รับความรอดอย่างแท้จริง
การลงวินัยด้วยการตัดออกจากคริสตจักร หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาออกจากคริสตจักรนี้ก็ไปอยู่คริสตจักรอื่นก็ได้
แต่สำหรับพระเจ้านั้น การที่เราถูกตัดออกจากคริสตจักรหนึ่งและไปอยู่อีกคริสตจักรหนึ่งนั้น
ถือว่าเราก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กับพระองค์ ... พระเจ้าให้โอกาสมนุษย์เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แต่อย่าลืมว่า “บาดแผลของการกระทำความผิดนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป ทุกการกระทำต้องมีรายจ่ายอยู่เสมอ”

2.4 หลักการของคริสตจักร คือ เมตตาต้องมี แต่วินัยต้องเข้ม
คริสตจักรของพระเจ้า ต้องมีคุณลักษณะอย่างพระเจ้า คือ ความเมตตาต้องมี (และต้องมีมากด้วย) แต่วินัยก็ต้องเข้ม
สดด.103:8-12 พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคงพระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอ หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเราเพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง เท่านั้นตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น
สำหรับผู้ที่ทำผิดนั้น คริสตจักรต้องมีความเมตตาในวินัย
แม้เราจะลงวินัยเขา แต่ยังอธิษฐานเผื่อและรักผู้ที่กระทำผิดอยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง
คริสตจักรลงวินัย เพื่อให้เขากลับใจ แต่จะไม่มีการตอกย้ำซ้ำเติมความผิดของคน
คริสตจักรของพระเจ้า ต้องไม่พูดทางลบกับใคร ถ้าจะพูดต้องพูดในสิ่งที่สร้างสรรค์เท่านั้น ไม่ใช่พูดเพื่อเป็นการทำลาย
ใครก็ตามที่กระทำความผิด เราเสียใจในการกระทำนั้น แต่จะไม่พูดต่อๆ ไปให้เขาเสียหาย
แต่ต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เขาทำสิ่งผิดและสร้างความเสียหายต่อไป นั่นคือการลงวินัย

และในขณะที่มีความเมตตานั้น วินัยของคริสตจักรก็ต้องเข้มข้นเช่นกัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความเมตตาหากมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นอาญาที่ส่งคนกระทำผิดลงนรกได้
คริสตจักร จึงต้องระวังใช้ความเมตตาและความมีวินัยควบคู่กันอย่างสมดุล
1คร.5:6-13 การที่ท่านอวดอ้างนั้นไม่สมควรเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อนจงชำระเชื้อเก่าเสีย เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ เหมือนขนมปังไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเราได้ถูกฆ่าบูชาเสียแล้วเหตุฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น มิใช่ด้วยเชื้อเก่าซึ่งเป็นเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ คือความจริงใจและสัจจะข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า อย่าคบคนที่ล่วงประเวณีแต่ซึ่งท่านจะคบคนชาวโลกนี้ที่เป็นคนล่วงประเวณี คนโลภ คนฉ้อโกงหรือคนถือรูปเคารพข้าพเจ้ามิได้ห้ามเสียทีเดียว เพราะว่าถ้าห้ามอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ต้องออกไปเสียจากโลกนี้แต่ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลยไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในคณะมิใช่หรือส่วนคนภายนอกนั้นพระเจ้าจะทรงตัดสินลงโทษ จงกำจัดคนชั่วช้านั้นออกจากพวกท่านเสียเถิด

