Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ นรก 3 ขุม ” จาก “ ฟป.2:10 ”

คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ นรก 3 ขุม ” จาก “ ฟป.2:10 ”

ฟป.2:10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู
พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ ให้ภาพของ 3 โลก ดังนี้
1) สวรรค์ 2) แผ่นดินโลก 3) นรก (ใต้พื้นแผ่นดินโลก)
เรื่องสวรรค์และนรก เป็นศาสนศาสตร์ที่ผู้เชื่อควรศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องในโลกใบนี้ ระหว่าง “สวรรค์” กับ “นรก” นั้น มีโลกเป็นฐาน ... ตายจากโลกนี้แล้ว มนุษย์จะไปสวรรค์หรือไปนรก ขึ้นกับเขาทำอย่างไรและใช้ชีวิตอย่างไรในโลกนี้ จึงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า “โลกใบนี้จึงเป็นสนามสอบของมนุษย์ทุกคน”

ในโลกนี้มีศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คุรุศาสตร์ ฯลฯ ทุกศาสตร์ล้วนมีส่วนต่าง แต่ในขณะเดียวกันทุกศาสตร์ก็มีส่วนที่เชื่อมโยงถึงกันและกัน ดังนั้น เราจะอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ต้องคิดและรู้อย่างบูรณาการ รู้เพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง อย่าคิดว่ารู้ทุกศาสตร์ แม้รู้หลายศาสตร์ แต่ไม่มีความสามารถในการเชื่อมโยงและนำมาใช้จริง ความรู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ในบรรดาศาสตร์ต่างๆ นั้น ศาสตร์ที่ลึกซึ้งที่สุดและสามารถนำเราไปสู่ทุกศาสตร์ได้ คือ “วิญญาณศาสตร์”
ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องจิตวิญญาณ สำคัญที่สุด เพราะจิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ให้มีความสุข ให้มีความหวัง ให้มีความเจริญ ให้มีความอิ่มเอิบใจ
ยน.6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
วัตถุ ให้ความสะดวกสบาย แต่จิตวิญญาณให้ชีวิต
วัตถุ สร้างอาณาจักรชั่วคราว อนิจจัง แต่จิตวิญญาณ สร้างอาณาจักรนิรันดร์ ถาวร
คนที่เข้าถึงโลกวิญญาณ จะเข้าถึงนิรันดร์กาล และถ้าเราแสวงหาอาณาจักรนิรันดร์ เราจะเกิดผลในโลกอนิจจัง
ฮบ.11:3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
พระวจนะในข้อนี้ สอนให้เราเห็นความจริงบางอย่าง ... สิ่งที่มองเห็น เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น
“สิ่งที่มองไม่เห็น” คือ พระเจ้า และจากพระเจ้าที่เรามองไม่เห็นนั้น ก่อให้เกิดสรรพสิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
สิ่งที่มองเห็นได้แก่ โลก มนุษย์ ธรรมชาติ ฯลฯ ส่วนสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ทุกคนยอมรับว่ามีอยู่จริง ได้แก่ รังสี แสง เสียง คลื่นวิทยุโทรทัศน์ รวมไปถึงโลกของวิญญาณ ทั้งจิตวิญญาณ ทูตสวรรค์ สวรรค์และนรก
คส.1:16-17 เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
ทุกสิ่งมาจากการทรงสร้างของพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นระเบียบอยู่ได้โดยพระองค์
ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้ เราจะไม่กลัวต่อปัญหาและอุปสรรคใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต เพราะถ้าแม้แต่จักรวาลที่ยิ่งใหญ่พระเจ้ายังควบคุมดูแลได้ พระเจ้าย่อมดูแลชีวิตเล็กๆ ของเราได้เช่นกัน ... สิ่งเดียวที่เราควรกลัวและยำเกรง คือ พระเจ้าเท่านั้น
ข้าพเจ้าหยิบเอาเรื่องนรกมาสอน ก็เพราะอยากเห็นคริสเตียนได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องกับพระเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญาในโลกนี้ เพื่อเราจะไม่ต้องลำบากในโลกหน้า เรื่องพระเจ้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เรื่องนรกและสวรรค์ก็เช่นกันล้อเล่นไม่ได้
คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1. โลกวิญญาณมีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง
1คร.15:40 ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่าศักดิ์ศรีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และศักดิ์ศรีของร่างกายสำหรับโลกก็อย่างหนึ่ง
พระวจนะของพระเจ้ายืนยันเรื่องความจริงของโลกวิญญาณ สวรรค์และนรก
โดยใช้คำว่า “ศักดิ์ศรีของร่างกาย” สำหรับโลกและสำหรับสวรรค์เป็นคนละอย่างกัน
คนของพระเจ้าอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี ... มีศักดิ์ศรีในการทำดีและในการทำงาน
เมื่อจากโลกนี้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า ก็มีศักดิ์ศรีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
1คร.15:44 สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นร่างกาย สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ ถ้าร่างกายมี กายวิญญาณก็มีด้วย
สิ่งที่หว่าน คือ ร่างกาย หมายถึง ทุกคนต้องตาย ร่างกายนั้น ไม่ว่าจะฝังหรือเผาก็กลับสู่ดิน
ดังที่พระวจนะกล่าวว่า พระเจ้าทรงสร้างร่างกายมนุษย์จากผงคลีดิน และเมื่อกายตายไปก็กลับไปเป็นผงคลีดินดังเดิม
ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
ปญจ.12:7 ผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น
แต่ “สิ่งที่เป็นขึ้นมา” คือ กายวิญญาณ ... เพราะจิตวิญญาณมนุษย์เป็นนิรันดร์
เมื่อมาจากพระเจ้า จึงต้องกลับไปหาพระเจ้า สิ่งที่มนุษย์ฝังหรือเผากันนั้น เป็นเพียงร่างกาย แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณ
เมื่อจิตวิญญาณหลุดจากร่างกาย ก็จะเข้าสู่กายวิญญาณ โลกวิญญาณและโลกทิพย์ จึงมีจริง
รวมทั้งสวรรค์และนรกก็มีจริงด้วย

