Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ กุญแจสู่ความดีเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ กุญแจสู่ความดีเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”
ตอน 3 : ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว

ฟป.3:12-16 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วยแต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป
ลูกพระเจ้า ต้องมีมาตรฐานที่ดีที่สุด คือ มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
เมื่อเรามีภาพชัดเจนว่าชีวิตต้องมุ่งสู่ความดีเลิศ เพราะความดีเลิศเป็นมาตรฐานชีวิตคริสเตียน และเป็นมาตรฐานของการดำเนินชีวิตทุกเรื่อง เราไม่เพียงเป็นคนดีเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนดีที่พัฒนาด้วย
มนุษย์จะถกเถียงกันในเรื่องหลักข้อเชื่อว่า เชื่ออะไรดีกว่าอะไร แต่ไม่มีใครเถียงเรื่อง “ชีวิตใหม่” ของผู้เชื่อได้ เช่น เคยเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เคยทำร้าย แต่เดี๋ยวนี้ทำดี ... เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเถียงได้
กุญแจดอกที่ 3 ที่จะนำเราไปสู่ความดีเลิศ คือ การลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย

ข้อคิดของการ “ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย”
ธรรมชาติของมนุษย์ คือ “ลืมยาก”
สิ่งที่ยากที่สุดที่จะลืมได้ คือ ความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราถูกกระทำจากบุคคลอื่น
เช่น ทำดี ไม่ได้ดี, ทำคุณ บูชาโทษ ... คนอกตัญญู ไม่รู้คุณ
แต่คำสอนและพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้จะช่วยเรา
พระเจ้าเองยัง “ลืม” อดีตของเรา พระองค์ไม่ทรงจดจำความผิด
เราเองก็ควรที่จะลืมอดีตของตนเองเช่นกัน และมากไปกว่านั้น ต้องลืมอดีตของผู้อื่นด้วย
สดด.103:9-10 พระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอ หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์ พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา

สิ่งเหล่านี้ ความตั้งใจเพียงอย่างเดียวไม่พอ เพราะกำลังของมนุษย์มีน้อยและจำกัด
เราต้องมีกำลังเสริมจากพระเจ้า
“ความตั้งใจของเรา” รวมกับ “พระคุณของพระเจ้า” ... ทำให้เราลืมอดีตได้
นี่คือข้อได้เปรียบของคนที่มีพระเจ้า ... ซึ่งต่างจากศาสนาที่มีแต่ปรัชญา โดยไม่มีกำลังของพระเจ้า

1. อุปสรรคต่อการลืม
ก่อนที่เราจะสามารถลืมอดีต ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสียนั้น
เราต้องเข้าใจก่อนว่าอะไร คือ อุปสรรค ที่ทำให้เราลืมไม่ได้ ลืมไม่ลง

1.1 อุปสรรคจากตัวเราเอง ... ทำใจลำบาก ตัดไม่ขาด ทำไม่ได้
อุปสรรคประการแรก และเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด คือ ตัวเราเอง
เราเองที่เป็นตัดขัดขวางความก้าวหน้า ตัวเราเองที่ทำไม่ได้ ลืมไม่ลง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เช่น ผู้ใหญ่ที่เพิ่งปลดเกษียณ มักทำใจไม่ได้ เคยใหญ่ เคยมีคนสนใจ เคยมีคนประจบเอาใจ
แต่ถึงเวลาปลดเกษียณ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ คนที่เคยใส่ใจหรือสนใจก็หายไป
ส่งผลให้ทำใจลำบาก ตัดอดีตไม่ได้ ตัดอดีตไม่ขาด

วิธีการแก้ไขที่ทางโลกแนะนำ คือ ต้องปลง ต้องทำใจ ...
วิธีเหล่านี้ พูดได้ แต่ทำไม่ได้ ถึงทำได้ ก็ทำได้ไม่หมด เพราะความจำกัดของมนุษย์
แต่ทางพระเจ้าแก้ไขโดย ... ไม่มี “ข้าพเจ้า” มีแต่ “พระคริสต์” ไม่มีตัวเอง มีแต่พระเจ้า
กท.2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
เราทำไม่ได้ แต่พระเจ้าทำได้ พระคริสต์ที่อยู่ในชีวิตของเรา ทำให้เราผ่านพ้นอดีตไปได้
เมื่อเราทำสุดกำลังของเราแล้ว ให้พึ่งพาพระเจ้า ขอให้เราผ่านได้ ขอให้เราลืมได้