2.5 ข้อคิดจากพระวจนะ
1คร.5:11-13 ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลยไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในคณะมิใช่หรือส่วนคนภายนอกนั้นพระเจ้าจะทรงตัดสินลงโทษ จงกำจัดคนชั่วช้านั้นออกจากพวกท่านเสียเถิด
การที่เปาโลสั่งให้คริสตจักรโครินธ์ลงวินัยผู้ที่กระทำความผิด นอกจากเป็นการสอนวินัยโดยตรงแล้ว
พระเจ้ายังสอนหลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้องให้กับเราด้วย
“ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่า เป็นพี่น้องแล้ว แต่ ยัง ล่วงประเวณี เป็นคนโลภ ฯลฯ”
หมายถึง ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ยัง ล่วงประเวณีอยู่ ยังโลภอยู่ ยังปากร้ายอยู่ ยังขี้เมาอยู่ ยังฉ้อโกงอยู่
แสดงว่า เขาไม่ได้ตั้งใจเป็นคริสเตียน ไม่ได้ตั้งใจเป็นสาวกของพระเจ้า เขาเพียงตั้งใจถือศาสนาคริสต์เท่านั้น
จึงทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามพระวจนะของพระเจ้า เล็งถึง ความไร้วินัย
พระเจ้าตรัสสั่งไว้แล้วว่า ใครจะเป็นสาวกของพระเจ้า คือ ตั้งใจเป็นคริสเตียนแท้ ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้
ลก.9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา

ก. ชีวิตคริสเตียน ก็ยังมีความผิดพลาดอยู่ แต่ผิดแล้วต้องกลับใจ และตั้งใจไม่ทำผิดอีก พระเจ้าให้อภัย
ยน.8:11 นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก"
ไม่มีใครที่อยู่ในความผิดจะพ้นผิด แต่ทุกคนที่ทำผิด จะรับการอภัยจากพระเจ้าเสมอ
แม้เป็นคริสเตียนก็มีโอกาสที่จะทำผิดได้ แต่เมื่อทำผิดแล้ว ต้องกลับตัวกลับใจ และตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก

ข. ชีวิตคริสเตียน ต้องไม่มีปกติในการทำบาป
“ไม่มีปกติในการกระทำบาป” คือ ไม่ทำบาปเป็นนิสัย หรือเป็นปกติของชีวิต
ผู้ใดที่ทำบาปเป็นประจำ หรือมีปกติในการกระทำบาป ทำบาปเป็นนิสัย ผู้นั้นไม่ได้เชื่อพระเจ้าจริง


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1ยน.3:9-10 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับผู้นั้นและเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า ดังนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของมาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า
เมื่อไม่ได้เชื่อพระเจ้าจริง คริสตจักรจึงต้องลงวินัยเมื่อกระทำความผิด
ใครก็ตามที่ตั้งใจทำผิดทุกวัน ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
ธรรมชาติของแมว จะไม่ชอบน้ำ ไม่ชอบเปียก เมื่อเปียก มันจะรีบสะบัดและเลียขนให้แห้งทันที
แต่ถ้าเป็นธรรมชาติของหมู จะชอบน้ำ ชอบความสกปรก
ธรรมชาติของผู้เชื่อก็เช่นเดียวกัน จะไม่ชอบความบาปชั่ว แต่ถ้าเผลอไปทำบาป จะรีบกลับตัวทันที
แต่ธรรมชาติของคนที่ไม่เชื่อ เมื่อทำความบาปก็จะแช่อยู่ในความบาปนั้น
ไม่รู้สึกอะไร ไม่ละอายใจ เพราะเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้า
ดังนั้น ใครก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคริสเตียน เป็นสมาชิกของคริสตจักร ยังทำผิดทำบาปอยู่เสมอเป็นประจำ ต้องตัดเขาออก
เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องแยกให้ชัดระหว่าง “นรก” และ “สวรรค์”
ระหว่าง “ความมืด” กับ “ความสว่าง”, ระหว่าง “ดำ” หรือ “ขาว” ... จะมัวเทาๆ หรือครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้

3. ข้อคิดเรื่องวินัยชีวิต
ชีวิตเราต้องมีวินัย ... เพราะวินัยจะรักษาชีวิตของเรา ใครที่ทำอะไรฝืนวินัย สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายผู้ที่กระทำเอง
สภษ.4:11-13 เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรมเมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางและถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด จงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
สภษ.12:1 ผู้ใดที่รักวินัยก็รักความรู้ แต่บุคคลที่เกลียดการตักเตือนก็เป็นคนโฉด

