Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “มรดกธรรมิกชน” จาก “อฟ.1:17-18”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “มรดกธรรมิกชน” จาก “อฟ.1:17-18”

อฟ.1:17-18 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
“มรดกของธรรมิกชน” มีมากมาย มหาศาล จึงเป็นเหตุให้ธรรมิกชนหรือคนของพระเจ้า เป็นกลุ่มชนที่มีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุดในโลก นำความเจริญสู่โลกและอยู่แนวหน้าของโลกในทุกด้าน
คริสเตียน เริ่มต้นจากอับราฮัม ผู้ให้กำเนิดยิวฝ่ายเนื้อหนังและยิวฝ่ายวิญญาณ (คริสเตียน) จากคนๆ เดียวในอดีตสู่คนจำนวนมากที่เป็นส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบัน คริสตจักรของพระเจ้าก็เช่นกัน เริ่มต้นจากกลุ่มชนจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญ แต่พัฒนาเติบโต เกิดผลจนกลายเป็นสถาบันหลักที่ทรงพลังของโลก
ในพระวจนะตอนนี้ อ.เปาโล จึงกล่าวว่าท่านอธิษฐานขอให้เราทุกคนได้เห็นถึงมรดกนั้นที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้คนของพระองค์ แต่เราจะเห็นได้ ก็ต่อเมื่อตาใจฝ่ายวิญญาณของเราถูกเปิดออก

มรดกที่ว่านั้น ไม่ได้หมายถึง ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น (ซึ่งพระเจ้าทรงสามารถให้เราได้อย่างแน่นอน) แต่ที่มากกว่านั้น คือ ความสุขและความชื่นชมยินดีท่ามกลางภัยพิบัตินานาประการที่กำลังเกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้
ทั่วโลกกำลังสับสนวุ่นวาย ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยการเมือง ภัยเศรษฐกิจและภัยที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง แต่คริสเตียน ยังมีความหวังใจ ยังมีความสุข เพราะเรามีจุดยืนที่ได้รับจากพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่พระเจ้าทรงประทานให้
ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
ในโลกใบนี้ เราอาจจะทุกข์เพราะการทำมาหากิน ทุกข์เพราะต้องหาเลี้ยงครอบครัว และทุกข์เพราะสารพัดในโลกเต็มด้วยความบาป แต่ในความทุกข์นั้น เรายังสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ หัวเราะท่ามกลางการร้องไห้ได้ เพราะเรามีพระเจ้า
ฮบก.3:17-18 แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจาก คอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรงถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้าพระเยโฮวาห์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ทรงกระทำเท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีน กวางตัวเมีย พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลายของข้าพเจ้า ถึงหัวหน้านักร้อง ใช้เครื่องสาย
คริสเตียน ชื่นชมยินดีได้ในสถานการณ์ต่างๆ เพราะเรามีสติ เรามีกำลัง และเรารู้ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้เราผ่านพ้นจากปัญหาและความทุกข์ยากต่างๆ ได้
ฟป.4:4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่เราไม่สามารถชื่นชมยินดีได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง พ่อแม่ ลูกหรือสามีภรรยาที่เรามีอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถชื่นชมยินดีได้เสมอ คือ พระเจ้า ... พระองค์แสนดี เป็นเหมือนเดิมวานนี้ วันนี้และสืบไปเป็นนิตย์ เราต้องมีวิญญาณแห่งการสรรเสริญ เราจึงสามารถชื่นชมยินดีได้ในทุกกรณี
และพระวจนะในตอนนี้ (อฟ.1:17-18) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดยืนของคริสเตียน เราต้องรู้ ต้องเข้าใจ และต้องมีความหวังใจในมรดกที่พระเจ้าทรงประทานให้กับธรรมิกชนทุกคน และอย่าลืมว่าพระเจ้าผู้ทรงประทานมรดกให้กับเรานั่นยิ่งใหญ่เพียงใด ตาม 1ทธ.6:15-16 “ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ดังนั้น เราจึงไม่มีวันที่จะขาดแคลนสิ่งดีและสิ่งจำเป็นใดๆ ในชีวิตอีกเลย
มรดกของธรรมิกชน
1. เราจะเห็นมรดกนั้นได้ ... ตาใจต้องสว่างและต้องมีความเข้าใจ
อฟ.1:17-18 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ... ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
มรดกของธรรมิกชนนั้น เราจะสามารถมองเห็นได้ ต้องมองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตาฝ่ายเนื้อหนัง
เปาโล จึงต้องอธิษฐานเผื่อเราทุกคน ขอให้ตาใจฝ่ายวิญญาณของเราเปิดออก
เมื่อเราอธิษฐานเป็นการส่วนตัวก็เช่นเดียวกัน ควรอธิษฐานให้พระเจ้าเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณของเรา
เพราะเมื่อเรามองเห็น เราจะมีทั้งความเข้าใจ และเต็มไปด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า