มนุษย์ทุกคนล้วนมีหนามชีวิต ... ทุกคนเคยร้องไห้ เคยเสียใจ เคยเจ็บใจ
แม้ อ.เปาโล ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ แม้มีพระคริสต์ในชีวิต ท่านก็ยังมีหนาม และเป็นหนามที่ใหญ่มาก
หนามนั้น เอาออกจากชีวิตไม่ได้ คาอยู่ในใจ คาอยู่ในจิตวิญญาณ
แต่พระเจ้าก็สามารถที่จะช่วยให้ท่านเอาชนะหนามนั้นได้
ไม่เพียงแต่เปาโลเท่านั้นที่พระเจ้าช่วยได้ พระองค์ทรงช่วยเราทั้งหลายได้ทุกคน

2คร.12:7-9 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
บทสรุป คือ พระคุณมีพอสำหรับเราทุกคน ความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็มีที่นั่น
เราอ่อนแอ แต่พระเจ้าเข้มแข็ง ... เราทำไม่ได้ แต่พระเจ้าทำได้
เราแตกต่างจากโลก ที่พึ่งแต่ตัวเอง ซึ่งจำกัด เพราะมนุษย์ทุกคนจำกัด
เก่งแค่ไหน ความรู้สูงแค่ไหน รวยแค่ไหน ก็มีความจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น
มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่มีความจำกัด ผู้นั้น คือ “พระเจ้า”

ดังนั้น อุปสรรคอย่างแรกที่เราต้องทำลาย คือ ตัวเราเอง และถ้าเราทำไม่ได้ด้วยลำพัง
อย่าลืมว่าเรามีพระคุณอันไม่จำกัดของพระเจ้าที่จะช่วยเราได้

1.2 อุปสรรคจากผู้อื่น ... รับไม่ได้ในอดีตอันเลวร้ายของเรา
อุปสรรคประการที่สองที่ทำให้เราลืมอดีตไม่ได้ คือ ผู้อื่น ... ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่สอง สาม สี่หรือห้าก็ตาม
หลายคนรับเราไม่ได้ในอดีตอันเลวร้ายของเรา
ทางแก้ไขอุปสรรคนี้ ก็ต้องพึ่งพระเจ้า และใช้ทางของพระองค์มาช่วยเช่นกัน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สดด.103:12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น
พระเจ้าปลดการละเมิดของเราไปไกล ... จากตะวันออก ไปตะวันตก คือ ไกลมาก วัดไม่ได้
เราต้องเลียนแบบพระเจ้า เดินตามพระเจ้า
พระเจ้าเอาการละเมิดของเราไป เราก็อยากให้คนอื่นเอาการละเมิดของเราออกไปไกลเช่นกัน
แต่จุดเริ่มต้น ต้องเริ่มจากการที่เราเอาการละเมิดของผู้อื่นออกไปไกลจากชีวิตของเราก่อน
นี่แหละ คือ ความหมายของคำว่า “บริสุทธิ์” ที่แท้จริง

พระเจ้าไม่ได้วัดความบริสุทธิ์ จากรูปลักษณ์ภายนอก
แต่พระเจ้าวัดความบริสุทธิ์จากภายใน คือ ไม่ถือสา ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่เคียดแค้น ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น
สีขาว คือ การรับได้ในทุกสี ... เหมือนพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทั้งโลก ทั้งๆ ที่มนุษย์ทั้งโลกนั้น “บาป”
ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเป็นองค์บริสุทธิ์
เราผู้เป็นคนของพระเจ้า ต้องเดินทางเส้นเดียวกับพระองค์