1.1 อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึงมีจริง
1คร.2:9-10 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า
อาณาจักรที่มองไม่เห็นนั้น เช่น คลื่น เสียง แสง รังสี ต่างๆ
รวมไปถึงเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา สิ่งเหล่านี้มนุษย์ก็มองไม่เห็น แต่มีจริง
สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยินและสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือ สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
โดยพระเจ้าจะสำแดงสิ่งเหล่านั้นกับเราทางวิญญาณ และจะสำแดงกับวิญญาณที่รับได้เท่านั้น
เรื่องความเติบโตและความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่ต่างจากระดับการเติบโตทางสมองหรือปัญญา
แต่ละคนมีความสามารถในการรับความรู้แตกต่างกัน เราไม่สามารถสอนหนังสือให้ทารกได้ฉันใด
พระเจ้าไม่สามารถสำแดงเรื่องวิญญาณให้กับทารกฝ่ายวิญญาณได้ฉันนั้น
ลูกพระเจ้าจำนวนมาก เป็นทารกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าตรัส พระเจ้าสอน พระเจ้าสำแดง แต่เขาก็ไม่ได้ยินและมองไม่เห็น
แต่สำหรับคนที่มีการเติบโตฝ่ายวิญญาณ จะได้รับการสำแดงจากพระเจ้า
พระวิญญาณจะพาเราไปสู่ความล้ำลึก บางคนสามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ล่วงหน้า
นี่คืออีกอาณาจักรหนึ่งของโลกวิญญาณ

