Sunday, April 24, 2011

“ คำสอน เรื่อง การนมัสการ ”

การนมัสการ -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

“ คำสอน เรื่อง การนมัสการ ”

เราจะสามารถเข้าใจและเข้าถึงการนมัสการพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจถึงภาพรวมของการนมัสการ
เป้าหมายของการทานอาหาร คือ อิ่ม อร่อย และมีประโยชน์
เป้าหมายของการเรียนหนังสือและการศึกษา คือ การมุ่งยกระดับปัญญาและคุณธรรม
การนมัสการพระเจ้า ก็มีเป้าหมายที่เราต้องเข้าใจเช่นกัน
การนมัสการนั้น ถือเป็นทิพย์อาหารจากสวรรค์ การนมัสการสามารถตอบสนองชีวิตมนุษย์ได้ ดังนี้
ด้านอารมณ์
การนมัสการ ทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น จากร้อนเป็นเย็น จากวุ่นวายเป็นสงบ จากร้ายเป็นดี
การนมัสการนั้น เป็นยาบำบัดอารมณ์ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์
ด้านร่างกาย
เมื่อการนมัสการส่งผลให้อารมณ์ดี อารมณ์นั้นจึงส่งผลมาถึงร่างกายด้วย
เมื่ออารมณ์ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี กินก็ดี ทุกอย่างดีไปหมด
ด้านจิตใจ (ความคิดและใจ)
การนมัสการ ส่งผลให้ความคิดและจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป
ใจเราจะดีขึ้น สุภาพขึ้น อ่อนน้อมขึ้น อ่อนโยนขึ้น และความคิดเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
รักได้แม้คนที่ไม่น่ารัก ทำได้ในสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้
ด้านจิตวิญญาณ (จิตใต้สำนึก)
มีคำว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ... แต่สิ่งที่อยู่เหนือจิต คือ จิตวิญญาณ
จิตวิญญาณเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์ ควบคุมทุกอย่างของมนุษย์
การนมัสการ นำเราไปสู่สุดยอดสมาธิ ไม่เพียงจิตใจเราจะนิ่งเท่านั้น แม้จิตวิญญาณของเราก็นิ่งด้วย

1. นิยามของการนมัสการ
นิยามของการนมัสการ คือ การแสดงออกถึงความเคารพ การเทิดทูนพระเจ้า
การแสดงถึงความรักและความผูกพันต่อพระเจ้า
การแสดงถึงการประจบ คลอเคลีย และการสำนึกในพระคุณของพระเจ้า
การนมัสการพระเจ้าของคริสเตียน ไม่ได้ใช้ดอกไม้หรือธูปเทียน แต่ใช้ตัวเราเองเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
ฮบ.13:16 จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
พระเจ้าทรงย้ำเตือนให้เราเข้าถึงการนมัสการที่แท้จริง ท่าทีภายในสำคัญกว่าภายนอก
การช่วยเหลือผู้อื่น คือ การนมัสการที่แท้จริง

รม.12:1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
พระเจ้าเรียกร้องให้เราถวายตัวของเราเอง เป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า เราเป็นชาวสวรรค์ ต้องดำเนินชีวิตอย่างชาวสวรรค์
ไม่มีใครสมบูรณ์ แต่เราทุกคนกำลังเดินเข้าสู่ความสมบูรณ์นั้นโดยพระเจ้า
การนมัสการ -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ปฐก.12:7-8 พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่อับราม ตรัสว่า "ดินแดนนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้า" อับรามสร้างแท่นที่ นั่นถวายบูชาแก่พระเจ้าผู้สำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ท่าน อับรามย้ายไปจากที่นั่น มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล จึงตั้งเต็นท์อยู่ที่นั่น ให้เมืองเบธเอลอยู่ทางทิศ ตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทิศตะวันออก ส่วนท่านสร้างแท่นบูชาพระเจ้าที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระเจ้า
อับราฮัมเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการนมัสการพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ท่านจะสร้างแท่นบูชาเพื่อนมัสการพระเจ้า
ไม่มีแท่นบูชา ท่านก็จะสร้างแท่นบูชาขึ้นและถวายบูชาพระเจ้าที่นั่น
อับราฮัม เป็นตัวอย่างที่สอนให้เรารู้จักจัดเวลาในการนมัสการพระเจ้า
ยุ่งแค่ไหน หรือมีเวลาน้อยที่สุด แต่จำไว้ว่าทุกๆ วันคริสเตียนต้องสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบ แต่พระองค์ไม่เป็นทาสระเบียบ
การเข้าเฝ้า การนมัสการ การสร้างแท่นบูชา ต้องเกิดจากความรักไม่ใช่การบังคับ

สดด.91:14-16 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา
เราต้องให้พระเจ้าพูดกับเราได้ว่า เพราะเรานมัสการพระเจ้าด้วยความรัก ด้วยความผูกพัน

กจ.20:22-24 นี่แน่ะ บัดนี้พระวิญญาณพันผูกข้าพเจ้า จึงจำเป็นจะต้องไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่นั่นบ้าง เว้นไว้แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้าในทุกบ้านทุกเมืองว่า เครื่องจำจองและความยากลำบากคอยท่าข้าพเจ้าอยู่ แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น
พระวิญญาณของพระเจ้าพันผูกเรา พระเจ้าผูกพันกับเราผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์
แต่เราเองก็ต้องมีชีวิตที่ผูกพันกับพระเจ้าด้วย ถ้าเราผูกพันกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะพันผูกกับชีวิตของเราด้วย
ส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงการผูกพันนั้น คือ การนมัสการพระเจ้า
พระเจ้าผูกพันกับเราอยู่แล้ว แต่เราต้องผูกพันกับพระเจ้าด้วย

1.1 การนมัสการ เป็นการผูกพันระหว่างผู้นำสูงสุด
วว.4:4-6 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ มีฟ้าแลบฟ้าร้อง และเสียงต่างๆดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีคบเพลิงเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า
ภาพของการนมัสการในสวรรค์ สะท้อนถึงการผูกพันระหว่างผู้นำสูงสุด
รอบพระที่นั่งของพระเจ้า มีสัตว์ 4 ตัว และมีผู้อาวุโส ซึ่งเล็งถึง ผู้รับใช้ที่ทรงอำนาจสูงสุด
และผู้รับใช้นั้น นมัสการแสดงถึงความผูกพันของผู้รับใช้พระเจ้ากับผู้นำสูงสุด คือ พระเจ้า

1.2 การนมัสการ เป็นการผูกพันระหว่างเจ้าสาวกับเจ้าบ่าว
วว.19:7-8 ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและเต้นโลดถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ได้เตรียมพร้อมแล้ว" ทรงโปรดให้เจ้าสาวสวมผ้าป่านเนื้อละเอียดใสบริสุทธิ์ เพราะผ้าป่านเนื้อดีนั้นได้แก่ การประพฤติอันชอบธรรมของพวกธรรมิกชน"
ความผูกพันในเรื่องนี้ลึกซึ้งมาก เพราะเป็นเรื่องของ “เจ้าบ่าว” และ “เจ้าสาว”
การนมัสการ -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเยซูคริสต์ คือ เจ้าบ่าวของเรา และผู้เชื่อทุกคน คือ เจ้าสาวของพระคริสต์
พระเมษโปดก คือ พระเยซูคริสต์ ... พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเจ้าสาวที่คู่ควรกับพระองค์
วันแต่งงาน คือ วันที่เจ้าสาวสวยที่สุด นั่นคือ แนวคิดของการนมัสการ
ในขณะที่เรานมัสการพระเจ้านั้น เหมือนหนึ่งงานมงคลสมรสที่เกิดขึ้นในสวรรค์
ทูตสวรรค์เป็นพยานเฝ้าดูเรา และพระเจ้าทรงเป็นความงดงามและความสง่างามของเราในการนมัสการพระองค์

อสย.61:10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงสวม ข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วย พวงมาลัย และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา
พระวจนะตอนนี้ เป็นภาพความดื่มด่ำและการผูกพัน ระหว่างเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
พระเจ้าทรงเมตตาช่วยเรา ไถ่เราจากบาป เวร กรรม เราต้องสำนึกในพระคุณของพระองค์
ร้องเพลง ต้องร้องอย่างดีที่สุด แต่ไม่ได้เป็นการร้องโชว์ผู้ใด
เราร้องเพื่อถวายนมัสการพระเจ้า แสดงถึงความผูกพันที่เรามีต่อพระองค์

1.3 การนมัสการ เป็นความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวของพระเจ้า
อฟ.2:19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า
เมื่อเราเชื่อ พระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า
เมื่อก่อนเราเหมือนเป็นคนต่างด้าวต่างแดน ... ลองนึกภาพคนต่างด้าวดู
เห็นแล้วน่าสงสาร ไม่มีกฎหมายรองรับ ต้องอพยพไปเรื่อย
เวลาเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บ่อยครั้งเรียกตัวเองว่า “ลูกช้าง” เขาศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวเราเล็กนิดเดียว
แต่สถานภาพที่พระเจ้าประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่นัก จากคนบาป กลายเป็นบุตรพระเจ้า
จากคนต่างด้าวต่างแดน กลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า
มธ.6:9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานอย่างนี้ คือ เราสามารถเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาได้
เมื่อเรานมัสการ สรรเสริญพระเจ้า พระองค์จะทรงเสด็จมาประทับอยู่กับเรา
ไม่ต้องใช้คาถา ไม่ต้องใช้บทสวด ... บทเพลงที่เราร้องถวายพระเจ้านั่นแหละ คือ คาถาของเรา