สภษ.20:12 หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเจ้าทรงสร้างมันทั้งสอง
หูและตา พระเจ้าทรงสร้างมัน แต่ไม่ใช่ทุกหูที่ฟังจะได้ยิน ทุกตาที่มองจะเห็น
เราต้องอธิษฐานขอให้เรามีหูที่ฟังได้ และมีตาที่มองเห็นมรดกที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา

วว.4:6-8 และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมองดูเหมือนทะเลแก้วผลึกและบริเวณรอบพระที่นั่งทั้งสองข้างนั้น มีสัตว์สี่ตัวซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงห์ สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"
สัตว์ที่อยู่รอบพระที่นั่งนั้น มีลักษณะเด่นตรงที่มีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหน้า มีตาทั้งรอบนอกและข้างใน
ตา คือ ปัญญา ตา คือ วิสัยทัศน์ ตา คือ ทัศนคติ ตา คือ ความสามารถในการมองเห็น
คนที่มองก็มีมาก แต่คนที่เห็นมีน้อย ... คนของพระเจ้าต้องอธิษฐานขอให้มีตาที่มองเห็นได้
ต้องอธิษฐานขอตาข้างใน ขอตาฝ่ายวิญญาณ ขอตาแห่งความเข้าใจ
ทั้งการเข้าใจตัวเอง การเข้าใจผู้อื่น และการเข้าใจพระเจ้าให้มากขึ้นในทุกวัน

กจ.26:18 เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขา และให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยความเชื่อในเรา
คนจะนำคน ต้องเหนือคน เราจะตามใคร เขาต้องนำเราได้
นำ คือ นำจากความมืดไปสู่ความสว่าง ดงนั้น พันธกิจของคริสตจักร คือ การเบิกตา การเปิดตาฝ่ายวิญญาณของคน
ไม่ใช่ตาข้างนอกหรือตาเนื้อหนัง แต่เป็นตาข้างใน คือ ตาฝ่ายวิญญาณ
นิยามของคำว่า “ผู้นำ” นั้น คือ ผู้ที่เห็นก่อน ผู้ที่เห็นไกลกว่า และผู้ที่เห็นมากกว่าคนอื่น
แต่ธรรมิกชน คนของพระเจ้านั้น จะเห็นได้ไกลกว่า เห็นได้ก่อน เห็นได้ลึกและละเอียดยิ่งกว่าผู้นำของโลกด้วยซ้ำ
การเข้าส่วนผูกพันกับคริสตจักรและการศึกษาพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ตาฝ่ายวิญญาณเราเปิดมากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นการเตรียมตัวกลับสู่นิรันดร์กาลอย่างมีสง่าราศีอีกด้วย

2. มรดกของธรรมิกชน มีสง่าราศีอุดมสมบูรณ์
อฟ.1:18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทาน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
คำว่า “สง่า” และ “ราศี” ต้องมาด้วยกัน จึงจะเกิดความสมบูรณ์
มรดกของธรรมิกชน ไม่เพียงมีสง่าราศีเท่านั้น แต่ยังมีอย่างอุดมบริบูรณ์ด้วย