1.2 มีอาณาจักรชั่วคราวและมีอาณาจักรนิรันดร์กาล
2คร.4:16-18 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เปาโล เขียนพระวจนะตอนนี้ในขณะที่ท่านมีอายุฝ่ายร่างกายมากแล้ว และความเติบโตฝ่ายวิญญาณก็มีมากด้วย
ผู้เชื่อทุกคนก็ควรเป็นเช่นนี้ คือ อายุมากขึ้น ความเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมากขึ้นด้วย
กายภายนอก คือ สิ่งที่เรามองเห็น อายุมากขึ้น แก่ขึ้น ร่างกายก็ทรุดโทรมมากขึ้นเป็นธรรมดา
แต่จิตใจภายใน ไม่มีใครมองเห็น คือ เรื่องจิตวิญญาณ เราต้องเติบโตขึ้นทุกวัน
ความรักต้องโตขึ้น ความรับผิดชอบต้องโตขึ้น ความเข้าใจชีวิตต้องโตขึ้น ความเข้าใจผู้อื่นต้องโตขึ้นทุกวัน
เปาโล หนุนใจเราทุกคนว่า ความทุกข์ยากที่เราเจอวันนี้ เทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่เราจะรับจากพระเจ้า
โลกที่ร่างกายเราอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงอาณาจักรชั่วคราว อนิจจัง วันหนึ่งเราต้องจากมันไป
วันหนึ่งโลกจะถึงการแตกสลาย ทุกวันนี้เราก็เห็นสัญญาณอันตรายต่างๆ มากมาย
แต่โลกของจิตวิญญาณ เป็นอาณาจักรนิรันดร์ ไม่มีกาลเวลา ไม่มีจุดสิ้นสุด
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดบ่อยๆ ว่า “เริ่มต้นอย่างไร ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร”
ไม่ได้หมายถึง การจบลงในโลกนี้เท่านั้น แต่ต้องมองถึงการจบลงในนิรันดร์กาล ซึ่งสำคัญที่สุด

2คร.5:1-5 เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์ เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
แม้ร่างกายเราต้องตายในวันหนึ่ง แต่ผู้เชื่อจะยังมีที่อาศัยที่พระเจ้าประทานให้
งานศพของคนที่ไม่มีพระเจ้า เป็นงานที่จัดไว้สำหรับผู้ล่วงลับ ตามคำว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”
แต่สำหรับคนของพระเจ้า “ไปแล้วกลับ หลับแล้วตื่น ฟื้นเป็นนิรันดร์” งานนั้นจัดไว้สำหรับผู้ล่วงหลับเท่านั้น
หลังความตายฝ่ายร่างกาย ยังมีอาณาจักรที่มองไม่เห็นรอเราอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้น จึงกล่าวว่าโลกนี้มีทั้งอาณาจักรชั่วคราว แต่ในขณะเดียวกันก็มีอาณาจักรนิรันดร์ด้วย

ดนล.12:2-3 และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์บ้างก็เข้าสู่ความอับ อายและความขายหน้านิรันดร์ และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสง เหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์
เมื่อวาระสุดท้ายเกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์ ชีวิตหลังความตายหรืออาณาจักรนิรันดร์ มีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น
คือ 1) อวดได้นิรันดร์ 2) อับอายนิรันดร์
บางคนตายแล้วอาย บางคนตายแล้วชื่นชมยินดี ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้ เราจะตั้งใจใช้ชีวิตในโลกนี้ให้ดีขึ้น