1คร.13:4-7 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิดไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
นี่เป็นลักษณะความรักของพระเจ้า ... เป็นสิ่งที่เกินธรรมชาติของมนุษย์จะทำได้
แต่ความรักของพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตของเราจะช่วยให้เรามีลักษณะความรักเหมือนพระเจ้าได้
ในทางปฏิบัติ แม้ทำยาก แต่หากใครทำได้ ผู้นั้น คือ นักบุญ คือ ธรรมิกชน คือ เจ้าสาวของพระคริสต์ที่แท้จริง
จำไว้ว่า เราจะไม่สามารถมีชีวิตที่มุ่งไปสู่ความดีเลิศได้ ตราบใดที่เรายังจดจำอดีต
ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ “หวานชื่น” หรือ “ขมขื่น” ก็ตาม

ยน.8:7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน"
พระวจนะตอนนี้ เป็นตอนที่พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี จับหญิงที่ล่วงประเวณีมาลงโทษ
มนุษย์ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ... การล่วงประเวณี ทำตามลำพังไม่ได้
แต่พวกเขาจับเฉพาะ “ผู้หญิง” มาลงโทษ ... แล้ว “ผู้ชาย” หายไปไหน ทำไมไม่จับ
ในขณะที่พวกเขาจะเอาหินขว้างผู้หญิงคนนี้ให้ตายตามธรรมบัญญัติ
พระเจ้าจึงตรัสถ้อยคำนี้ คือ ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างก่อน ผล คือ ...
ยน.8:9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
เรื่องนี้สอนเราเป็นอย่างดี ... มนุษย์ทุกคนเคยทำผิด ไม่มีใครสักคนที่ไม่เคยผิด
แต่การจดจำความผิดนั้น ไม่ใช่วิสัยคนของพระเจ้า

1.3 เราจะลืมได้อย่างเด็ดขาด ก็ต่อเมื่อเราเดินทางพระเจ้า
ยน.8:10-11 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ" นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก"
คนของพระเจ้า ต้องเดินตามทางของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เคยทำผิด แต่ไม่มีผู้กล่าวโทษ ... พระเจ้ายกโทษ และตั้งใจที่จะไม่ทำความผิดอีก
นี่คือ การปล่อยคน ประเสริฐยิ่งกว่าปล่อยสัตว์ทุกชนิด ฝากเขาไว้กับพระคุณของพระเจ้า

2. เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราสร้างอนาคตได้
เราจะลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาได้ ไม่เพียงต้องตระหนักถึงอุปสรรค แต่เราต้องเข้าใจหลักความจริงด้วย
หลักความจริงนั้น คือ เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราสร้างอนาคตได้
อดีต คือ อดีต ... มันเกิดขึ้นแล้ว เราเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไม่ได้
มันผ่านมาแล้ว มันทำไปแล้ว มันเป็นแผลแล้ว มันเสียหายแล้ว ... เปลี่ยนไม่ได้
แต่อนาคตยังไม่เกิดขึ้น ... เราสร้างมันขึ้นมาได้

ชีวิตคนเรา เริ่มต้นอย่างไร ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร?
เราดูหนัง ดูละคร หรือดูเกมส์กีฬา ... สำคัญที่สุด คือ ตอนจบ ไม่ใช่ตอนเริ่มต้น
ตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์ “เซาโล” ก็ยังเปลี่ยนเป็น “เปาโล” ได้
เริ่มต้นด้วยการเป็น “ศัตรู” กางเขน แต่จบลงด้วยการ “ยอมตาย” เพื่อกางเขน
เราเองก็เช่นกัน ไม่สำคัญว่าเคยผ่านอะไรมา แต่สำคัญว่าเราจะทำอะไรในอนาคต
เราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง

3. ชีวิต คือ การเดินทาง ... เราจะไปได้ใกล้ หรือไกล ขึ้นกับเราลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาหรือไม่?
3.1 จะเดินทางไกล ตัวต้องเบา อย่าเอาอดีตมาแบก
ฟป.3:13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
ชีวิตของเรา ต้องเดินทางอีกไกล
ถ้าเราเอา “อดีต” มาแบก จะทำให้ชีวิตของเรามี “ของหนัก” ที่ “ถ่วง” อยู่ ... ทำให้เราไปได้ไม่ไกล
อดีตทั้งหลาย ไม่ว่าจะดี หรือร้าย มันทำให้ชีวิตเราหนักขึ้น รกรุงรังขึ้น
เราอยากจะมีชีวิตที่มุ่งไปสู่ความดีเลิศ ต้องถามตัวเองว่า ตอนนี้ตัวเรา “เบา” หรือ “หนัก”