2. ความสำคัญของการนมัสการ
การนมัสการมีความสำคัญมาก เพราะมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ไม่นมัสการสิ่งใดก็นมัสการสิ่งหนึ่งเสมอ
บางคนนมัสการรูปเคารพ บางคนนมัสการตัวเอง (คนที่ไม่มีพระเจ้าก็จะมีตัวเองเป็นพระเจ้า)
สำหรับคนที่รู้จักพระเจ้า เราจะนมัสการพระเจ้า
ไม่สำคัญว่าใครจะเรียกพระเจ้าว่าอย่างไร บางคนเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด บางคนเรียกว่าธรรมชาติ
แต่เราเรียกพระผู้สร้างและผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้นว่า “พระเจ้า”
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้นมัสการพระเจ้า เราจึงขาดจากการนมัสการไม่ได้
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจการนมัสการที่แท้จริง นมัสการผิด ชีวิตก็ไปผิดทิศผิดทาง
การนมัสการ -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความสำคัญของการนมัสการ มีดังนี้
2.1 การนมัสการ เป็นชีวิต เป็นลมหายใจของผู้เชื่อ
การนมัสการ ถือเป็นชีวิต เป็นลมหายใจของผู้เชื่อ ถ้าเราไม่นมัสการพระเจ้า ชีวิตเราก็อยู่เหมือนซังกะตาย
และจิตวิญญาณก็เหมือนตายซาก ไม่มีชีวิตชีวา เพราะขาดการนมัสการ
ปฐก.1:26-28 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จง ครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
มนุษย์เป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าสร้างจากพระฉายและทรงระบายลมปราณในมนุษย์
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ พระเจ้าทรงสร้างด้วยการเนรมิต และไม่ได้มีจิตวิญญาณจากพระเจ้า
มนุษย์เท่านั้นมีจิตวิญญาณอันมาจากลมปราณของพระเจ้า
วิญญาณของเราเป็นลมปราณของพระเจ้า ลมปราณของพระเจ้าเป็นวิญญาณของเรา
ลมปราณของพระเจ้า หรือจิตวิญญาณลึกๆ ของมนุษย์นี่แหละ ทำให้มนุษย์ใฝ่ดี และใฝ่หาพระเจ้า
และก่อให้เกิดศาสนาต่างๆ ในโลก

เมื่อมีการนมัสการพระเจ้า ชีวิตชีวาจะเกิดขึ้นที่นั่น สติจะเกิดขึ้นที่นั่น
เด็กทารกแรกคลอด ถ้ามีชีวิตจะต้องส่งเสียงร้อง เราเองก็มีชีวิต จะต้องส่งเสียงสรรเสริญนมัสการพระเจ้า
การนมัสการ เป็นที่ให้มีชีวิต และคริสตจักรของพระเจ้าก็ใช้หลักเดียวกันนั้น
คือ เป็นที่ให้ชีวิตและให้โอกาสคน การนมัสการและเข้าคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง ชีวิตใหม่จะเกิดขึ้นแทนที่ชีวิตเดิม
อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นพระฉายของพระเจ้า
พระฉาย คือ รูปเหมือน รูปพระเจ้า ต้องเหมือนพระเจ้า แต่เราไม่ได้เป็นพระเจ้า
เราเหมือนพระเจ้าทางสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีศีลธรรม มีคุณธรรมอย่างพระเจ้า
ถ้าเราใกล้ชิดหรือผูกพันกับสิ่งใด ชีวิตของเราจะเหมือนกับสิ่งนั้น การนมัสการ นำเราให้ใกล้ชิดและผูกพันกับพระเจ้า
ยิ่งนมัสการพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด คุณลักษณะของพระเจ้าจะกลายเป็นส่วนชีวิตของเรามากขึ้น
ความบริสุทธิ์ ความสุภาพอ่อนน้อม ความชอบธรรมจะปรากฏชัดในตัวของเรามากขึ้น
ดังนั้น การนมัสการ จึงสำคัญมากสำหรับผู้เชื่อ ถ้าเอาการนมัสการออกจากชีวิตของผู้ใด ผู้นั้นก็เหมือนตายทั้งเป็น

2.2 การนมัสการ เป็นการหลอมรวมวิญญาณของเรากับพระวิญญาณของพระเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ เราต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
คำว่า “พระวิญญาณ” ในภาษากรีกใช้คำเดียวกับคำว่า “ลม”
คือเราไม่สามารถมองเห็นลม หรือจับต้องพระวิญญาณได้ แต่เรารู้ว่าสิ่งนั้นมีจริง
พระเจ้าที่เป็นพระวิญญาณ สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งในเวลาเดียวกัน เหมือนลมและอากาศอยู่ทั่วทุกแห่งในโลก
พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยร่างกายอย่างมนุษย์ ที่ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น
เราเคารพและศรัทธาตัวแทนของศาสนา แต่อย่าเผลอคิดว่ามนุษย์ คือ พระเจ้า
ศาสดาต่างๆ คือ ครูชั้นเอกของโลก ให้ความคิดให้แนวคิดให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต
การนมัสการ -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่ศาสดาทุกคนต้องตาย เพราะเป็นเพียงมนุษย์
มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ตายแล้วฟื้น และยังทรงดำรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์
ทั่วโลกไม่มีใครมองเห็นพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวตน แต่พระองค์สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ของโลกตกหลุมรัก
และยินดีที่จะปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยชีวิต นี่คือสิ่งที่ยืนยันถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และเมื่อเรานมัสการพระองค์ พระวิญญาณของพระเจ้าจะไหลเข้าสู่ชีวิตของเรา
กลายเป็นชีวิตใหม่ กลายเป็นจิตวิญญาณที่บังเกิดใหม่จากพระเจ้า
ยน.3:5-6 พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
ผู้เชื่อ มีพระวิญญาณพระเจ้าในชีวิต มนุษย์ใหม่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณ
ดังนั้น การนมัสการจึงเป็นการหลอมรวมเอาวิญญาณมนุษย์และพระวิญญาณพระเจ้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน
การนมัสการทรงพลังมาก เมื่อเรานมัสการอย่างต่อเนื่อง เราจะมีความคิดและทัศนคติอย่างพระเจ้า
ต่างกับศาสนาอื่นๆ ที่มีปรัชญา คำสอนที่ดี แต่ปราศจากฤทธิ์เดช จึงไม่สามารถเกิดผลและเป็นจริงในชีวิต
แต่ในพระเจ้ามีทั้งปรัชญาและมีทั้งฤทธิ์เดช ชีวิตใหม่จะบังเกิดขึ้นได้ในผู้ที่นมัสการพระองค์
เมื่อเราเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณเรานมัสการพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่ในเรา
และเราจะอยู่ในพระวิญญาณของพระองค์ ผลที่เกิดขึ้น คือ ชีวิตและสันติสุขอย่างแท้จริง
รม.8:5-6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้
การบังเกิดใหม่ คือ จิตวิญญาณของมนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระวิญญาณของพระเจ้า

2.3 การนมัสการ เป็นงานหลักของมนุษย์ใหม่และเป็นสิ่งสูงสุดทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลก
วว.4:8 สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"
วว.7:9-12 ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และ ดูเถิด คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก คนเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า "ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเราผู้ประทับบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับพระเมษโปดก" และทูตสวรรค์ทั้งปวงที่ยืนรอบพระที่นั่ง รอบผู้อาวุโส และรอบสัตว์ทั้งสี่นั้น ก้มลงกราบหน้าพระที่นั่ง และนมัสการพระเจ้า และกล่าวว่า "อาเมนความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน"
ในสวรรค์เราไม่ต้องทำงาน และไม่มีอะไรต้องทำ นอกจากการนมัสการพระเจ้า
แต่เราจะนมัสการในสวรรค์ได้อย่างถูกต้อง ก็ต่อเมื่อเรานมัสการในโลกนี้อย่างถูกต้อง
ในสมัยก่อน (พันธสัญญาเดิม) ต้องมีเวลากำหนดว่าเมื่อใดต้องนมัสการพระเจ้า
แต่สมัยนี้ เราสามารถนมัสการพระเจ้าในทุกที่ ทุกเวลา เพราะการนมัสการถือเป็นงานหลักของผู้เชื่อทุกคน

3. รูปแบบของการนมัสการ
เมื่อเราเข้าใจถึงนิยามและความสำคัญของการนมัสการแล้ว
การนมัสการ -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ เพื่อการนมัสการอย่างถูกต้อง คือ รูปแบบของการนมัสการ
3.1 เราต้องนมัสการอย่างคนที่รู้จักพระเจ้า
เราต้องรู้จักผู้ที่เรานมัสการ
ยน.4:22 ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว
เราจะนมัสการพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง จุดเริ่มต้นอยู่ที่เราต้องรู้จักผู้ที่เรานมัสการนั้น
คือ เราต้องนมัสการพระเจ้า อย่างคนที่รู้จักพระเจ้า
2ทธ.1:12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ {หรือ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า} จนถึงวันพิพากษาได้
การนมัสการอย่างผู้รู้แจ้ง รู้จริง ต้องเริ่มต้นจากการรู้จักพระเจ้าก่อน
ฟป.3:10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
เปาโล เป็นผู้หนึ่งที่แม้จะรู้จักพระเจ้ามากกว่าใครในโลกนี้ ท่านยังปรารถนาที่จะรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน
1คร.13:12 เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
เราเองก็ควรมีความปรารถนาเช่นนั้น ในแต่ละวัน ในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละเดือน ในแต่ละปี
เราต้องโตขึ้น และรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการนมัสการที่ดีขึ้นของเราด้วย

เราจะนมัสการอย่างคนที่รู้จักพระเจ้าได้อย่างไร
ก. ต้องรู้จักพระลักษณะของพระเจ้า
1ทธ.6:15-16 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควรพระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
พระวจนะตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่เรานมัสการ ดังนี้
(1) พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้เสวยสุข
เมื่อเรานมัสการ เรานมัสการพระเจ้าที่มั่งคั่ง ร่ำรวยที่สุดในจักรวาล
ท่าทีของเราต้องถูกต้อง พระเจ้าไม่ต้องการสินบน และไม่มีอะไรที่พระเจ้าผู้เสวยสุขให้เราไม่ได้
(2) พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
พระเจ้าทรงฤทธานุภาพสูงสุด ไม่มีใคร ผู้ใด ที่มีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่าพระเจ้าที่เรานมัสการ
(3) พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์
พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบ วินัย มีความมั่งคั่ง เกียรติ ความรุ่งเรือง รวมอยู่ในคำว่ากษัตริย์
ถ้าเราคิดว่ากษัตริย์ในโลกนี้ยิ่งใหญ่แล้ว ... ต่อให้กษัตริย์ทั้งโลกมารวมตัวกันก็ไม่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
(4) พระเจ้าทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงของโลกนี้
พระเจ้าทรงเป็นศีรษะของเหล่าปวงเทพ ดังนั้น เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราจึงไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก
พระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจในการปกป้องคุ้มครองและอำนวยพรคนของพระองค์เสมอ
(5) พระเจ้าทรงเป็นองค์อมตะแต่ผู้เดียว
การนมัสการ -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นักปราชญ์ หรือศาสดา ทุกคนมีวันตาย
แต่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่มีวันตาย ทรงเป็นอมตะและทรงพระชนม์อยู่นิจนิรันดร์
ถ้าเรานมัสการ อย่างคนที่รู้จักพระเจ้าและรู้จักพระลักษณะของพระองค์
เราจะมีรูปแบบการนมัสการที่ถูกต้อง ความถ่อมจะเกิดขึ้น ความเคารพยำเกรงจะเกิดขึ้น
เราจะรู้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควรเกิดขึ้นในการนมัสการพระเจ้า