3.1 ชีวิตที่ไร้วินัย เหมือนเมืองที่ไร้กำแพง
ชายหนุ่มจาก 1คร.5 ทำผิดต่อพ่อของตัวเอง แสดงถึงชีวิตที่ไร้วินัย เหมือนเมืองที่ไร้กำแพง
สภษ.25:28 คนที่ปราศจากการปกครองตนเอง ก็เหมือนเมืองที่ปรักหักพังและไม่มีกำแพง
เมืองที่ไร้กำแพงหรือบ้านที่ไม่มีรั้ว ถูกทำลายได้ง่าย ขโมยเข้าได้ง่าย ...
ชีวิตก็เช่นกัน ถ้าไม่มีวินัยเป็นกำแพง ชีวิตก็พังทลายได้ง่ายเช่นกัน

3.2 วินัยชีวิต ต้องเริ่มตั้งแต่เด็กจึงจะมั่นคงเข้มแข็ง
วินัยจะเกิดขึ้นได้ ต้องสร้างกันตั้งแต่เด็ก วางรางชีวิตให้เขาเดินสู่ความเจริญ ไม่ใช่สู่ความเสื่อม
สภษ.22:6,15 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น, ความโง่มักอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไปจากเขา
สภษ.23:13-14 ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เจ้าจะช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากแดนผู้ตายบุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าใจของเจ้าฉลาด ใจของเราเองก็จะยินดี
พ่อแม่ส่วนใหญ่เลี้ยงลูก แต่พ่อแม่จำนวนน้อยที่สร้างลูก ... สร้างลูก คือ สร้างวินัยให้กับลูก
ฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดิน คือ พาทำ ไม่ทำไม่ได้ ต้องฝึก ต้องฝืน ไม่ฝึกไม่ได้
ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากตีลูก แต่ถ้าเขาทำผิดแล้วเราไม่ตี เขาจะกลายเป็นคนไม่มีวินัย
ตีลูก ต้องตีให้เจ็บเพื่อให้เขาจำ แต่อย่าตีทำให้เกิดเป็นรอยแผล
ทุกครั้งที่พ่อแม่ตีลูก ลูกเจ็บ แต่พ่อแม่เจ็บกว่า แต่ต้องยอม เพื่อสร้างลูก
การตีลูก ต้องเป็นการตีสอน ไม่ใช่ตีแบบโกรธลูก ทำร้ายลูก แบบนั้นลูกจะรับไม่ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่ถ้าเป็นการตีเพราะรัก ตีอย่างมีเหตุผล ลูกจะรับได้ และเป็นการสร้างวินัยให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูก
และจำไว้ว่า ลูกจะมีวินัยได้ พ่อแม่ต้องมีวินัยเสียก่อน

3.3 การเป็นคนยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ส่งผลให้มีวินัยอย่างแท้จริง
สภษ.8:13 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความเกลียดชังความชั่วร้ายเราเกลียดความเย่อหยิ่งและความจองหอง และทางของความชั่ว ร้ายกับวาจาตลบตะแลง
ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่มาของการเกลียดชังความชั่วร้าย เกลียดชังความเย่อหยิ่ง และเกลียดชังวาจาตลบตะแลง
คนจะมีวินัยชีวิตได้ ต้องมีพระเจ้า เมื่อมีพระเจ้าจะเกิดความยำเกรงพระองค์
แม้ไม่มีมนุษย์คนใดเห็นเมื่อเราทำสิ่งชั่วร้าย แต่พระเจ้าทรงเห็น

3.4 ทุกวินัยมีรางวัลรออยู่
1คร.9:24-25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลยส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลมแต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
แม้วินัย เป็นเรื่องที่เข้มงวด ต้องฝึกฝน ต้องสร้าง จึงจะเกิดขึ้นในชีวิต
แต่วินัยไม่เคยสูญเปล่า คนที่มีวินัย จะมีรางวัลชีวิตรออยู่ข้างหน้า เหมือนนักกีฬา จะรับชัยชนะได้ ต้องมีวินัย
และในขณะเดียวกัน ก็มีโทษไว้รอรับคนที่ขาดวินัยเช่นกัน