พระวจนะเกี่ยวกับ “สง่าราศีอุดมบริบูรณ์”
รม.8:18 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย
เปาโล เขียนพระวจนะตอนนี้ ในขณะที่การเป็นคริสเตียนนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
คริสเตียนสามารถถูกจับ ถูกข่มเหง ถูกฆ่าได้ตลอดเวลา
แต่ท่านย้ำว่าการถูกกระทำดังกล่าวนั้น เทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีที่เราจะได้รับในเบื้องหน้า
เราต้องถือว่า “ความสำเร็จ” และ “ความลำบาก” เป็นของคู่กัน และศักดิ์ศรีที่เราได้รับถือเป็นเกียรติจากพระเจ้า
ถ้าเราต้องลำบากเพื่อสิ่งที่ดี และต้องลำบากเพื่อพระเจ้า เราจะรับศักดิ์ศรีจากพระองค์
ความยากลำบากเพื่องานพระเจ้า จะเป็นวงล้อของพระองค์ นำพาเราไปสู่เกียรติและศักดิ์ศรีที่ถาวร
ย้ำว่า ต้องเป็นการลำบากเพื่อ “พระเจ้า” เท่านั้น ไม่ใช่ลำบากเพื่อ “ข้าพเจ้า” (เพื่อตัวเอง)

2คร.4:17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้
เปาโล มิได้เป็นแบบอย่างทางด้านคำพูดเท่านั้น แต่ท่านเป็นแบบอย่างด้านการกระทำด้วย
ที่จริงความทุกข์ยากลำบากที่เปาโลต้องเผชิญ ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยสำหรับมนุษย์เลย
แต่เมื่อท่านเทียบกับศักดิ์ศรีที่จะได้รับจากพระเจ้าแล้ว ความทุกข์นั้นกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยทันที
ความทุกข์ที่เปาโลกล่าวว่าเล็กน้อยนั้น คือ 2คร.6:4-9 เช่น การถูกเฆี่ยนตี การถูกจำคุก ถูกลือในทางเสียหาย การอดอาหารฯลฯ

1ปต.5:1,4 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้ใหญ่ในพวกท่านทั้งหลาย ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และมีส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีอันจะมาปรากฏภายหลัง, และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย
ศักดิ์ศรีและสง่าราศีจากพระเจ้านั้น เราทุกคนสามารถมีส่วนในการที่จะรับได้ แต่เงื่อนไข คือ ต้องทำ
เหมือนคำพูดที่ว่า “ความดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องทำเอาเอง” เรื่องของศักดิ์ศรีและสง่าราศีจากพระเจ้าก็เช่นกัน
ซื้อขายกันไม่ได้ ใครอยากจะได้ ต้องลงมือกระทำเอาเอง
เราเห็นตัวอย่างจากผู้รับใช้ในพระคัมภีร์ ผู้ที่ได้กระทำเพื่อพระเจ้า ก็รับศักดิ์ศรีอันหาที่เปรียบไม่ได้จากพระองค์
วันนี้ เราลองหลับตาแล้วถามตัวเอง ... ถ้าเราต้องตายไปเดี๋ยวนี้ มีรางวัลอะไรรอเราอยู่บนสวรรค์บ้าง?
มีอะไรบ้างที่เราได้กระทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า?
การกระทำของเราในโลกนี้แหละ จะเป็นคำตอบของคำถามดังกล่าว

2.1 มรดกของธรรมิกชนนั้น ทรงคุณค่า มีประโยชน์ มีสาระ
มรดกของธรรมิกชน เต็มไปด้วยคุณค่า ประโยชน์และสาระทั้งต่อตัวเอง ต่อสังคม และต่อพระเจ้า
สดด.1:3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญ ขึ้น

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มธ.13:31-32 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"
มธ.5:13-14 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
มรดกนั้น คือ ชีวิตที่จำเริญเป็นนิตย์ของเรา
มรดกนั้น คือ ชีวิตที่เติบโตจนสามารถกลายเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
มรดกนั้น คือ การเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างของโลก กลายเป็นคนมีคุณภาพของโลก
อยู่ที่ไหนก็เป็นประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็เจริญ อยู่ที่ไหนก็อบอุ่น
ตาใจเราต้องมองทะลุ พระคุณของพระเจ้าต้องนำเรา และเราต้องให้พระเจ้ามาก่อนเสมอ