ข. ต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ
ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ไม่ใช่เป็นร่างกาย พระองค์ทรงสถิตอยู่ทั่วทุกแห่งในเวลาเดียวกัน
อากาศอยู่รอบตัวเรา อยู่ในตัวเราฉันใด พระเจ้าพระวิญญาณอยู่รอบและอยู่ในตัวเราฉันนั้น
เมื่อพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ เราต้องนมัสการอย่างคนที่รู้จักพระเจ้า คือ นมัสการด้วยจิตวิญญาณ
ในการนมัสการ จิตวิญญาณของเรากับพระวิญญาณของพระเจ้าจะสื่อสารถึงกันได้
แต่จำไว้ว่า พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ เมื่อเราจะเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้า
เราต้องชำระจิตวิญญาณของเราให้สะอาดและบริสุทธิ์เช่นกัน
ความสกปรกและความชั่ว จะมาปะปนกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าไม่ได้

ค. ต้องรู้ว่าพระเจ้าเต็มด้วยพลังฤทธิ์เดช ความรักและความเมตตา
สดด.103:1-10 จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระ องค์ จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ทรงอภัยความบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่าน ผู้ทรงให้ท่านอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของท่าน วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี พระเจ้าทรงประกอบการแก้แทนและการยุติธรรม ให้แก่บรรดาผู้ที่ถูกบีบบังคับ พระองค์ทรงสำแดงวิธีการของพระองค์แก่โมเสส พระราชกิจของพระองค์ แก่ประชาชนอิสราเอล พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง พระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอ หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์ พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา
เมื่อเรานมัสการ เราต้องรู้ว่าพระเจ้าเต็มด้วยพลังฤทธิ์เดช เต็มด้วยความรัก และความเมตตา
ดั่งที่พระวจนะในบทนี้ได้บรรยายถึงพระองค์
ดังนั้น ใครที่ข่มเหงเรา กลั่นแกล้งเรา ทำให้เราเจ็บปวดหรือเจ็บใจ ให้ฝากไว้กับพระเจ้า
และตัวเราต้องทำดีต่อไป ไม่ทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่ให้พระเจ้าเป็นผู้ตอบแทนการนั้น
เมื่อพระเจ้าทรงเป็นความรักและทรงเต็มไปด้วยความเมตตา
เราจะนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง ให้เกียรติพระเจ้าและไม่ทำผิดบาปซ้ำซากให้พระเจ้าเสียพระทัย

ค. ต้องรู้ว่าเรากำลังนมัสการพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด
วว.4:1-8 ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น ได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า" ในทันใดนั้นพระวิญญาณก็ทรงดลใจข้าพเจ้า และนี่แน่ะ มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น และท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจแก้วมณีโชติและแก้วทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งแก้วมรกต และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ มีฟ้า
การนมัสการ -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แลบฟ้าร้อง และเสียงต่างๆดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีคบเพลิงเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมองดูเหมือนทะเลแก้วผลึกและบริเวณรอบพระที่นั่งทั้งสองข้างนั้น มีสัตว์สี่ตัวซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงห์ สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"
พระวจนะตอนนี้ เป็นภาพการนมัสการพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด
ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น คือ พระเจ้า ในการนมัสการเต็มไปด้วยอัญมณี เล็งถึง พระพรนานาประการจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นองค์แห่งพระพร และเป็นองค์แห่งความมั่งคั่ง
ในการนมัสการมีรุ้ง เล็งถึง พระกรุณาธิคุณอันไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า
ในการนมัสการมีฟ้าแล่บฟ้าร้อง เล็งถึง สิทธิอำนาจ พลัง ฤทธานุภาพของพระเจ้า
แม้พระองค์ทรงเต็มไปด้วยพระคุณ แต่พระเจ้าก็เต็มไปด้วยพระเดช มีวินัย มีการลงโทษ
พระเจ้าเตรียมสวรรค์ให้กับผู้เชื่อ ในขณะเดียวกันเตรียมนรกไว้สำหรับผู้ไม่เชื่อเช่นกัน
ดังนั้น ในการนมัสการพระเจ้า เราจะมาทำเล่นๆ ไม่ได้ เวลาใดควรเงียบ เวลาใดควรดัง เราต้องมีความกลมกลืนและสมดุล

ง. ต้องรู้ว่าพระเจ้าจัดเตรียมสิ่งดีให้แก่ผู้นมัสการพระองค์
ปฐก.22:8 อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา" พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อ ไปด้วยกัน
ที่มาของคำว่า “ยะโฮวาห์ยีเรห์” คือ พระเจ้าจะทรงจัดหาไว้ให้ พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้
พระเจ้าจัดเตรียมแกะให้ในขณะที่อับราฮัมกำลังจะลูกชายเป็นเครื่องบูชานมัสการ
สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้อับราฮัมนั้น พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราทุกคนด้วย
เมื่อเรานมัสการพระเจ้า ต้องมีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในการจัดเตรียมจากพระเจ้า
เข้าหาพระเจ้าเหมือนลูกเข้าหาพ่อ ไม่ใช่เข้าหาอย่างขอทานไปขอความเมตตา

ยน.2:1-11 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น เมื่อเหล้าองุ่น {เครื่องดื่มที่ชาวปาเลสไตน์ดื่มกันเป็นประจำ แม้ว่าในพระคริสตธรรมคัมภีรไม่บัญญัติห้ามดื่มเหล้าองุ่น แต่ก็มีคำเตือน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นจนเกิดความเสียหาย} หมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า "เขาไม่มีเหล้าองุ่น" พระเยซูตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง" มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า "จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด" มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า "จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด" และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด" เขาก็เอาไปให้ เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา และพูดกับเขาว่า "ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้" นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์
พระเจ้าเปลี่ยนน้ำธรรมดา เป็นเหล้าองุ่นอย่างดี
ยน.21:5-6 พระเยซูตรัสถามเขาว่า "ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า" เขาตอบว่า "ไม่มี" พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง" เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้
สาวกหาปลาไม่ได้ แต่เมื่อพระเยซูปรากฏเขาหาปลาได้เป็นจำนวนมาก
การนมัสการ -9- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระวจนะทั้งสองตอนนี้ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันถึงการจัดเตรียมจากพระเจ้า
ซึ่งเคล็ดลับในการรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า คือ การเชื่อฟัง กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา
คนรับใช้ตักน้ำตามที่พระเยซูสั่ง โดยไม่ถาม สาวกจับปลาตามที่พระเยซูสั่ง โดยไม่ถาม
ทั้งสองกรณีได้รับพระพร และเห็นการจัดเตรียมจากพระเจ้า
เมื่อเรานมัสการพระองค์ เราก็ต้องมีความเชื่อและไว้วางใจ จึงจะรับการจัดเตรียมจากพระเจ้า

3.2 เราต้องนมัสการ โดยการถวายตัวเราเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย
รม.12:1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
รูปแบบการนมัสการที่ถูกต้อง นอกจากที่เราจะต้องรู้จักกับพระเจ้าแล้ว
การนมัสการ คือ การที่เราถวายตัวเราเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์
พระเจ้าต้องการตัวตนของเรา ... ตัวตนและชีวิตของเรามีค่ามากกว่าทรัพย์สินและเงินทองที่เราถวายให้กับพระเจ้า
และถ้าเราจะถวายตัวให้พระเจ้า ต้องถวายขณะที่ยังแข็งแรง ยังมีกำลัง มีความพร้อม
ไม่ใช่ถวายตัวให้กับพระเจ้าตอนที่เราแก่หง่อม ... เวลานั้นถวายไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว

ตัวอย่าง การถวายของคาอินและอาแบล
ปฐก.4:3-5 อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า ส่วนอาแบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่
การถวายที่แตกต่างกันของคาอินและอาแบล ทำให้พระเจ้าพอพระทัยต่างกัน
การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย คือ การถวายชีวิตและจิตใจให้เป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า
เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต เรียนก็เรียนให้ดีที่สุด ทำงานก็ทำงานให้ดีที่สุด
เป็นอะไรก็เป็นให้ดีที่สุด เพื่อเป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า
คนที่จะถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาที่พอพระทัยให้กับพระเจ้าได้
คนๆ นั้นต้องเติบโตฝ่ายวิญญาณ ต้องมีพระคริสต์เป็นเจ้านายและเป็นชีวิตของผู้นั้น
กท.2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
ฟป.1:21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร

3.3 เราต้องนมัสการ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวอันเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้า
คนที่ขาดจากการเฝ้าเดี่ยว (การสนทนากับพระเจ้า) จะไม่สามารถเป็นผู้นมัสการที่ดีได้
เพราะการเฝ้าเดี่ยว เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้า
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชากรของพระองค์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก
คนที่ไม่เฝ้าเดี่ยว ย่อมไม่มีความลึกซึ้งและไม่มีวิญญาณแห่งการนมัสการ
การนมัสการที่ดีนั้น จะต้องไหลออกมาเป็นชีวิต ไม่ใช่ทำแบบเป็นพิธีการ
ผู้คนจะสัมผัสได้ และที่สำคัญพระเจ้าทรงทราบดีว่าเราทำจากใจหรือต้องจำใจทำ
การนมัสการ -10- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ปฐก.12:7-8 พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่อับราม ตรัสว่า "ดินแดนนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้า" อับรามสร้างแท่นที่ นั่นถวายบูชาแก่พระเจ้าผู้สำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ท่าน อับรามย้ายไปจากที่นั่น มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล จึงตั้งเต็นท์อยู่ที่นั่น ให้เมืองเบธเอลอยู่ทางทิศ ตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทิศตะวันออก ส่วนท่านสร้างแท่นบูชาพระเจ้าที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระเจ้า
อับราฮัม เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความผูกพันกับพระเจ้า และเฝ้าเดี่ยวอย่างสม่ำเสมอ
ใครไม่สร้างแท่นบูชา อับราฮัมสร้างแท่นบูชา ใครไม่ถวายบูชา อับราฮัมถวายบูชาพระเจ้า
“แท่นบูชา” เป็นการกำหนดจากพระเจ้า ... พระเจ้ากำหนดให้ประชากรของพระองค์ต้องนมัสการพระองค์
แต่การสร้างแท่นบูชาหรือการนมัสการของแต่ละคน เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล
แท่นบูชาของผู้เชื่อแต่ละคน เหมือนกันที่เป็นแท่นบูชาถวายพระเจ้า แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียดของแท่นนั้น
พระเจ้าให้เกียรติสิทธิส่วนบุคคลและเราต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วย
พระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์ในการนมัสการ แต่เสรีภาพนั้นต้องพอเหมาะ พอดี และเหมาะสมถวายเกียรติพระเจ้า