2. นรก 3 ขุม
เมื่อเราเข้าใจเรื่องอาณาจักรนิรันดร์ เข้าใจว่าโลกวิญญาณ นรกและสวรรค์มีจริง
ขอลงรายละเอียดในเรื่องนรก 3 ขุม และจะมีหนังสืออีกเล่มเรื่องสวรรค์ 3 ชั้นด้วย
เพื่อให้คริสเตียนเข้าใจเรื่องนรกและสวรรค์มากขึ้น ถ้าเราเข้าใจมากขึ้น เราจะเตรียมตัวกลับสู่นิรันดร์กาล
โดยใช้ชีวิตในโลกนี้ด้วยความยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น
นรก 3 ขุม มีดังนี้
2.1 นรกขุมที่ 1 คือ ความตายฝ่ายร่างกาย
ความตายฝ่ายร่างกายเกิดขึ้นกับผู้ใดหรือครอบครัวใด นั่นคือ นรกขุมที่หนึ่งที่ทุกคนต้องเจอ
คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ในปฐมกาล แรกเริ่มพระเจ้าสร้างมนุษย์จากพระฉาย มนุษย์มีชีวิตนิรันดร์อย่างพระเจ้า ไม่ต้องประสบความตาย
แต่ทันทีที่มนุษย์ขัดคำสั่งของพระเจ้า แทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้ากลับไปฟังเสียงมารซาตาน
ชีวิตของมนุษย์จึงต้องพบกับความตาย
ปฐก.3:1-7 ในบรรดาสัตว์ป่าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากิน ผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้' หญิงนั้นจึงตอบงูว่า "ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากินหรือถูกต้องเลย มิฉะนั้นจะตาย' งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว" เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้
คำที่พระเจ้าตรัสว่า กินวันใดตายวันนั้น ไม่ได้หมายถึง ตายทันทีหรือตายเดี๋ยวนั้น
แต่กลายเป็นชีวิตที่ต้องประสบความตาย ทั้งที่จริงๆ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นนิรันดร์
ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์จึงต้องมีชีวิตที่ประสบความตาย

ปฐก.3:13-19 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า "เจ้าทำอะไรไป" หญิงนั้นทูลว่า "งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน"พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า "เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่า สัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง จะ ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินจนตลอดชีวิตเราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของ เจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำพระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้น เจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า"พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่น ดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิตแผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนาเจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะ ต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"
โลกนิรันดร์ที่พระเจ้าสร้างไว้ มนุษย์นำมันไปสู่ความตาย การถูกสาป และเป็นความตายด้านชีวิต

รม.8:18-21 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลายด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏเพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่อดัมและเอวา มนุษย์คู่แรกทำผิด โลกจึงถูกสาป ทุกสิ่งเข้าสู่ความอนิจจังและเสื่อมสลาย
ศาสนาต่างๆ ที่ไม่เข้าใจความจริงข้อนี้ ก็สอนว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งที่จริงๆ มาจากพระเจ้า เป็นกฎของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ออกกฎและควบคุมกฎนั้น
พระเจ้าเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของมนุษย์ จะเกิดได้ สุขได้ เจริญได้ ก็ต้องเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์
เมื่อใดที่ไม่มีการเชื่อฟัง เมื่อนั้นก็มีความเสื่อม ความตายก็เกิดขึ้น
ความตายเกิดขึ้น เพราะอดัมทำบาป และมนุษย์ทุกคนก็ต้องรับความตายนั้นด้วย
ฮบ.9:27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด
พระเจ้ามีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ทุกคน ... ทุกคนต้องตาย ไม่มีใครอยากตาย แต่สุดท้ายไม่มีใครหนีความตายพ้น
คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

และหลังความตายยังคงมีชีวิต ไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นจิตวิญญาณ รอรับการพิพากษาจากพระเจ้า