มธ.6:33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
มรดกนั้น คือ พระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เรายังขาดอยู่นั้นให้กับเราได้
สิ่งที่เรายังขาดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ปัญญา สุขภาพ คู่ชีวิต คริสตจักรหรืออนาคต ...
พระเจ้าประทานให้ได้ หากเราแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน
ถ้าเราให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง และให้พระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ว่าเราจะมีหรือเป็นอะไร ก็รับพระพร
พระเจ้าเปรียบเหมือนเลข “1” ในขณะที่สิ่งอื่นๆ เปรียบเหมือนเลข “0”
เลข 0 ตามหลังเลข 1 มากเท่าไร ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
จาก 10 เป็น 100 จาก 100 เป็น 1000 จาก 1000 เป็น 10000 และสามารถเพิ่มมูลค่าไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เลข 0 เมื่อนำหน้าเลข 1 ไม่ว่าจะมี 0 กี่ตัวมูลค่าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น 01 001 0001 00001 ...
พระเจ้าต้องมาก่อน ตัวเรามาทีหลัง เงินมาทีหลัง ครอบครัวมาทีหลัง การงานมาทีหลัง ... จะรับพระพร

2.2 มรดกของธรรมิกชนนั้น บริบูรณ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่อง
มรดกของธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องทุกด้าน
ก. ทางด้านจิตวิญญาณ
2ทธ.3:17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
พระวจนะของพระเจ้า ส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกของพระเจ้าทำดีได้ “ทุกประการ” ไม่ใช่ “บางประการ”
แต่การจะทำดีได้ทุกประการนั้น ใช่ว่าจะสำเร็จภายในวันเดียว
แต่เป็นขบวนการทำงาน เป็นขบวนการสร้างของพระเจ้าที่ทำงานผ่านตัวเราตลอดชีวิต

ข. ทางด้านโลกและประโยชน์ของโลก
2คร.9:8-9 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
มรดกของพระเจ้า ประทานให้เรามีพอสำหรับตัวเองและมีพอสำหรับกระทำการดีทุกอย่าง
พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถประทานสิ่งสารพัดให้กับผู้เชื่อได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ดังนั้น ธรรมิกชน คนของพระเจ้าจึงมีอย่างบริบูรณ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่อง
แต่สิ่งที่เราต้องทำควบคู่ไปกับการอวยพรของพระเจ้าด้วย คือ การจำกัดช่องโหว่ของชีวิต
เช่น การฟุ่มเฟือย ความโลภ การโอ้อวด หรืออบายมุขทุกอย่าง
ตาใจฝ่ายวิญญาณของเราต้องเปิด และมุ่งกระทำในสิ่งที่มีสาระ เป็นสาระเท่านั้น

สภษ.8:18 ความมั่งคั่งและเกียรติอยู่กับเรา ทั้งทรัพย์ศฤงคารที่ทนทานและความชอบธรรม
สภษ.10:22 พระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย
สภษ.13:7 คนที่ว่าตนมั่งคั่ง แต่ไม่มีอะไรเลยก็มี คนที่ว่าตนเป็นคนจน แต่มีทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมากก็มีอยู่
ความมั่งคั่งและเกียรติอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถประทานสิ่งเหล่านั้นแก่เรา
ถ้าเราอยากมีทรัพย์ที่ทนทานถาวร ก็ต้องยืนอยู่บนความชอบธรรม ไม่ใช่ความอธรรม
พระพรพระเจ้ามั่งคั่ง ความถ่อมก็เป็นพระพร การแยกแยะผิดถูกได้ก็เป็นพระพร
ที่สำคัญการเคารพยำเกรงพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ ก็ทำให้เรารับพระพรและความมั่งมั่งจากพระเจ้า