3.4 การนมัสการมีทั้งแนวกว้างและแนวแคบ
ก. การนมัสการแนวกว้าง
วว.4:8-11 สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา" เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำโมทนาแด่พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์คราวใด ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"
วว.5:11-13 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียงทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆเป็นแสนๆ ซึ่งอยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น ร้องเสียงดังว่า "พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ พระสิริ และคำสดุดี" และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดิน ในมหาสมุทรบรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า "ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และพระสิริและฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์"
พระวจนะตอนนี้ เป็นภาพตัวอย่างของการนมัสการแบบกว้าง
คือ เป็นการนมัสการร่วมกันของหลายคน หรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อนมัสการพระเจ้า
มีทั้งผู้อาวุโส มีทั้งสัตว์ 4 ตัว และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ร่วมสรรเสริญนมัสการพระเจ้า
การนมัสการในคริสตจักร ก็ถือเป็นการนมัสการในแบบกว้าง คือ นมัสการร่วมกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ

ข. การนมัสการแนวแคบ
เป็นการนมัสการส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้า เช่น การเฝ้าเดี่ยว การสนทนากับพระเจ้าตามลำพัง
การนมัสการส่วนตัวของเราต้องไม่รบกวนผู้ใด และในขณะเดียวกันผู้อื่นก็ต้องไม่รบกวนเราด้วย
พระเยซูคริสต์ ก็เป็นตัวอย่างในการนมัสการส่วนตัวกับพระเจ้า
มก.1:35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
นอกจากนี้ การถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ก็ถือเป็นการนมัสการแนวแคบ
คือ ใช้ชีวิตส่วนตัวของเรา การงาน การเรียน ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
การนมัสการ -11- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ส่วนตัวต้องไม่รบกวนผู้อื่น และผู้อื่นต้องไม่รบกวนเขาด้วย

4. วิธีการและขบวนการของการนมัสการ
วิธีการและขบวนการของการนมัสการมีหลายอย่าง ดังนี้
4.1 การนมัสการ ด้วยจิตวิญญาณและความจริง
ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
การนมัสการ ไม่ใช่เป็นการโชว์ความไพเราะของเสียงเพลง
แต่เป็นการร้องเพลงถวายพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณที่รักพระเจ้าและด้วยความจริงบนพื้นฐานของพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงเป็นความจริง และสอนให้เรานมัสการพระเจ้าตามความจริงของพระองค์
กิริยาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการนมัสการ ต้องมีพระคัมภีร์รองรับและต้องทำจากจิตใจ จากจิตวิญญาณที่รักพระเจ้า
พระเจ้าพระบิดา ทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
ถ้าเราเป็นผู้นำนมัสการ และนำด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เราไม่ต้องกลัวว่าการนมัสการจะไปผิดทิศผิดทาง เพราะการนมัสการเช่นนั้นแหละที่พระเจ้าพอพระทัย
เราต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตใจที่ใสสะอาด และด้วยวิญญาณที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้าไปทำงานในชีวิตของเรา
1คร.2:11-16 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้นเราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เราเรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟังแต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณแต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนนั้นได้เพราะว่า ใครเล่ารู้จักพระทัยของพระเจ้าเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้ แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์
มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งที่พระวิญญาณสำแดงไม่ได้ จะรับได้ก็ต่อเมื่อวิญญาณนั้นบังเกิดใหม่
ดังนั้น การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ จึงสำคัญมาก
การนมัสการ เป็นมากกว่าการร้องเพลงหรือเล่นดนตรี แต่เป็นการยกระดับจิตวิญญาณของเราเข้าหาพระเจ้า
การนมัสการที่นิ่ง พุ่งตรงไปที่พระเจ้า จะทำให้เราแตะพระเจ้าได้เร็วขึ้น
การนมัสการพระเจ้าด้วยความจริงของพระองค์ เราจะเห็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้น
และความกลัว ความวิตกกังวลในชีวิตของเราจะลดลง

4.2 การนมัสการ ด้วยความเคารพเทิดทูน
อสย.6:1 ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับณพระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้น และชาย ฉลองพระองค์ของพระองค์เต็มพระวิหาร
เมื่อเรานมัสการพระเจ้า ให้จินตนาการถึงการนมัสการในสวรรค์
ที่ทุกเข่าจะคุกลงกราบพระเยซูคริสต์ ทุกลิ้นจะยกย่องสรรเสริญพระองค์
การเทิดทูนพระเจ้า นำมาซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตัว บ่อยครั้งที่เราต้องลุกขึ้นยืน
และเราจะร้องเพลงถวายพระเจ้าจากหัวใจอย่างแท้จริง
การนมัสการ -12- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ปฐก.18:1-2 พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านที่หมู่ต้นก่อหลวงที่มัมเร ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์เวลาแดดร้อนท่านเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านเห็นเขาทั้งสามท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับ เขากราบลงถึงดิน
การเคารพเทิดทูน นำมาซึ่งการกราบนมัสการ
อับราฮัม เป็นผู้ที่เคารพพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงมาปรากฏในรูปทูตสวรรค์
อับราฮัม ผู้ที่คุ้นเคยกับพระเจ้าเป็นอย่างดี เพราะเขานมัสการพระเจ้าทุกวัน คุกเข่ากราบลงทันที
อับราฮัม ถือว่าเป็นบุคคลที่มั่งคั่ง มั่งมี เป็นปราชญ์และมีกองทัพของตัวเอง
แต่ต่อหน้าพระเจ้า ถือว่าตัวเองเป็นเพียงผงคลีเท่านั้น (ปฐก.18:27)
ถ้าเราเคารพเทิดทูนพระเจ้าอย่างแท้จริง จะแสดงออกมาเป็นการแต่งตัวที่เหมาะสม
กิริยาที่เหมาะสม และถวายเสียงเพลงที่เหมาะสมต่อพระองค์

4.3 การนมัสการ ด้วยจิตสำนึกอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อพระเจ้า
อสย.6:3-5 ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระ องค์"และรากฐานของธรณีประตูทั้งหลาย ก็สั่นสะเทือนด้วยเสียงของผู้ร้อง และพระนิเวศก็มีควันเต็มไปหมดและข้าพเจ้าว่า "วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด และข้าพเจ้าอยู่ใน หมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระเจ้าจอมโยธา"
อิสยาห์ ถือเป็นแบบอย่างด้านความถ่อมน้อมถ่อมตัว และสำนึกในพระคุณของพระเจ้า
อิสยาห์ ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างมาก
ยิ่งรับพร ยิ่งรับการสำแดงจากพระเจ้ามากเท่าใด ท่านยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตัวมากเท่านั้น
ที่จริงไม่ใช่วิบัติจะเกิดขึ้น แต่เป็นการไม่สมควรที่จะได้เห็นพระเจ้า
เราเองก็ควรเลียนแบบท่านในเรื่องนี้ รู้มาก ไม่ต้องอวดมาก เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามาก ต้องยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตัวให้มาก
เราเทียบกับพระเจ้าไม่ได้แม้เศษเสี้ยว แต่โดยพระคุณพระองค์ทรงกรุณาให้เราได้นมัสการพระเจ้า
การมีจิตสำนึกเช่นนี้ พระเจ้าทรงพอพระทัย
อสย.57:15-16 องค์ผู้สูงเด่น คือผู้อยู่ในนิรันดร์กาล ผู้ทรงพระนามว่าบริสุทธิ์ ตรัสดังนี้ว่า "เราอยู่ในที่ที่สูงและบริสุทธิ์ และอยู่ กับผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิดและถ่อม เพื่อจะรื้อฟื้นจิตใจของผู้ใจถ่อม และรื้อฟื้นใจของผู้สำนึกผิดเพราะเราจะไม่ต่อสู้แย้งอยู่เป็นนิตย์ หรือโกรธอยู่เสมอ เพราะจิตวิญญาณออกมาจากเรา และเราได้สร้างลมปราณ
พระเจ้าอยู่กับผู้ที่มีจิตสำนึกถ่อม และพระองค์จะเข้ามารื้อฟื้นใจของเราให้ดีขึ้น

4.4 การนมัสการ ด้วยการกราบนมัสการ
วว.4:9-10 เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำโมทนาแด่พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์คราวใดผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า
วว.5:14 และสัตว์ทั้งสี่นั้นก็ร้องว่า "อาเมน" และผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการ
ผู้อาวุโสรอบพระที่นั่งในสวรรค์ ทรุดตัวลงกราบ เมื่อมีการนมัสการพระเจ้า
อสย.45:23 เราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเอง ด้วยความชอบธรรม ถ้อยคำได้ออกไป จากปากของเรา ซึ่งจะไม่กลับ ว่า 'ทุกเข่าจะ กราบลง ทุกลิ้นจะปฏิญาณต่อเรา'
อิสยาห์ คุกเข่ากราบพระเจ้า
มธ.28:17 และเมื่อเห็นพระองค์จึงกราบลงนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่
อัครทูต กราบนมัสการพระเยซู
การนมัสการ -13- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ลก.17:16 และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู โมทนาพระคุณของพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย
มีหลายคนรับการรักษาให้หายจากพระเยซู แต่มีเพียงคนเดียวที่สำนึกในพระคุณกลับมาคุกกราบ
การกราบนมัสการ ไม่ได้เป็นพิธีรีตรอง แต่เป็นการสำนึกในพระคุณโดยแสดงออกเป็นการกราบ
การกราบนมัสการ เป็นส่วนหนึ่ง และเป็นเรื่องปกติในการนมัสการ
ถ้าเรารักพระเจ้าและสำนึกในพระคุณอย่างลึกซึ้ง จะสะท้อนออกมาเป็นการกราบนมัสการ