ความตายฝ่ายร่างกาย เรียกว่านรกขุมที่ 1 เพราะเมื่อความตายมาถึง คนจะร้องไห้ เจ็บปวดและเสียใจ
ปญจ.12:1-7 ในปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงระลึกถึงพระผู้เนรมิตสร้างของเจ้า ก่อนที่ยามทุกข์ร้อนจะมาถึง และปีเดือนใกล้เข้ามา เมื่อ เจ้าจะกล่าวว่า "ข้าไม่มีความเพลิดเพลินในปีเดือนนั้นเลย"ก่อนที่ดวงอาทิตย์ แสงสว่าง ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายอับแสง และก่อนที่เมฆกลับมาเมื่อหมดฝนแล้วในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัวและประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย เมื่อเสียงโม่อ่อยลงมีเสียงนกเสียงกาเขาจะลุกขึ้น และเสียงเพลงก็เพลาลงเออ เขาทั้งหลายกลัวที่สูง และสิ่งน่าสยดสยองก็อยู่ในหนทาง ต้นอัลมันด์มีดอก และตั๊กแตนโมเป็นภาระ ความ ปรารถนาก็ประลาตไปเสีย เพราะมนุษย์กำลังไปบ้านอันถาวรของเขา ส่วนผู้ไว้ทุกข์ก็เวียนไปมาตามถนนก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสีย ณ ที่ขังน้ำและผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น
เมื่อมีความตายเกิดขึ้น ก็มีการร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือขอทาน คนมีการศึกษาหรือไร้การศึกษา
เมื่อถึงเวลาใกล้ตาย ไม่มีใครดีใจ มีแต่เสียใจกันทั้งสิ้น รวมทั้งคนในครอบครัวของผู้ตายด้วย
“สายเงินขาด” คือ ขาดใจ
ชามทองคำจะบรรลัย เหยือกย้ำจะแตก หรือล้อจะหัก คือ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น เมื่อคนที่เรารักตายจากไป
รวมทั้งเป็นความเสียใจของคนตายด้วยที่ไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้อีกหลังความตาย
ในที่สุด ผงคลีกลับเป็นดิน จิตวิญญาณกลับไปหาพระเจ้า กลับไปยังบ้านถาวรของเขา
พระวจนะจึงย้ำตั้งแต่ตอนต้นว่า ในปฐมวัยให้เราระลึกถึงพระเจ้า
อย่ารอให้แก่ใกล้ตาย ป่วยใกล้ตายแล้วค่อยระลึกถึงพระเจ้า
แต่ควรระลึกถึง เคารพยำเกรงและรับใช้พระเจ้าในขณะที่เรามีกำลังและอยู่ในวัยหนุ่มสาว
เมื่อความตายฝ่ายร่างกายมาถึง ทุกคนเจอนรกขุมที่หนึ่ง
ร่างกายตายในระบบและกฎเกณฑ์ของพระเจ้า แต่จิตวิญญาณต้องกลับไปหาพระเจ้า
ที่จริงตาย คือ ไม่ตาย ... ร่างกายหยุดนิ่ง แต่จิตวิญญาณยังเคลื่อนไหวอยู่ ... เพื่อเข้าสู่นรกขุมต่อไป (สำหรับคนที่ไม่เชื่อ)

2.2 นรกขุมที่ 2 คือ แดนมรณา
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า นรกขุมที่ 1 คือ ร่างกายตาย แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่
นรกขุมที่ 2 คือ แดนมรณา ที่ๆ จิตวิญญาณที่ยังคงอยู่นั้นต้องไปถูกกักไว้ที่นั่น
มนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากตาย แต่ทุกคนก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วทุกคนอยากไปดี อยากไปสวรรค์
แต่หลักความจริง คือ ในโลกนี้เราไหว้หรือนับถือสิ่งใด ตายไปแล้วจิตวิญญาณก็จากไปหาผู้นั้น
สวรรค์ไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครคิดจะเข้าก็เข้าได้ เจ้าของสวรรค์ คือ พระเจ้า
ผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะรับการอนุญาตให้เข้าสวรรค์
ศาสดาหรือนักปราชญ์ในโลก ให้มนุษย์ได้แค่คำสอน แต่ไม่สามารถให้สวรรค์ได้
ไม่ใช่ความผิดของศาสดา เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ แต่พระเยซูคริสต์ให้ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า
ผู้ที่ไม่เชื่อนั้น จิตวิญญาณจะถูกนำไปกักไว้ที่แดนมรณา อันเป็นนรกขุมที่ 2

ลก.16:22-23 อยู่มาคนขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วยและเขาก็ฝังไว้แล้วเมื่ออยู่ในแดนมรณาเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน
ไม่มีมนุษย์คนใดรู้จักทางไปสวรรค์หรือแดนมรณา แต่หลังจากความตาย ทูตสวรรค์จะมีหน้าที่นำจิตวิญญาณของเราไปที่นั่น
คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