3. เราจะได้รับมรดกนั้น ก็ต่อเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ชีวิตคริสเตียนหลายคน ได้รับความรอด ได้รับสิทธิในเป็นบุตรของพระเจ้า แต่กลับไม่ได้รับมรดกตามพระสัญญา
ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม แต่เป็นเพราะเขายังเป็นเด็ก เป็นทารกฝ่ายวิญญาณ
พระเจ้าจึงไม่สามารถประทานมรดกให้ได้ ... เพราะหากประทานให้แล้ว แทนที่จะเป็นพร จะกลับกลายเป็นภัย
คงไม่มีพ่อแม่คนไหนมอบทองเส้นละบาทให้กับลูกที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลไปโรงเรียน
เพราะแทนที่ปลอดภัย เขาอาจจะได้รับอันตราย
พระเจ้าก็เช่นกัน ตราบใดที่เรายังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ก็ไม่สามารถประทานมรดกให้เราได้
เพราะพระเจ้าไม่ปรารถนาให้มรดกนั้น ต้องมาทำร้ายและทำลายตัวเราเอง

กท.4:1-2 ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์ จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้
ทายาทที่เป็นเด็ก ก็ไม่ต่างจากทาส แม้พ่อแม่มีมรดก แต่เขายังไม่สมควรที่จะได้รับมรดกนั้น
ลูกพระเจ้าหลายคน เมื่อยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่สามารถรับมรดกจากพระเจ้าได้เช่นกัน

1คร.3:1-4 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็งเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังเพราะว่าเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือและไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือเพราะเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล" และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล" ท่านทั้งหลายมิได้เป็นเพียงมนุษย์สามัญหรือ
เราสามารถวัดตัวเองได้ว่ายังเป็นเด็กหรือทารกฝ่ายวิญญาณหรือไม่ตามพระวจนะตอนนี้
ยังอิจฉากันอยู่ ยังขัดเคืองใจกันอยู่ ยังแตกแยก แบ่งก๊กแบ่งเหล่ากันอยู่ คือ อาการอย่างเด็ก
ลูกพระเจ้าที่ยังมีอาการเหล่านี้อยู่ ยังไม่สามารถรับมรดกจากพระองค์ได้

ผู้ที่อยากได้รับมรดกของธรรมิกชน จะต้องพัฒนาตนเองให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเสียก่อน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

อฟ.4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
พระวจนะตอนนี้ เป็นขบวนการเติบโต 3 ระดับ
คือ (1) โตเป็นผู้ใหญ่ (2) โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ (3) โตเป็นผู้ใหญ่ถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
อยากเข้าสู่ขบวนการเติบโต ก็ต้องรับการสอน รับการสร้างจากพระเจ้าผ่านคริสตจักร ผ่านพี่เลี้ยง
จำไว้ว่า “พระเจ้ายอมให้ลูกของพระเจ้ารอดอย่างขาดแคลน ดีกว่าต้องมีมากแล้วพินาศไป”
ทางเดียวที่จะทำให้เรารับมรดกของธรรมิกชนได้ คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น

4. พระเจ้าทิ้งมรดกให้เรา เราทิ้งมรดกอะไรให้โลก
มรดกของธรรมิกชนนี้ ไม่ได้หมายถึง เราเป็นผู้รับฝ่ายเดียวเท่านั้น
แต่พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นผู้ให้ หรือเป็นผู้ที่ทิ้งมรดกไว้ให้กับโลกนี้ด้วย
ชีวิตคริสเตียน ต้องมีทั้ง “คุณภาพ” และ “ดุลยภาพ”
มีบุคคลมากมายในโลกนี้ที่แม้ตัวตายจากเราไปแล้ว แต่สิ่งที่ท่านมอบเป็นมรดกยังเป็นประโยชน์ต่อโลก
- รัชกาลที่ 5 ได้ทรงทิ้งมรดก การเลิกทาส การรถไฟ การประปา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ให้ประเทศไทย
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ทิ้งทฤษฏีเกี่ยวกับฟิสิกส์ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาโลก
- โทมัส อัลวา เอดิสัน ได้ทิ้งสิ่งประดิษฐ์มากมายที่มนุษย์สามารถพัฒนาต่อยอดได้ไม่สิ้นสุด
- เปาโล ได้ทิ้งมรดก คือ คริสตจักรที่ท่านได้บุกเบิกก่อตั้ง คำสอนที่กลายเป็นแบบแผนของคริสเตียนทั้งโลก
สอนกันมาสองพันกว่าปีไม่มีหมด และยังสอนได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต
- พระเยซูคริสต์ ทิ้งมรดก คือ อัครทูต 12 คน สืบสานงานจนกระทั่งอาณาจักรของพระเจ้ายืนยงถึงปัจจุบัน
อีกทั้งยังเตรียมมรดกไว้ให้กับเราในโลกหน้าด้วย ตาม วว.21-22 (ลักษณะและคุณภาพชีวิตในโลกนิรันดร์)