4.5 การนมัสการ ด้วยคำยกย่องสรรเสริญ
การนมัสการ ด้วยการยกย่องสรรเสริญ เป็นคำพูด เป็นภาษาของโลกนี้ (ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ)
วว.4:8-11 สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำโมทนาแด่พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์คราวใดผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า"องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"
เราเป็นคริสเตียนไทย ก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าด้วยคำพูดเป็นภาษาไทย
การที่เรานิ่งเงียบ ไม่สามารถสรรเสริญยกย่องพระเจ้าด้วยคำพูดของเราได้
ก็เพราะส่วนตัวของแต่ละคนในแต่ละวันไม่ได้เฝ้าเดี่ยว ไม่ได้นมัสการพระเจ้า
แต่ถ้าเราเข้าเฝ้าพระเจ้าทุกวัน เราจะมีถ้อยคำที่ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าได้ไม่รู้จบ

ตัวอย่างการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าด้วยคำพูดจากพระวจนะ
ยด.24-25 ขอพระเกียรติ พระอานุภาพ ไอศวรรย์ และศักดานุภาพ จงมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้ม และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่เฉพาะพระสิริของพระองค์ ให้ปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี คือแด่พระเจ้าองค์เดียว พระผู้ช่วยให้รอดของเรา โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆไปเป็นนิตย์ อาเมน
ลองใช้พระวจนะตอนนี้เป็นคำอธิษฐานของเรา
โดยเปลี่ยนคำว่า “ท่าน” และคำว่า “เรา” เป็นคำว่า “ลูก” ก็จะเป็นคำอธิษฐานส่วนตัวของเราเอง

1พศด.29:10-12 เพราะฉะนั้นดาวิดจึงสรรเสริญพระเจ้าต่อหน้าชุมนุมชนทั้งปวง และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย สาธุการแด่พระองค์เป็นนิตย์และเป็นนิตย์ข้าแต่พระเจ้าความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ พระสิริชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มี อยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรง เป็นที่ยกย่องเป็นจอมของสิ่งสารพัดทั้งความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ฤทธานุภาพและมหิทธิฤทธิ์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ที่จะทรงกระทำให้ใหญ่ยิ่งและประทานกำลังแก่ทั้งมวล
นำพระวจนะตอนนี้ไปอ่าน ไปท่องทุกวัน ในที่สุดเราจะมีคำยกย่องพระเจ้าเป็นการส่วนตัว

สดด.52:9 ข้าพระองค์จะโมทนาพระคุณพระองค์เป็นนิตย์ เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น ข้าพระองค์จะหวังใจในพระ นามของพระองค์ เพราะเป็นพระนามประเสริฐ ต่อหน้าธรรมิกชนของพระองค์
การนมัสการ -14- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บุคคลในพระคัมภีร์ท่านหนึ่งที่พรั่งพรูคำอธิษฐานและการยกย่องสรรเสริญพระเจ้ามากที่สุด
คือ กษัตริย์ดาวิด ... เราสามารถพิสูจน์ได้จากพระธรรมสดุดี
เราเองก็สามารถเป็นผู้หนึ่งที่พรั่งพรูคำอธิษฐานและการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าได้
ถ้าเราฝึกฝนที่จะอธิษฐานบ่อยๆ เริ่มจากการใช้ตัวอย่างจากพระคัมภีร์ และในที่สุดพัฒนามาเป็นคำพูดของตัวเอง

4.6 การนมัสการ ด้วยการยกมือ
สดด.28:2 ขอทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์ ขณะเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์ขณะเมื่อข้าพระองค์ยก มือของข้าพระองค์ ขึ้นตรงต่ออภิสุทธิสถานของพระองค์
การยกมือ เป็นการแสดงถึงจิตใจที่แสวงหาพระเจ้า ให้เกียรติพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า
อีกทั้งยังเป็นการอยากสัมผัสพระเจ้าและขอความช่วยเหลือจากพระองค์
เมื่อเรานมัสการถึงจุดๆ หนึ่งที่เราต้องการจะแสวงหาพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้นำนมัสการบอกว่า ยกมือ หรือชูมือ
แต่เราทำจากใจที่เราต้องการการสัมผัสและการช่วยเหลือจากพระเจ้า
พระเจ้าให้เกียรติเรา พระเจ้าให้เรามีความกล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนัก คือ การยกมือหรือการชูมือของเรา ต้องให้สมพระเกียรติพระเจ้า
ไม่ใช่เป็นการโชว์ความสวยงาม หรือเห็นคนอื่นทำก็เลยทำบ้าง
การยกมือ ต้องมาจากจิตใจภายในที่เข้าใจถึงการนมัสการอย่างแท้จริง

4.7 การนมัสการ ด้วยการยืนแสดงความเคารพและให้เกียรติพระเจ้า
1พกษ.8:22 แล้วซาโลมอนประทับยืนหน้าแท่นบูชาของพระเจ้า ต่อหน้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวง และกางพระหัตถ์ของพระ องค์ออกสู่ฟ้าสวรรค์
การยืน เป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติพระเจ้า
ลองนึกภาพของเด็กเมื่อผู้ใหญ่เดินเข้ามาคุยด้วย หรือกำลังจะเดินผ่านไป เราต้องลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการให้เกียรติ
พระเจ้าของเราสมควรที่เราจะให้เกียรติมากกว่านั้น แต่ในการยืนนมัสการนั้น ผู้นำนมัสการต้องรู้จักสังเกตที่ประชุมด้วย
ถ้าที่ประชุมส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ เขาไม่สามารถที่จะยืนเป็นเวลานานได้
ต้องมีการบอกให้นั่งลงหรือมีเสรีภาพในการที่จะนั่งหรือยืนนมัสการพระเจ้าได้
การยืนเพื่อแสดงความเคารพต่อพระเจ้านั้น ต้องมาจากจิตวิญญาณของเรา
อย่าเสแสร้ง อย่ามารยา อย่าทำเพราะผู้อื่นทำ เพราะพระเจ้าสามารถสัมผัสถึงจิตวิญญาณของเราได้

4.8 การนมัสการ ด้วยการตบมือ
สดด.47:1 ดูก่อนชนชาติทั้งหลาย จงตบมือ จงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยเสียงไชโย
การตบมือหรือการปรบมือ เป็นอีกกิริยาหนึ่งที่แสดงออกถึงความเคารพพระเจ้า
และเป็นความชื่นชมยินดีในชัยชนะที่พระเจ้าทรงประทานให้ผ่านการนมัสการ
การตบมือของเรานั้น ต้องทำอย่างเหมาะสม ถวายพระเกียรติพระเจ้า ตบมืออย่างหนักแน่น ยำเกรงและเคารพพระเจ้า

4.9 การนมัสการ ด้วยการโห่ร้อง
การนมัสการ ด้วยการเปล่งเสียงโห่ร้อง เป็นการปลดปล่อยความชื่นชมยินดีที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้า
ส่วนใหญ่เรามักใช้คำว่า “โฮซันนา” หรือ “ฮาเลลูยา” เป็นการโห่ร้องด้วยเสียงอันดังของเรา

การนมัสการ -15- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1ซมอ.4:5 เมื่อหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่าย แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็โห่ร้องเสียงดังจนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น
ในพระวจนะตอนนี้ ทันทีที่พวกอิสราเอลเห็นหีบพระสัญญา พวกเขาโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี
“หีบพระสัญญา” คือ พระคัมภีร์ที่พระเจ้าดลใจให้ผู้เผยเขียนบนแผ่นหนังพันไว้
เพราะในขณะนั้นยังไม่ได้มีการรวบรวมเป็นเล่มเหมือนอย่างในปัจจุบัน
ในหีบพระสัญญานั้น มีคำสัญญาของพระเจ้าเป็นตัวอักษร
พวกเขายินดีที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย จึงแสดงออกเป็นการโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้า
เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราร้องเพลงถวาย แต่เราไม่ได้นมัสการเพลงที่เราร้องนั้น
เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราเล่นดนตรี แต่เราไม่ได้เล่นเพื่ออวดความสามารถ เราเล่นเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
ถ้าเราเข้าใจถึงชัยชนะที่พระเจ้าทรงประทานให้ผ่านการนมัสการ เราจะโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดีจากใจของเรา

4.10 การนมัสการ ด้วยการร้องเพลง
การนมัสการ ด้วยการร้องเพลงนี้ แบ่งเป็น 3 อย่างด้วยกัน
คือ การร้องเพลง การร้องเพลงด้วยเสียงชื่นบาน และการร้องเพลงบทใหม่ (เพลงจากใจ)
การร้องเพลงถวายพระเจ้า ไม่ได้เป็นการอวดความไพเราะของเสียง
พระคัมภีร์ให้เราร้องเพลงชื่นบาน ถวายพระเจ้า ไม่ได้เป็นการประกวดร้องเพลงว่าใครร้องเพราะกว่ากัน
แต่เป็นการร้องเพลงจากใจของเราถวายพระเจ้า
การร้องเพลงนั้น ต้องเป็นความชื่นบาน ไม่ใช่ร้องด้วยความเศร้า
เพราะพระเจ้าที่เรานมัสการนั้นทรงพระชนม์อยู่ และเราสำนึกในพระคุณของพระองค์
สดด.71:23 ริมฝีปากของข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความชื่นบานเมื่อข้าพระองค์ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ ทั้งจิตวิญญาณของข้า พระองค์ด้วย ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้
สดด.95:1 มาเถิด ให้เราทั้งหลายร้องเพลงถวายพระเจ้า ให้เรากระทำเสียงชื่นบานถวายพระศิลาแห่งความรอดของพวกเรา
สดด.126:2-3 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติ ว่า "พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เขา"พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี
สดด.149:5-6 ให้ธรรมิกชนลิงโลดในชัยเกียรติ ให้เขาร้องเพลงด้วยความชื่นบานบนที่นอนของเขาให้การสดุดีอย่างสูงแด่พระเจ้าอยู่ในลำคอของเขา และให้ดาบสองคมอยู่ในมือของเขา
การนำนมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลง ผู้นำนมัสการต้องตระหนักในการเตรียมเพลงด้วย
เพลงที่ใช้ในการนมัสการนั้น ต้องเป็นเพลงเกี่ยวกับการสรรเสริญเท่านั้น ไม่ใช้เพลงสามัคคีธรรม
เพลงสามัคคีธรรม เช่น เพลงฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า เราจะเดินในทางของพระองค์ เป็นต้น