“ขอทาน” ที่เชื่อพระเจ้าตายไป ทูตสวรรค์พาไปยังอกของอับราฮัม (คือ สวรรค์ชั้นที่ 3)
(จะอธิบายรายละเอียดในหนังสือเรื่องสวรรค์ 3 ชั้น)
“เศรษฐี” ที่ไม่เชื่อพระเจ้าตายไป ทูตสวรรค์พาไปยังแดนมรณา
ลก.16:24-25 เศรษฐีจึงร้องว่า "อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมา เพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้"แต่อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความแสนระทม

นรกขุมที่สอง คือ ทุกขคติ เป็นนรกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและแสนระทม
ขณะนี้ผู้ที่ไม่เชื่อทุกคนก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อรอการพิพากษาในวันสุดท้าย และจะต้องถูกนำไปยังนรกขุมสุดท้าย
ด้วยเหตุที่ต้องพบกับความทุกข์ทรมานแสนระทม การร้องคร่ำครวญของวิญญาณที่อยู่ในแดนนี้
จึงส่งเป็นกระแสคลื่นให้คนในโลกได้ยิน และก่อให้เกิดความปรารถนาดีในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้คนตาย

การทำบุญให้กับคนตาย เป็นความปรารถนาดี ... แต่ความจริง คือ หลังความตายไม่มีใครส่งอะไรถึงกันได้
ลก.16:26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้
พระวจนะบันทึกถึงความจริงในข้อนี้ ระหว่าง “คนตาย” และ “คนเป็น” ระหว่าง “แดนมรณา” และ “โลก”
มีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เหวใหญ่นี้ ไม่ใช่เหวในความคิดของมนุษย์
แต่เป็นอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถข้ามไปถึงกันหรือส่งของไปถึงกันได้
ให้นึกถึงภาพของระบบสุริยจักรวาล ระหว่างความเป็นและความตายก็มีมิติที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นขวางไว้
โลกหลังความตาย ชีวิตนิรันดร์ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับเขาทำอย่างไรในปัจจุบัน
ชีวิตนิรันดร์ เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ทำแทนกันไม่ได้ ... เป็นเรื่องของการทำในปัจจุบัน แล้วจะรับผลในอนาคต

2.3 นรกขุมที่ 3
นรกขุมที่ 2 หรือแดนมรณา ที่ว่าต้องทนทุกข์ทรมานแสนระทมนั้น
ยังเทียบไม่ได้กับนรกขุมสุดท้าย คือ นรกขุมที่ 3 ซึ่งเป็นที่ๆ จิตวิญญาณที่ไม่เชื่อพระเจ้าต้องอยู่ ณ ที่นี้เป็นนิรันดร์
วว.20:10-14 ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะตกอยู่ในนั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวและเห็นท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏแผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ
วันสุดท้าย ความตายและแดนมรณา จะส่งจิตวิญญาณของผู้ไม่เชื่อมาที่นรกขุมที่ 3 ซึ่งเป็นนรกขุมสุดท้าย
นรกขุมสุดท้าย คือ บึงไฟและกำมะถันที่มารซาตานและผู้ที่ไม่เชื่อ ต้องถูกผลักทิ้งลงไปที่นี่
เป็นนรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืน ... ไม่ใช่เพียงไม่กี่วัน เดือนหรือปีเท่านั้น
แต่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นตลอดไปเป็นนิตย์

คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มก.9:43 ถ้ามือของท่านทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีสองมือและต้องถูกทิ้งในนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ
มก.9:48 ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย
มธ.13:49-50 ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพรง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
วว.14:11 และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ ... จะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันกลางคืน
พระวจนะเหล่านี้อธิบายเพิ่มเติมถึงนรกขุมที่ 3 ว่า เป็นนรกที่ไฟไม่รู้ดับ มีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แม้อยากตายให้พ้นความทรมาน ก็จะไม่ตาย แต่ต้องทรมานอยู่อย่างนั้นนิรันดร์กาล
สิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เป็นคำขู่ให้มนุษย์กลัว
แต่เป็นความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ เพราะเป็นข้อกำหนดจากพระเจ้า
ทางเดียวเท่านั้นที่จะพ้นจากนรกขุมนี้ได้ คือ การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า
เมื่อเราเชื่อ หนังสือแห่งชีวิตจะมีชื่อเราบันทึกอยู่ในนั้น ว่าเป็นผู้หมดเวรกรรมแล้ว ได้ไปอยู่กับพระเจ้า
แต่คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่มีชื่อในหนังสือแห่งชีวิต และต้องถูกผลักทิ้งในบึงไฟนรก
เรื่องการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับความดีที่เราทำในโลก แต่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า
เป็นเรื่องการเคารพสิทธิอำนาจของเจ้าของสวรรค์ ความดีไม่ได้ทำให้เรารอด
แต่เพราะเรารอดแล้ว คริสเตียนจึงเป็นผู้กระทำความดี
เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต จะไม่มีใครกล่าวว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม
เพราะเราเชื่อถือในสิ่งใด พระเจ้าจะใช้กฎเกณฑ์ของศาสนานั้นๆ มาวัดเรา
ถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อก็จะพ้นโทษ แต่ความจริง คือ ไม่มีใครรักษาธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ได้ทุกข้อ
จึงไม่มีใครสามารถพ้นโทษได้ด้วยความพยายามของตัวเอง
ยก.2:10 เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด
ขอเตือนลูกพระเจ้าทุกคนไว้ว่า หากเราเลิกเชื่อพระเจ้าเมื่อใด
ตายแล้ว จิตวิญญาณก็ต้องไปทนทุกข์ในนรกขุมนี้ ซึ่งเป็นความทรมานไม่มีสิ้นสุด
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสเตียน คือ การรักษาความเชื่อไว้จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
สูญเสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าสูญเสียความเชื่อ เพราะเสียไปเมื่อใด จิตวิญญาณของเราตกนรกเมื่อนั้น

3. แนวคิดเกี่ยวกับความตายและนรก
ภาพของนรก 3 ขุม ทำให้เราเห็นความน่ากลัวและความทุกข์ทรมานของการตกนรก
ขอฝากแนวคิดเกี่ยวกับความตายและนรกไว้สำหรับคนของพระเจ้า
เพื่อตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ จะสามารถเตรียมพร้อมสำหรับโลกนิรันดร์ได้มากขึ้น

3.1 พระเจ้าแนะนำให้ยอมตัดอวัยวะบางส่วนเพื่อไปสวรรค์ ดีกว่าไปนรกด้วยอวัยวะครบทุกส่วน
มธ.5:22-29 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วง

คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ประเวณีผัวเมียเขา ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสียเพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก
การยั่วโทสะ นำมาซึ่งการโกรธ เกลียดและการเป็นศัตรู ... สิ่งเหล่านี้แม้กายยังไม่ตายก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น
ยิ่งอวัยวะใดนำในเรากระทำผิดที่รุนแรงมากขึ้น พระเจ้าแนะนำให้ตัดอวัยวะชิ้นนั้นออกเพื่อรักษาชีวิตและความเชื่อ
ความหมายของพระวจนะ ไม่ได้ให้เราทำร้ายร่างกายของเราจริงๆ
แต่หมายถึง การสูญเสียอวัยวะที่ว่าเป็นเรื่องน่ากลัวนั้น เทียบไม่ได้กับความน่ากลัวเมื่อเราต้องตกนรก