3.5 เกมส์ กีฬามีกติกา เกมส์ชีวิตก็มีกฎกติกาเช่นกัน
เกมส์ กีฬาทุกประเภท จะต้องมีกฎกติกาในการเล่น ทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามกฎนั้น
เกมส์ กีฬาของชีวิตก็เช่นเดียวกัน มีกฎกติกาในการเล่น ... พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นกติกาชีวิตของมนุษย์
สดด.19:7-9 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญาข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้งความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น
มธ.5:18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
ใครที่ทำตามพระคัมภีร์ ได้ดีกันทุกคน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราเห็นแล้วว่าบุคคลที่เจริญที่สุดในโลก
คือ คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าและมีพระคัมภีร์เป็นกติกาของชีวิต

4. ตัวอย่างผู้มีวินัย
4.1 พระเยซูคริสต์
ตัวอย่างที่สูงสุด คือ องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นแบบอย่างของบุคคลที่มีวินัยมากที่สุด
เพราะความมีวินัย ความเชื่อฟังของพระเยซูที่มีต่อพระเจ้าพระบิดา แผนการของพระเจ้าจึงสำเร็จ
มนุษย์ทุกคนจึงได้รับการไถ่ให้พ้นจากความบาปเวรกรรมและอำนาจของมาร
ยน.4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ลก.22:42 ว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด"
ฟป.2:5-9 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือแต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขนเหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์

4.2 เปาโล
นอกจากพระเยซูคริสต์แล้ว เปาโลเป็นอีกท่านหนึ่งที่เรานึกถึงเป็นลำดับต้นๆ ในเรื่องชีวิตที่มีวินัย
เปาโล ถูกรับเลือกจากพระเจ้าให้ทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ คือ ประกาศกับอิสราเอล กษัตริย์และประชาชาติ
ภารกิจนั้นจะสำเร็จไม่ได้เลย หากท่านปราศจากวินัยและการเชื่อฟังพระเจ้า
กจ.9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล
กจ.26:19 ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน
กจ.20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น
การเชื่อฟังและการมีวินัยของเปาโลนั้น ต้องถึงกับความตายแต่ท่านก็ยอม
ผลของวินัยนั้น ทำให้ท่านรับบำเหน็จและรางวัลที่รออยู่จากพระเจ้า
2ทธ.4:7-8 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุดข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้วต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์

4.3 อับราฮัม
ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
อับราฮัม ต้นตระกูลของยิวทั้งฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ ท่านมีวินัย เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า
ยอมออกจากเมือง ออกจากความมั่งคั่ง กลายเป็นคนพเนจร แต่เพราะความเชื่อฟังของท่านนั้นเอง
ทำให้ทุกวันนี้ท่านและพงศ์พันธุ์ของท่านได้รับพระพรตามพระสัญญา

5. ตัวอย่างผู้ที่ไม่มีวินัยและผิดวินัย
5.1 อานาเนียและสัปฟีรา
กจ.5:1-10 แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตนและเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูตฝ่ายเปโตรจึงถามว่า "อานาเนีย เหตุไฉนซาตาน จึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า" เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่งพวกคนหนุ่มก็
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 10 รอบเช้า -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝังหลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไปฝ่ายเปโตรถามนางว่า "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด" หญิงนั้นจึงตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ"เปโตรจึงถามนางว่า "ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย"ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
ทั้งสองสามีภรรยาได้โกหกพระเจ้า โกหกคริสตจักร โกหกผู้รับใช้ของพระองค์
ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เป็นเงินของพวกเขา ถวายเท่าไรก็รับพระพร แต่เพราะเขามีท่าทีผิด ถวายเพราะเอาหน้า
ทำให้รับวินัยหนักจากพระเจ้า ถึงขั้นล้มตายทันที อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า วินัยสามารถให้คุณและให้โทษกับเราได้เสมอ
เราอาจจะไม่ตายฝ่ายร่างกายทันทีเหมือนสองคนนี้ แต่อนาคตจะตาย พระพรจะตาย และความปลอดภัยจะตาย
หากเรามีชีวิตที่ปราศจากวินัยและทำผิดวินัยของพระเจ้า