4.11 การนมัสการ ด้วยการลิงโลด
การลิงโลด คือ กิริยาที่เราชื่นชมยินดี และดีใจที่ได้พบกับพระเจ้า ได้นมัสการพระเจ้า
ลองนึกถึงภาพของเด็กๆ ที่ได้เจอพ่อแม่ของตัวเอง เขาดีใจ เขาชื่นชม เขาลิงโลด
เราผู้เป็นลูกของพระเจ้า เราก็ยินดีและลิงโลดที่เราได้เจอกับพระเจ้าเช่นกัน
อพย.15:20 ฝ่ายมิเรียมหญิงผู้เผยพระวจนะ พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งปวงก็ถือรำมะนาเดินตาม พร้อมกับเต้น รำไปด้วย
การลิงโลดนี้ รวมถึงการเต้นรำมะนาด้วย
การนมัสการ -16- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

การเต้นรำ การลิงโลด คือ การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมชาติชีวิต
แม้ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม ยังมีการเต้นลิงโลด ถวายการนมัสการพระเจ้า
เราต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจน อย่าลากเอาความเชื่อแบบเก่ามาใช้ในการนมัสการ
หลายคนคิดว่าเข้าหาพระเจ้า ต้องเงียบ ต้องนิ่งสงบเท่านั้น
แต่การนมัสการด้วยความจริง คือ ความจริงตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์พูดถึงการนมัสการอย่างไร เราทำอย่างนั้น ไม่มีผิด
สดด.30:11 สำหรับข้าพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ พระองค์ทรงแก้เสื้อผ้ากระสอบของข้าพระองค์ ออก และทรงคาดเอวข้าพระองค์ด้วยความยินดี
สดด.149:3 ให้เขาสรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยเต้นรำ ถวายเพลงแด่พระองค์ด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่
ถ้าเรานมัสการตามหลักของพระคัมภีร์ ทำอย่างไรก็ไม่ผิดต่อพระเจ้า
เพียงแต่เราต้องรู้จักจังหวะ รู้จักความพอดี และนมัสการพระเจ้าอย่างมีสติ
ถ้าเราทำจากใจ ด้วยความเข้าใจ และด้วยความเต็มใจ พระเจ้าก็ทรงพอพระทัยในการนมัสการนั้น

4.12 การนมัสการ ด้วยการร้องเพลงบทใหม่
เพลงบทใหม่ คือ เพลงใหม่ที่เราสามารถร้องออกมาได้ทันทีในการนมัสการ
(ไม่ได้เป็นการเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่เป็นเพลงที่ร้องออกมาจากจิตวิญญาณที่รักพระเจ้า ด้วยเนื้อหาและคำพูดของเราเอง)
เนื้อหาของเพลงบทใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นการสรรเสริญ ยอพระเกียรติ ขอบพระคุณและขอการเจิม
อสย.42:10 จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า เพลงยอพระเกียรติของพระองค์จากปลายแผ่นดินโลก ทั้งผู้ที่ไปทะเล และ บรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น ทั้งแผ่นดินชาวทะเลและชาวถิ่นนั้น
คริสตจักรต้องสอนการนมัสการอย่างถูกต้องและสมดุล ต้องครบตามพระคัมภีร์
พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าของสากล ดังนั้น การนมัสการต้องร่วมสมัย คือ สามารถร่วมกับคนได้ทุกสมัย
การนมัสการ ด้วยการร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้านี้ ไม่ใช่ทุกคนทำได้ เพราะเป็นของประทานเฉพาะสำหรับบางคน
เหมือนผู้เชื่อ ไม่ใช่จะเป็นผู้นำนมัสการได้ทุกคน หรือผู้นำนมัสการ ไม่ใช่จะเล่นดนตรีได้ทุกคน เป็นต้น
คนที่มีของประทานในการร้องเพลงบทใหม่ แสดงถึงความคุ้นเคยที่เขามีกับพระเจ้าผ่านการนมัสการส่วนตัว
การร้องเพลงนมัสการส่วนตัวเรื่อยๆ จะส่งผลให้กลายเป็นเพลงใหม่ มีบทเพลงของตัวเอง

สดด.40:3 พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรง กลัว และวางใจในพระเจ้า
เพลงบทใหม่ เป็นเพลงที่พระเจ้าบรรจุให้
บรรจุ คือ ดลใจ (เหมือนการเปิดสวิตซ์ไฟ) เพลงนั้นจะออกมาจากปากและเป็นการสรรเสริญพระเจ้า
เพลงนั้นไม่เกี่ยวกับความดีของมนุษย์ แต่เกี่ยวกับความดีและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เมื่อคนทั้งหลายได้เห็น ได้ฟัง จะยำเกรงพระเจ้าและวางใจในพระองค์
แต่ผู้ร้องเพลงบทใหม่ต้องระวัง อย่าเป็นการร้องเพลงโชว์ ให้เป็นการร้องเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
พรรณนาถึงความรัก พระคุณ พระกรุณาของพระเจ้า

สดด.149:1 จงสรรเสริญพระเจ้าเถิดจงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้าร้องบทสรรเสริญถวายพระองค์ในชุมนุมธรรมิกชน
กษัตริย์ดาวิด เป็นต้นแบบที่ดีของการนมัสการ ในเรื่องเพลงสดุดี ไม่มีใครเกินดาวิด
เริ่มต้นจากความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างท่านกับพระเจ้า แล้วถ่ายทอดในที่ประชุมให้รับพระพร
สิ่งดีที่มีอยู่เราต้องกล้า อย่าอาย ให้นำออกมารับใช้พระเจ้าเหมือนอย่างที่กษัตริย์ดาวิดกระทำ
การนมัสการ -17- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

4.13 การนมัสการ ด้วยการใช้ภาษาแปลกๆ
ภาษาแปลกๆ ในพระวจนะมี 2 แบบ คือ
1) ภาษาสวรรค์ ภาษาของพระเจ้าที่ต้องมีการแปลข้อความ
2) ภาษาแปลกๆ ที่ใช้ในการนมัสการ ไม่ต้องมีการแปล เพราะเป็นการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า
การนมัสการ ด้วยการใช้ภาษาแปลกๆ นั้น อยู่ในหมวดที่สอง เกี่ยวข้องกับการสรรเสริญพระเจ้า
กจ.10:45-46 ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วยเพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆและยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า...
กจ.19:6 เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย
ภาษาแปลกๆ ที่ว่าด้วยการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า
2คร.12:2-4 ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ)ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษมและได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม
ที่สวรรค์ใช้ภาษาของสวรรค์ คือ ภาษาฝ่ายวิญญาณ ภาษาแปลกๆ ที่พูดเป็นคำไม่ได้

1คร.14:2,18-19 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใด ที่พูดภาษาแปลกๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายพระวิญญาณ, ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆมากกว่าท่านทั้งหลายอีกแต่ว่าในคริสตจักรข้าพเจ้าพอใจที่จะพูดสักห้าคำด้วยความคิด เพื่อเป็นคติแก่คนอื่นดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ
1คร.14:10 ในโลกนี้มีภาษาเป็นอันมาก และไม่มีภาษาใดๆที่ปราศจากเนื้อความ
อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาแปลกๆ คือ ภาษาแปลกๆ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่พูดกับพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้
ภาษาแปลกๆ ไม่มีคำแปลสำหรับมนุษย์ เพราะเป็นการพูดกับพระเจ้า
สนทนากับพระเจ้า ทูลกับพระเจ้า พูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายวิญญาณ
ภาษาแปลกๆ เป็นพลังและเป็นยุทธศาสตร์ฝ่ายวิญญาณที่มารซาตานกลัวที่สุด
เพราะมันไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเราหมายถึงอะไร เราอธิษฐานเรื่องอะไร มันจึงไม่สามารถขัดขวางคำอธิษฐานนั้นได้
(ดังนั้น ไม่อยากให้มารรู้เรื่องคำอธิษฐานของเรา ต้องใช้ภาษาแปลกๆ)
การพูดภาษาแปลกๆ เป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า ทำให้ผู้นั้นเจริญขึ้นกับพระเจ้า
และเมื่อส่วนตัวเจริญ ส่วนรวมก็เจริญไปด้วย นี่เป็นเรื่องความล้ำลึกฝ่ายวิญญาณ
การพูดภาษาแปลกๆ ช่วยเราในการนมัสการอธิษฐานกับพระเจ้าได้นานยิ่งขึ้น
เมื่อเราหมดคำพูดในภาษาของมนุษย์ แต่ใจยังอยากอธิษฐาน พระเจ้าจึงประทานภาษาแปลกๆ มาช่วยเรา
ภาษาของมนุษย์จำกัด แต่ภาษาใจกับพระเจ้านั้นไม่จำกัด
ถ้าเราใช้ภาษาแปลกๆ เป็นการส่วนตัวเสมอๆ เราก็สามารถนำมาใช้ในที่ประชุมได้ด้วย
แต่การใช้ภาษาแปลกๆ ในการนมัสการ ก็จำเป็นต้องมีขอบเขตด้วย คือ ต้องจำกัดในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
เพราะการนมัสการ จำเป็นต้องสื่อสารให้ที่ประชุมรู้เรื่องด้วย
ข้อควรระวัง การพูดภาษาแปลกๆ ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ (เสียงดัง โวยวาย รบกวนผู้อื่น)
ไม่ใช่มาจากพระเจ้า แต่มาจากผี เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอ่อนสุภาพ ทำให้เรามีสติ ไม่ใช่เสียสติ

4.14 การนมัสการ ด้วยการอธิษฐาน 4 แบบ
การนมัสการ -18- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