ถ้อยคำของพระเจ้าทุกคำ มีนัยยะในการสอนเราเสมอ
มธ.11:28-30 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พักด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
แอกของพระเจ้าพอเหมาะ ภาระของพระองค์ก็เบา
เราต้องเลียนแบบพระเจ้า ... ระวังอย่าให้ “อดีต” กลายเป็นของหนักที่ถ่วง และฝังชีวิตของเรา
รักษาตัวให้เบาอยู่เสมอ เพื่อจะเดินไปได้ไกลที่สุด

3.2 คนที่รกรุงรัง คือ คนที่ผูกพันตัวกับอดีต
คนที่รกรุงรัง คนที่ตัวหนัก คือ คนที่ผูกพันตัวกับอดีต
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ไม่ว่าจะหวานหรือขม ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
ส่งผลให้มีชีวิตที่รก รุงรัง หนัก และเดินได้ไม่ไกล

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ผู้ใหญ่ จะเป็นผู้ที่มองข้ามสิ่งเล็กน้อย ในขณะที่ คนคิดเล็กคิดน้อย ทำงานใหญ่ไม่ได้
คนที่ปัจจุบันไม่มีอะไร มักจะชอบพูดถึงแต่อดีต ... ทำให้คนรำคาญ ไม่อยากให้ความร่วมมือ
ไม่สำคัญว่าอดีต คุณจะเคยมีมาก หรือเคยเก่งมากอย่างไร
แต่ถามว่าปัจจุบัน คุณมีอะไร คุณเป็นอะไร คุณทำอะไร
ระหว่างอย่าให้ภาพในอดีต ทำให้ชีวิตของเรารก แทนที่จะน่ารัก ก็กลายเป็นน่ารำคาญ
ความดีที่เรามี อดีตที่ดีของเรา ต้องออกจากปากคนอื่น ให้คนอื่นพูดแทนเรา

ทางแก้ไข ตามแนวทางของพระเจ้า มีดังนี้
ก. ต้องทิ้งของหนักทุกอย่างที่ถ่วงอยู่
ฮบ.12:1 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา
อดีต ถ้าเรายังแบกไว้ในปัจจุบัน ก็ทำให้ชีวิตเราหนัก และไม่สามารถมุ่งไปสู่อนาคตได้
ดังนั้น เราต้องทิ้งมัน ต้องลืมมันให้ได้ ...
เปาโล ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่หนุนใจและสอนเราให้ทำอย่างท่าน คือ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย

ข. พระเจ้ายกโทษให้เรา เราต้องยกโทษให้ตัวเอง
อย่าทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง พระเจ้ายกโทษให้เรา เราต้องยกโทษให้ตัวเอง
การไม่ยกโทษให้ตัวเอง ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย
และเพราะพระเจ้าทรงยกโทษความผิด เราจึงต้องตั้งใจที่จะไม่ผิดอีกต่อไป
แต่ทำสิ่งดี ทำสิ่งใหม่ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ค. พระเจ้ายกโทษให้ใคร สังคมคริสเตียน (ครอบครัวฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า) ต้องยกโทษให้เขาด้วย
พระเจ้ายกโทษให้ใคร เหมือนกับคนตายได้ฟื้น คนหายได้กลับมา เราควรดีใจกับพระองค์ด้วย
สังคมคริสเตียนไทย ยังถือว่าอ่อนแอ ไปบอกคนข้างนอกโบสถ์ว่าพระเจ้ารักเขา
แต่พี่น้องในโบสถ์ทำผิด กลับไม่คิดให้อภัย ... รุมกันเหยียบทั้งคำพูด และสายตา
พระเจ้าสอนเราในเรื่องนี้แล้วด้วยคำอุปมาของบุตรใหญ่ กับบุตรน้อยหลงหาย (อ่าน ลก.15:21-32)
บุตรน้อยหายไป เมื่อกลับมาแทนที่บุตรใหญ่จะดีใจ กลับเสียใจ
ครอบครัวฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ต้องระวังอย่าเป็นบุตรใหญ่ของพระเจ้า