3.2 พื้นฐานชีวิตคริสเตียนในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ คือ การเอาชนะตัวเอง
ลก.9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
การเอาชนะตัวเอง เป็นพื้นฐานชีวิตคริสเตียนที่สำคัญที่สุด
ไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ แต่ต้องทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยพระเจ้า (ตามพระคัมภีร์)
1คร.9:27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
จะเอาชนะตัวเองได้ ต้องฝืน ต้องฝึก ต้องมีวินัย ต้องยอมเจ็บปวด
คิดผิดได้ แต่ต้องไม่จมอยู่กับมัน ... ทำผิดได้ แต่ต้องรีบแก้ไขและกลับตัวกลับใจใหม่เสมอ
ควักลูกตา ตัดแขน ตัดขา การทุบตีร่างกาย เล็งถึง ความเจ็บปวดในการเอาชนะตัวเอง
ถ้าเราทำสำเร็จเมื่อใด ชีวิตนิรันดร์ บำเหน็จและรางวัลจากสวรรค์ก็เป็นของเรา

3.3 พระเจ้า คือ ผู้เดียวที่เราควรยำเกรง
มธ.10:28 อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้
พระวจนะข้อนี้หนุนใจเป็นพิเศษสำหรับคนที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่เชื่อพระเจ้า
ลูกที่มีพ่อแม่ไม่เชื่อ สามีภรรยาที่คู่ไม่เชื่อ หรือลูกน้องที่มีเจ้านายไม่เชื่อพระเจ้า จะยื่นคำขาดให้เราเลิกเชื่อ
พ่อแม่ สามีภรรยาหรือเจ้านาย เป็นผู้มีอำนาจเหนือเรา โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นเราต้องให้ความเคารพ
แต่ผู้เดียวที่มีสิทธิ์กำหนดชีวิตหลังความตายของเรา คือ พระเจ้า
(พ่อแม่ให้ชีวิตเราในโลกนี้ แต่พ่อแม่ให้สวรรค์กับเราไม่ได้)
ดังนั้น เมื่อถึงทางแยก เมื่อต้องเลือก ให้เลือกพระเจ้า อย่าเลิกเชื่อในพระองค์
ถ้าจะตายก็ต้องยอมตายเพื่อพระเจ้า ตายเพื่อความดี ตายเพื่อความถูกต้อง
อย่าตายเพราะเห็นแก่งาน เห็นแก่เงิน เห็นแก่ความรัก (ถ้าคนรักพาเราตกนรก ก็ต้องเลิกกับเขา ไม่ใช่เลิกเชื่อพระเจ้า)
อย่ากลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้ยึดพระวจนะของพระเจ้า ... พระองค์มีสิ่งดีให้กับผู้เชื่อเสมอ
ถ้าเราต้องสูญเสียบางอย่างในวันนี้ พระเจ้าจะให้สิ่งที่ดีกว่าในวันหน้าแก่เรา
รม.8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
ถ้าเราเคารพ ยำเกรงและรักพระเจ้า เราจะได้สิ่งที่ดีอย่างแน่นอนทั้งโลกนี้และโลกหน้า


คำเทศนาอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -9- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.4 ข้อควรระวังสำหรับผู้สอนผิด
มธ.23:15 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า
ข้อควรระวังสำหรับผู้สอนผิด พระเยซูคริสต์เตือนพวกธรรมาจารย์และฟาริสี และเตือนถึงผู้รับใช้ในปัจจุบันด้วย
ถ้าสอนผิด ทำให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตที่ผิด เท่ากับส่งเขาลงนรกทั้งเป็น
ผู้สอนผิดนั้น ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า รับโทษแรงจากพระองค์
ดังนั้น หลักการของข้าพเจ้า คือ จะไม่สอนผิดจากพระวจนะของพระเจ้า
ต่อให้รักสมาชิกมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องสอนเพื่อเอาใจสมาชิกและต้องผิดต่อพระวจนะ ก็จะยอมเสียสมาชิก
แต่จะไม่ยอมเสียหลักการของพระเจ้า

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความเข้าใจเรื่องนรกและโลกนิรันดร์ จะทำให้เรารักและยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น
ถ้าเรากลัวนรก เราจะยำเกรงพระเจ้า ถ้าเรายำเกรงพระเจ้า เราจะได้เข้าสวรรค์
(เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ควรอ่านคู่กันทั้งเรื่อง “นรก 3 ขุม” และ “สวรรค์ 3 ชั้น”)

No comments:

Post a Comment