การนมัสการ ด้วยการใช้คำอธิษฐาน 4 แบบ เป็นส่วนประกอบ ดังนี้
1) การอธิษฐานเป็นการส่วนตัว
ในการนมัสการนั้น ผู้นำนมัสการ ต้องเปิดโอกาสให้ที่ประชุมได้เข้าเฝ้า อธิษฐานพระเจ้าเป็นการส่วนตัวด้วย
สำหรับปัญหา ภาระหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน
2) การอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ
การอธิษฐานเผื่อผู้อื่น เป็นหนึ่งในศาสตราวุธฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงประทานให้ผู้เชื่อ
อฟ.6:18-19 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้
เราควรใช้อาวุธนี้ ในการนมัสการพระเจ้าด้วย คือ เปิดโอกาสให้อธิษฐานเผื่อผู้นำ อธิษฐานเผื่อคริสตจักร
หรืออธิษฐานเพื่อราชกิจของพระเจ้า เพื่อผู้ที่อธิษฐานเผื่อนั้นจะรับพระพรจากพระองค์
3) การอธิษฐานสารภาพบาป
การอธิษฐานสารภาพบาป เป็นการขอการชำระจากพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงเราบาปมากหรือชั่วมาก
แต่หมายถึง ทุกวันเรามีเรื่องที่กระทำผิดต่อพระเจ้า หรือผิดต่อผู้อื่นเสมอ
ความคิด คำพูด การกระทำ อะไรที่ผิดไป บกพร่องไป
ขอการชำระจากพระเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อเราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้อย่างสมพระเกียรติของพระองค์
คนสารภาพบาปบ่อยๆ ก็เหมือนกับคนที่ชอบล้างมือบ่อยๆ นั่นคือ คนที่สะอาด ไม่ใช่คนที่สกปรก
เป็นคนที่ใฝ่ดี ใฝ่บริสุทธิ์ ใฝ่การชำระจากพระเจ้า
1ยน.1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
การชำระตัวกับพระเจ้าทุกครั้ง ทำให้เราสะอาดขึ้น เติบโตขึ้น ผู้ที่สารภาพจะรับกับความเมตตาจากพระเจ้า
ในขณะที่คนปกปิดความผิดบาปของตัวเอง จะไม่เจริญ
4) การอธิษฐานถวายตัว
เป็นคำอธิษฐานอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แสดงถึงความรักผูกพันกับพระเจ้า
เป็นการตอกย้ำว่าชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า และปรารถนาจะอยู่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าอย่างแท้จริง
เมื่อเราถวายตัวด้วยใจที่รักพระเจ้า พระองค์จะทรงใช้เราในราชกิจอันยิ่งใหญ่ ถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้นั้น
อสย.6:8 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา" แล้วข้าพเจ้า ทูลว่า "ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"
การอธิษฐาน เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ แต่ในการนมัสการแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องมีการอธิษฐานครบทั้งสี่แบบ
ทั้งนี้แล้วแต่เวลาและความเหมาะสมของการนมัสการในแต่ละครั้ง

4.15 การนมัสการ ด้วยการอธิษฐานโดยใช้เสียงดัง
การอธิษฐานโดยใช้เสียงดัง ส่วนใหญ่จะเป็นคำอธิษฐานที่ใช้สำหรับสรรเสริญ
ยกย่องพระลักษณะและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนมัสการ
วว.5:12-13 ร้องเสียงดังว่า "พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ พระสิริ และคำสดุดี"และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดิน ในมหาสมุทรบรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า "ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และพระสิริและฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์"
การนมัสการ -19- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

วว.14:2 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่น เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนเสียงพวกดีดพิณกำลังเล่นพิณอยู่
การนมัสการพระเจ้า มีทั้งเสียงเบาและเสียงดัง
แต่ถ้าจะใช้เสียงดัง ต้องดังอย่างมีสติ ดังอย่างมีปัญญา ดังอย่างคนที่สำนึกในพระคุณ
เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่พระที่นั่งของพระเจ้า นำที่ประชุมยกย่องสรรเสริญและเทหมดทั้งหัวใจให้พระองค์
(“ดัง” กับ “ตะโกน” ไม่เหมือนกัน ต้องระวังในเรื่องนี้ด้วยดัง คือ เต็มเสียง แต่ตะโกน เป็นการใช้เสียงเกินจริง)

4.16 การนมัสการ ด้วยการเงียบ
อย่างที่กล่าวไปในข้อก่อนหน้านี้ว่าในการนมัสการพระเจ้านั้น มีทั้งความเงียบและเสียงดัง
เราต้องดูเวลา วาระและความเหมาะสมในการนมัสการแต่ละครั้งด้วย
วว.8:1 เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่เจ็ด ความเงียบก็ครอบคลุมสวรรค์อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง
พคค.3:28 ให้เขานั่งเงียบๆอยู่แต่ลำพัง เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง
ในความเงียบ พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่กับเราด้วย
การเงียบ เป็นการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่จะตรัสกับประชากรของพระองค์
ในการนมัสการ ต้องเป็นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย คือ มนุษย์และพระเจ้า
มนุษย์ใช้เสียงของเราถึงพระเจ้า ผ่านการร้องเพลง ผ่านการอธิษฐาน
และพระเจ้าใช้เสียงของพระองค์ถึงเรา ผ่านการเงียบและคิดถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ในความเงียบนั้น พระเจ้าประสงค์ให้เราคิดและพิจารณาตัวเองอย่างรอบคอบด้วย
ความเงียบ จะทำให้เรานิ่ง สงบ ส่งผลให้เราคิดได้ มีความหวัง มีความกล้า
กดว.12:8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้ รับใช้ของเรา"
มธ.11:28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข
มก.1:35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
พระเยซูคริสต์ ก็ทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ด้วย พระองค์หาเวลาเงียบๆ อยู่กับพระบิดา

4.17 การนมัสการ ด้วยการคุกเข่า
การคุกเข่า เป็นการแสดงความเคารพ ให้เกียรติ ยำเกรงพระเจ้า
ภาพในสวรรค์มีชัดเจนว่า ทุกคน ทุกเข่าจะต้องคุกลงกราบพระเยซูคริสต์
การคุกเข่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการด้วย
สดด.95:6 มาเถิดให้เรานมัสการและกราบลง ให้เราคุกเข่าลงต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา
ฟป.2:10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู
กจ.20:36 ครั้นเปาโลกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงอธิษฐานกับคนเหล่านั้น
อฟ.3:14 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา

4.18 การนมัสการ ด้วยเครื่องดนตรี
สดด.71:22 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ฝ่ายข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณใหญ่ ถึงเรื่องความสัตย์ซื่อของพระองค์ ข้าแต่องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณเขาคู่
สดด.150:3-5 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตร จงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่จงสรรเสริญพระองค์ด้วย

การนมัสการ -20- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

รำมะนาและการเต้นรำ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่ง จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบ
การใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการ เป็นเรื่องที่เหมาะสม เราควรมีดนตรีในหัวใจ
เครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ก็เหมือนอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์
ทุกอย่างมีประโยชน์ มีคุณค่า แต่ไม่จำเป็นต้องใช้พร้อมๆ กันทั้งหมด เราต้องรู้ว่าดนตรีชิ้นนี้ควรเล่นเมื่อใด ควรหยุดเล่นเมื่อใด
การนมัสการต้องเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีทั้งตายตัวและต้องยืดหยุ่น รวมกันให้เป็นความงามและความสำเร็จที่สมดุลที่สุด
เราต้องนมัสการอย่างผู้รู้ และที่สำคัญพระเจ้าต้องได้รับเกียรติผ่านการนมัสการด้วย

5. อุปสรรคของการนมัสการ
เมื่อเราเข้าใจภาพรวมและองค์ประกอบของการนมัสการแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้และระมัดระวัง คือ อุปสรรคของการนมัสการ
5.1 การขาดความเข้าใจ
อุปสรรคประการแรก คือ การขาดความเข้าใจในเรื่องของการนมัสการ
จะส่งผลให้การนมัสการขาดๆ เกินๆ ไม่ครบ ไม่เต็ม
ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนรับใช้พระเจ้าในการนมัสการ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเรียนรู้ภาพรวมของการนมัสการทั้งหมด
จนกระทั่งสิ่งที่เราขาด กลายเป็นความเข้าใจอย่างดี เพื่อการรับใช้ที่เกิดผลของตัวเราเองและเพื่อเป็นพระพรต่อผู้อื่นด้วย

5.2 มีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องในการนมัสการ
ถ้าเรามีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องในการนมัสการ ก็ยากที่จะทำให้เราเข้าถึงพระเจ้า
ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากค่านิยมของความเชื่อเดิม เช่น ชอบเงียบๆ เมื่อมาเจอเสียงดนตรีดังก็รับไม่ได้
หรืออาจจะเกิดจากสิ่งที่ไม่ถูกใจเราในเรื่องต่างๆ หรืออาจจะเกิดจากความไม่พร้อมของผู้นมัสการเอง
แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด เราต้องเข้าใจและเข้าถึงหลักความจริงของพระเจ้า
ความจริงของพระเจ้า คือความจริงตามพระคัมภีร์
พระคัมภีร์สอนเรื่องการนมัสการอย่างไร เราต้องยอมรับอย่างนั้น ต้องกล้าที่จะปรับทัศนคติของเรา

5.3 การมองพระลักษณะของพระเจ้าที่ไม่ถูกต้องและไม่สมดุล
เราต้องมองพระลักษณะของพระเจ้าอย่างถูกต้องและสมดุล จึงจะนมัสการได้อย่างถูกต้อง
เช่น พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงอยู่กับคนบาป ... เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
พวกฟาริสีมองไม่สมดุล ก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะคิดว่าคนบริสุทธิ์ประเภทไหนที่คบกับคนบาป
หลายครั้งเราก็ทำแบบเดียวกับฟาริสี คือ เห็นบางคนน่ารังเกียจ ตัดสินผู้อื่นแทนพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เป็นอุปสรรคในการที่เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้า เพราะถือว่าเราไม่ได้รู้ถึงพระลักษณะที่แท้จริงของพระองค์
เราจะรู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้าอย่างถูกต้องและสมดุลได้ ต้องศึกษาและอ่านพระคัมภีร์