3.3 คนเรียบร้อย คือ คนที่กล้าลืมอดีต และกลายเป็นคนตัวเบา
ลักษณะของคนเรียบร้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า มีดังนี้
ก. คนเรียบร้อย คือ คนที่ชำระชีวิต
วว.22:14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู
คนที่เข้าถึงพระเจ้า จะเป็นผู้ที่ชำระชีวิตของตน เมื่อเราชำระชีวิตอยู่เสมอ ตัวเราก็เบา
1ยน.1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
เมื่อ “ขอโทษ” เราก็รับการ “ยกโทษ”
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 เม.ย. 2009 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

การสารภาพบาปผิดบ่อยๆ ไม่ได้หมายถึง คริสเตียนมีสันดานชั่ว
แต่หมายถึง เป็นคนที่รักความบริสุทธิ์ รักความชอบธรรม
เหมือนคนที่ล้างมือบ่อยๆ อาบน้ำบ่อยๆ เล็งถึง เขาเป็นคนสะอาด ไม่ใช่สกปรก
การชำระชีวิตบ่อยๆ ทำให้เราเป็นคนสะอาดขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้น

ข. คนเรียบร้อย คือ คนที่ไม่ยึดติดทั้งอดีตและปัจจุบัน
เมื่อไม่ยึดติด ชีวิตก็เบา ไม่มีอะไรถ่วงความเจริญก้าวหน้า และก้าวไปสู่ความดีเลิศได้
ค. คนเรียบร้อย คือ คนที่ยกโทษและให้โอกาสผู้อื่น
มธ.6:12 และขอทรงโปรด ยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น
กท.6:1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
สวรรค์มีตา กฎแห่งความชอบธรรมศักดิ์สิทธิ์เสมอ
คนที่ไม่กลับตัวกลับใจจากความผิด ... ความผิดจะตามไล่ล่าเขาเอง
แต่ส่วนตัวเรา ต้องยกโทษตามแบบอย่างที่พระเจ้าทรงวางไว้

4. เมื่ออดีตของตัวเองและผู้อื่นหายไป ก็จะมีสิ่งดี สิ่งใหม่เกิดขึ้น
วว.21:1 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้วข้าพเจ้าได้เห็นวิสุทธนคร คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี
พระวจนะตอนนี้ ว่าด้วยเรื่องแผ่นดินสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าเสด็จมา ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกเดิมหายไป แต่จะมีสิ่งใหม่มาแทนที่
สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลืมอดีตได้เช่นกัน
สิ่งดี สิ่งใหม่ จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเราทิ้งอดีต และลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย
อดีตอันเลวร้ายของตัวเราและผู้อื่น มันผ่านไปแล้ว เราลืมหมดแล้ว
ลืม คือ ไม่ยึดติด ไม่ผูกพัน ไม่พูดถึง ไม่คิดถึง
ผล คือ ได้เห็นวิสุทธนครลอยมาจากพระเจ้า
เห็นสิ่งใหม่ๆ สิ่งดีๆ ได้ลอยมาจากสวรรค์ ลอยมาจากพระเจ้า
มาอยู่กับคนที่ลืมอดีต มาอยู่กับคนที่ยกโทษ และให้โอกาสคน เหมือนที่พระเจ้ายกโทษและให้โอกาสเรา

ข้อคิดทั้งหมดของการลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสียนี้
ถ้าเราเข้าใจ นำมาปฏิบัติได้ และเราปฏิบัติได้แน่เพราะเรามีพระเจ้าคอยสนับสนุน
จะทำให้ชีวิตมุ่งไปข้างหน้า ก้าวหน้าขึ้น และดีเลิศขึ้น

No comments:

Post a Comment