5.2 กษัตริย์ซาอูล
ซาอูล ไม่ได้ทำความผิดด้านศีลธรรมเลย ท่านรับการเจิมตั้งจากพระเจ้าให้เป็นกษัตริย์
แต่กลับมาไปหน้าที่ของปุโรหิต ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พระเจ้าไม่ได้ใช้ เป็นการก้าวล้ำสิทธิอำนาจพระเจ้า
อีกทั้งยังไม่ทำลายรูปเคารพตามคำสั่งของพระเจ้า ผิดวินัยต่อพระองค์
ผลคือ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง การเจิมก็หมดไปด้วย (อ่าน 1ซมอ.15 ทั้งบท)
1ซมอ.15:23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์
5.3 โมเสส
แม้เป็นผู้รับใช้คู่พระทัยของพระเจ้า เมื่อทำผิดวินัย พระเจ้าก็ไม่เว้นการลงโทษ
แผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้นั้น ท่านได้เห็นเท่านั้น แต่ไม่สามารถเข้าไปได้
เพราะทำผิดต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย พระเจ้าก็ไม่ผ่าน
กดว.20:7-12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงเอาไม้เท้าและเรียกประชุมชุมนุมชน ทั้งเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และบอกหินต่อหน้าประชาชนให้หินหลั่งน้ำ ดังนั้นเจ้าจะเอาน้ำออกจากหินให้เขา ดังนั้นแหละเจ้าจะให้น้ำแก่ชุมนุมชนและสัตว์ดื่ม" โมเสสก็นำไม้เท้าไปจากหน้าพระพักตร์พระเจ้า ดังที่พระองค์ทรงบัญชา โมเสสกับอาโรนก็เรียกชุมนุมชนให้ไปพร้อมกันที่หิน โมเสสกล่าวแก่เขาว่า "เจ้าผู้กบฏจงฟังณบัดนี้จะให้เราเอาน้ำ ออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ" และโมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลพล่านออกมามากมาย ชุมนุมชนและสัตว์ของเขาก็ ได้ดื่มน้ำ พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "เพราะเจ้ามิได้เชื่อเราจึงมิได้ถวายความศักดิ์สิทธิ์แก่เราต่อหน้าคนอิสราเอล เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจะมิได้นำคนที่ประชุมนี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา"
ฉธบ.34:4 และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า "นี่คือแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณต่ออับราฮัม ต่ออิสอัคและต่อยาโคบว่า "เราจะให้แก่พงศ์ พันธุ์ของเจ้า" เราให้เจ้าเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น"
บทสรุปของเรื่องวินัยชีวิตนี้ ขอย้ำพระวจนะใน ฮบ.12:28-29 “เหตุฉะนั้นครั้นเราได้แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวมาแล้ว ก็ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อเราจะได้ปฏิบัติพระเจ้าตามชอบพระทัยของพระองค์ ด้วยความเคารพและยำเกรงเพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ”
พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยพระเมตตาคุณ แต่อย่าลืมว่าวินัยของพระองค์ก็เข้มข้นมาก
พระเจ้ามีสวรรค์สำหรับผู้เชื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็มีนรกสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ
ดังนั้น เราผู้เป็นคนของพระเจ้าควรเคารพยำเกรงพระองค์ ปฏิบัติตามพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด
ถ้าเราเชื่อวางใจและเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า พระองค์เองจะปกป้อง คุ้มครองและอำนวยพรชีวิตของเรา

No comments:

Post a Comment