5.4 เราใช้อารมณ์ในการนมัสการ
พระเจ้าไม่ปฏิเสธเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ คนไม่มีอารมณ์ความรู้สึก คือ คนที่ตายแล้วหรือคนบ้าเท่านั้น
แต่ในการนมัสการนั้น เราจะใช้แต่อารมณ์ไม่ได้
เช่น รู้สึกว่าพระเจ้าไม่อยู่ด้วย รู้สึกว่าการนมัสการมันแห้งๆ พระเจ้าไม่ทรงสัมผัส
ทั้งหมดเป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์ของตัวเราเองทั้งสิ้น
การนมัสการ -21- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าทรงตรัสว่า พระองค์จะอยู่กับเราเสมอไปเป็นนิตย์ และพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ท่ามกลางคริสตจักร
ดังนั้น ในการนมัสการ เราต้องยึดความจริงของพระเจ้า ไม่ใช่ยึดความรู้สึกของตัวเราเอง
พระเจ้าให้เราอาศัยจิตวิญญาณของเราเข้าถึงพระวิญญาณของพระเจ้าและความจริงของพระคัมภีร์นำเรา
ข้อแนะนำ คือ เมื่อเรายังมีอารมณ์ ก็ควรทำอารมณ์ให้สงบก่อนที่จะเข้านมัสการพระเจ้า
เพื่อจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางเรากับพระเจ้า และเพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคของผู้อื่นด้วย

5.5 เรายังไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง
ไม่มีอิสรภาพ หรือไม่เป็นอิสรภาพ หมายถึง เรายังขึ้นอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ยึดติดคนบางคน หรือยึดติดบางสิ่ง หรือไม่ชอบคนบางคน (เห็นบางคนแล้วไม่อยากนมัสการ) เป็นต้น
กท.5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
พระเจ้าประทานเสรีภาพให้กับเรา เราต้องนมัสการพระเจ้าด้วยความเป็นอิสระ
คือ เรากับพระเจ้า แม้จะอยู่ท่ามกลางคนอื่นหรือสิ่งอื่นก็ตาม

5.6 ท่าทีและแรงจูงใจไม่ถูกต้อง
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของการนมัสการ คือ การที่เรามีท่าทีและแรงจูงใจไม่ถูกต้อง
เช่น นมัสการด้วยการโอ้อวด ความไพเราะของเพลงหรือเสียงร้อง เป็นต้น
หรือเมื่อตัวเองนำนมัสการก็มีการเตรียมอย่างดี แต่เมื่อไม่ได้เป็นผู้นำก็ไม่มีการเตรียมตัว เป็นต้น
สิ่งนี้เหล่าทำให้พระเจ้าไม่รับเกียรติในการนมัสการ

5.7 ขาดความเชื่อ
ฮบ.11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
เราจะนมัสการได้อย่างถูกต้อง เมื่อเราเข้าหาพระเจ้าด้วยความเชื่อ คือ เชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจ
เมื่อนมัสการ เราต้องไม่มีความสงสัยว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วยหรือไม่ พระเจ้าจะฟังหรือไม่
เพราะเราสงสัยอย่างไร เราก็จะได้รับอย่างนั้น
ดังนั้น เราต้องคาดหวังว่า เราจะได้รับรางวัล ได้รับพระพร ได้รับคำตอบผ่านการนมัสการ
และเราจะได้รับตามนั้น โดยความเชื่อของเรา

6. ผลของการนมัสการอย่างถูกต้อง
การนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง นำพระพรมากมายมหาศาลมาสู่ผู้ที่นมัสการนั้น ดังนี้
6.1 เราจะรับการช่วยกู้จากพระเจ้า
มธ.16:18-19 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย"
คริสตจักรได้รับกุญแจสวรรค์จากพระเจ้า สามารถเปิดและปิดพระพรสำหรับผู้เชื่อได้
ดังนั้น การนมัสการอย่างถูกต้องในคริสตจักร จะทำให้เรารับการช่วยกู้จากพระเจ้า
การนมัสการ -22- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนฝ่ายวิญญาณ ต้องมองให้ทะลุด้วยสายตาฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าเราอธิษฐานเผื่อสิ่งใด มันจะเป็นไปตามนั้นเสมอ
สดด.20:2 ขอพระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือมาจากสถานนมัสการและให้ความสนับสนุนท่านมาจากเมืองศิโยน
สดด.32:7 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้า พระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้
สดด.91:1-11 ผู้ที่อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด ผู้อยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทูลพระเจ้าว่า "ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์ไว้ วางใจ"เพราะพระองค์จะทรงช่วยกู้ตัวท่านจากกับของพรานนก และจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้นพระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์ และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์ เป็นโล่และเป็นดั้งท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวันหรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือโรคซึ่งทำลายในเที่ยงวันพันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆ ท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่านท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น และเห็นการตอบแทนแก่คนอธรรมเพราะท่านได้กระทำให้พระเจ้าผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่อยู่ของท่านไม่มีการร้ายใดๆ จะตกมาบนท่าน ไม่มีภัยมาใกล้เต็นท์ของท่านเพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน
ดังนั้น คนของพระเจ้า ยิ่งมีปัญหา ยิ่งต้องติดสนิทกับพระเจ้า
ยิ่งมีปัญหา ยิ่งต้องรับใช้พระเจ้า และต้องยิ่งนมัสการพระเจ้า
ในการนมัสการนั่นเอง ขบวนการช่วยกู้ของพระเจ้าได้เริ่มต้นผ่านจิตวิญญาณของเรา

6.2 เราจะรับกำลังฝ่ายวิญญาณ
การนมัสการทำให้เรารับกำลังฝ่ายวิญญาณ เราจะบินขึ้นไป เราจะวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เพราะกำลังของเรามาจากพระเจ้า การนมัสการทำให้เรารับการชาร์ตแบตฯ จากพระเจ้าตลอดเวลา
คนของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รับใช้พระเจ้า จะไม่เหนื่อยง่ายเหมือนคนทั่วไป
นี่คือผล นี่คือพรจากการนมัสการอย่างถูกต้อง
อสย.40:29-31 พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ด เหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย

6.3 มีความชื่นชมยินดีแทนความโศกเศร้า
อสย.61:3 เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน เพื่อประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้า ห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรมที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้ เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์
ลูกพระเจ้า เป็นคนพิเศษ รับสิทธิพิเศษจากพระเจ้า
เมื่อเรามีความทุกข์ยาก และได้นมัสการ พระเจ้าจะสวมใส่วิญญาณแห่งการสรรเสริญให้เรา
เราจะมีความยินดีและปิติจากภายใน แม้ภายนอกน้ำตาจะไหลรินอยู่ก็ตาม
พระเจ้าจะเป็นโอเอซิสในทะเลทรายแห่งจิตใจที่แห้งผาก ความเย็นของพระเจ้าจะเข้ามาแทนที่จิตใจที่ร้อนรุ่มของเรา

6.4 การนมัสการ จะนำมาซึ่งการทรงสถิตของพระเจ้า
2พศด.5:13-14 พวกคนแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลาย ร้องเพลงสรรเสริญและเพลงโมทนาพระคุณเป็นเสียง เดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้น พร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่นในการถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าว่า "เพราะ พระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์" พระนิเวศ คือพระนิเวศของพระเจ้าก็มีเมฆเต็มไป หมด จน

การนมัสการ -23- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ ด้วยเหตุเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้าเต็มพระนิเวศของพระเจ้า
เราต้องเข้าใจความจริงในข้อนี้ว่า การนมัสการนั้นเต็มไปด้วยพลังจากสวรรค์
เต็มไปด้วยการเจิมจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางการนมัสการนั้น

6.5 การนมัสการ นำมาซึ่งวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ (พยากรณ์) และการรักษาโรค
การนมัสการที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะหรือการพยากรณ์
ผ่านคนที่ไม่เคยเผยพระวจนะมาก่อน แต่พระเจ้านำให้เขาเผยอย่างเจาะจงในการนมักสาร
สิ่งนี้ไม่ใช่ของประทาน แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นในการนมัสการอย่างถูกต้อง
กจ.13:2 เมื่อคนเหล่านั้นกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหาร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสสั่งว่า "จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับการซึ่งเราเรียกให้เขาทำนั้น"
พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส คือ ตรัสผ่านคนที่กำลังประชุมนมัสการ
ถ้าเรารู้สึกว่าพระเจ้านำเรา ก็อย่าฝืน ต้องเชื่อฟังและทำตามพระเจ้า เพื่อคนของพระเจ้าจะรับพระพร

6.6 การนมัสการ นำมาซึ่งอิสรภาพและการปลดปล่อย
การนมัสการ นำมาซึ่งการปลดปล่อยจากพันธการทั้งสิ้นทั้งปวง การนมัสการ ทำให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง
กท.5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
อะไรที่ผูกมัด ขัดขวางเราอยู่ พระเจ้าจะปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระผ่านการนมัสการ

6.7 การนมัสการ นำมาซึ่งสันติสุข
สดด.84:4 ความสุขเป็นของบุคคลที่อาศัยในพระนิเวศของพระองค์เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ
ฟป.4:6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณแล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
สันติสุขอันเกิดความเข้าใจ เกินความคิด เกินความรู้ของมนุษย์ จะเกิดขึ้นเมื่อเรานมัสการ

6.8 การนมัสการ จะทำให้เรามีความเชื่อมากขึ้น
ฮบ.11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
การนมัสการ จะเสริมความเชื่อของเราให้เติบโตขึ้น
ยิ่งเรามีความเชื่อมากเท่านั้น เราจะรับพระพรจากพระเจ้ามากเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัย

6.9 การนมัสการ จะทำให้เราเติบโตมากขึ้น
อฟ.4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
พระวจนะของพระเจ้าเราต้องเรียนรู้ แต่การนมัสการก็เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เลย
คนที่ไม่นมัสการพระเจ้า คือ คนที่ไม่ถ่อมใจ ไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนของพระเจ้า
แต่ถ้าเราถ่อมใจเดินตามพระเจ้า เราจะเป็นอย่างพระเจ้ามากขึ้น เติบโตกับพระองค์มากขึ้น
การนมัสการ -24- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คำสอนเกี่ยวกับการนมัสการในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจภาพรวมของการนมัสการมากขึ้น
แต่ในเรื่องการนมัสการนั้น เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเรารู้มากขึ้น เราจะเข้าใจพระเจ้าได้มากขึ้น และจะเป็นนมัสการได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พี่น้องทุกท่านจะได้รับพระพร

No comments:

Post a Comment