เราเองผู้เป็นคนของพระเจ้า ก็ควรจะทิ้งมรดกและสิ่งดีๆ ไว้ให้กับคนรุ่นหลังเช่นกัน
4.1 ทิ้งมรดก โดยการนำคนมาถึงพระเจ้า
เราต้องถามและประเมินตัวเองเสมอว่า ตลอดชีวิตของเรานำกี่คนมาถึงพระเจ้า?
ทิ้งผู้เชื่อกี่คนไว้เป็นมรดกสำหรับโลกนี้
ดนล.12:3 และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสง เหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์

4.2 ทิ้งมรดก โดยการให้กำเนิดความเชื่อศรัทธาแก่คน
มรดกที่ทิ้งไว้ไม่เพียงการนำคนเท่านั้น แต่ต้องเป็นการให้กำเนิดปลูกฝังความเชื่อศรัทธาให้แก่ผู้คนด้วย
1คร.4:15 เพราะในพระคริสต์ถึงแม้ท่านมีผู้ควบคุมสักหมื่นคน แต่ท่านก็มีบิดาแต่คนเดียว เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านโดยข่าวประเสริฐ

4.3 ทิ้งมรดก โดยการให้กำเนิดทายาทฝ่ายวิญญาณ
ฟป.2:20-22 ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง เพราะว่าคนอื่นๆย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้ว ว่าเขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา
เปาโล มีทายาทฝ่ายวิญญาณ คือ ทิโมธี ... เรามีใครเป็นทายาทในงานของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 10 (รอบบ่าย) -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

งานของพระเจ้าสามารถสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ เพราะแต่ละรุ่นมีทายาทฝ่ายวิญญาณ
เราเองก็ควรที่จะสร้างทายาทฝ่ายวิญญาณไว้ด้วย เพื่อว่าเมื่อเราตัวจากไป งานของเราจะยังมีคนสานต่อ
ไม่ทำงานเปล่า ไม่เหนื่อยเปล่า ไม่วิ่งเปล่าๆ

4.4 ทิ้งมรดก โดยการปลูกฝังอุดมการณ์อยู่เพื่อพระคริสต์ให้กับผู้คน
ฟป.1:21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร
การอยู่เพื่อพระคริสต์ที่เป็นรูปธรรม คือ อยู่เพื่อผู้อื่น อยู่เพื่อพี่น้อง อยู่เพื่อเป็นประโยชน์ อยู่เพื่ออาณาจักรพระเจ้า
ถ้าเราสามารถปลูกฝังอุดมการณ์นี้ให้เกิดในผู้คนได้ งานของพระเจ้าจะขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด

4.5 ทิ้งมรดก โดยการใช้ชีวิตของเราเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่น
ฟป.4:9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
เปาโล เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ทรงพลังและเป็นแรงบันดาลใจของผู้คน
ท่านทิ้งชีวิตที่เป็นแบบอย่างเอาไว้ ทุกสิ่งที่เราได้เห็นในตัวท่าน มีประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังมากมาย
เราเองก็สามารถเป็นประโยชน์เช่นกันกับเปาโล ถ้าเราวางชีวิตไว้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้อื่น
เราต้องถามตัวเราเองเสมอว่า ชีวิตของเราได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครกี่คน
มากี่คนอยากตามเรา มีกี่คนเห็นแบบชีวิตที่ดีของเรา

ปัจเจกบุคคลทุกคนต้องตายไป แต่เราจะไม่ตายเลย ถ้าเราได้ทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง
พระเจ้าทิ้งมรดกให้เราอย่างไร ขอให้เราทิ้งมรดกให้คนรุ่นหลังอย่างนั้นด้วย

No comments:

Post a Comment