Monday, April 25, 2011

เรื่อง “ เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ ”

เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ ”

พระคัมภีร์ทั้งเล่มของพระเจ้า เราจะเห็นว่ามีเหตุการณ์มากมายที่พระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ มีหลายเหตุการณ์ที่ธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ต้องเชื่อฟังพระองค์, มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ และเรียกได้แม้กระทั่งคนตายให้ฟื้นขึ้น รวมทั้งมีการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของมนุษย์ ...
เบื้องหลังของการอัศจรรย์นั้น พระเจ้ามีเหตุผล มีวัตถุประสงค์ที่เราต้องหาให้เจอและต้องเข้าใจเหตุผลนั้นให้ได้ ทุกครั้งที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ หรือทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ พระองค์ทำเพื่อสอนคนของพระองค์ พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่พระองค์ไม่ได้ทำเพื่ออวดฤทธิ์ ตรงกันข้ามพระองค์ใช้ฤทธิ์นั้นเพื่อช่วยชีวิตของเรา
ถ้าเราเข้าใจเหตุผลในการทำการอัศจรรย์ของพระเจ้า เราจะไม่หลงฤทธิ์ ไม่เป็นคนโอ้อวด ไม่ถือว่าชีวิตของตนพิเศษกว่าคนอื่น แต่ถือว่าการอัศจรรย์นั้น พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยชีวิต เพื่อสร้างชีวิตของเรา ... คนที่ชอบโอ้อวด คือ คนที่ไม่มี แต่คนที่มีจริง ไม่จำเป็นต้องอวด ยิ่งเรารู้สึกว่าเราเป็นคนธรรมดาสามัญเท่าไร พระเจ้าจะยิ่งทำสิ่งพิเศษและการอัศจรรย์ในชีวิตของเรามากขึ้นเท่านั้น

เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์
1. เพื่อช่วยให้ผู้รับใช้และผู้ที่กำลังรับใช้มีกำลัง
เหตุผลประการแรกที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ คือ ช่วยผู้รับใช้และช่วยคนที่กำลังรับใช้ให้มีกำลัง
การอัศจรรย์ไม่ได้เกิดเพื่อการโอ้อวด พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ไม่มีอะไรที่พระองค์ต้องอวดความเป็นพระเจ้าอีก
แต่ที่พระเจ้าต้องทำการอัศจรรย์ ก็เพราะพระองค์ประสงค์ที่จะช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้มีกำลังขึ้น
มก.6:45-52 ครั้นแล้วพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกของพระองค์ ลงเรือข้ามไปยังเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่นั่น เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และพระองค์ทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล้วพากันร้องอึงไป เพราะว่าทุกคนเห็นแล้วก็กลัว แต่ในทันใดนั้นพระองค์ทรงออกพระโอษฐ์ตรัสแก่เขาว่า "ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย" พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือแล้วลมก็เงียบลงเหล่าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ เพราะว่าเรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ แต่ใจเขายังมืดมัวอยู่
พระวจนะตอนนี้ เป็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูคริสต์กระทำต่อบรรดาอัครทูตของพระองค์
พระเยซูคริสต์รู้ดีว่าพวกเขาต้องเจอปัญหาอีกมากมายในการรับใช้พระเจ้า
พระองค์จึงต้องกระทำการอัศจรรย์ให้พวกเขาได้รับกำลัง ให้พวกเขาเห็นว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือดินฟ้าอากาศ
ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติและยิ่งใหญ่เหนือมารซาตาน
พระองค์ต้องการย้ำให้พวกเขาเห็นว่า “พระเจ้าที่เขากำลังรับใช้นั้น ใหญ่กว่าปัญหาทั้งปวง”

1.1 อสย.42:1 จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี เราได้เอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้แล้ว ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปให้แก่บรรดาประชาชาติ
พระวจนะย้ำเตือนว่า พระเจ้าทำการอัศจรรย์ เพื่อช่วยให้ผู้รับใช้มีกำลัง
ในการรับใช้พระเจ้านั้น ถ้าพระเจ้าไม่อยู่ฝ่ายเรา ไม่มีทางที่เราจะรับใช้พระองค์ได้อย่างเกิดผล
พระเจ้าใช้ใคร พระเจ้าเจิมใคร พระเจ้าเองจะเป็นผู้เชิดชูผู้นั้นขึ้น
เชิดชูเขาด้วยผลงาน เชิดชูเขาด้วยพระวิญญาณของพระองค์ที่ทรงสวมทับเขา
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าทรงการให้ผู้รับใช้ตระหนักว่า “งานของพระเจ้า เป็นงานศักดิ์สิทธิ์”
หากเราประสงค์จะให้พระเจ้าอวยพรมาก การอัศจรรย์เกิดขึ้นมาก เราก็ต้องรับใช้พระเจ้าให้มากขึ้นด้วย
ขอย้ำว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นเพื่อช่วย “ผู้รับใช้” หรือ “ผู้ที่กำลังรับใช้” เท่านั้น
การอัศจรรย์จะไม่ช่วย “ผู้ที่เคยรับใช้” หรือ “ผู้ที่คิดว่าจะรับใช้”
การรับใช้พระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ การรับใช้มนุษย์ อุ้มคนที่อ่อนแอ แบกคนที่มีปัญหา
ช่วยให้เขาดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เพื่อช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้ในอนาคต

1.2 มธ.28:18-20 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
พระเจ้าทรงมีแผนการและมีเหตุผลในการกระทำทุกสิ่ง รวมทั้งการอัศจรรย์ด้วย
การทำพันธกิจของพระเจ้า การออกไปสั่งสอนและประกาศกับทุกคนทั่วโลกนั้น จำเป็นต้องใช้กำลังมาก
ต้องพึ่งพาพระเจ้า ต้องพึ่งพาฤทธิ์เดช ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากสวรรค์
แต่ฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์ของพระเจ้าจะอยู่กับเรา ก็ต่อเมื่อเรารับใช้พระเจ้าเท่านั้น
พระเจ้าย้ำว่า “จะอยู่กับเราทั้งหลายเสมอ” ... ถ้าเราออกไปสั่งสอน (รับใช้) คนของพระองค์

1.3 มก.16:20 พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขา โดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น
การอัศจรรย์ เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย และคนที่ทำงานจะรับกำลังจากพระองค์
พระเจ้าจะทรงร่วมงาน จะทรงสนับสนุน จะทรงกระทำการอัศจรรย์ ก็ต่อเมื่อเราทำงานของพระองค์
เราต้องเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ใช้ให้พระเจ้าทำงานแทนเรา
การอธิษฐานเป็นเรื่องดีที่เราควรกระทำ ... แต่อธิษฐานแล้ว ต้องทำงานด้วย
การอธิษฐานเป็นการรับกำลัง รับการเจิม เพื่อจะออกไปรับใช้พระเจ้า
อธิษฐานโดยไม่ทำงาน ก็เท่ากับเราใช้พระเจ้าทำงานแทนเรา อย่างนี้พระเจ้าไม่ร่วมงาน ไม่สนับสนุน ไม่ทำการอัศจรรย์
มนุษย์ทุกคนมีปัญหาต้องแก้ และพระเยซูทรงเป็นคำตอบ
สาวกจึงเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะออกไปเทศนา สั่งสอน ให้คำตอบแก่พวกเขา
เมื่อเรารับใช้พระเจ้า พระองค์จะทรงร่วมงานและสนับสนุนเราด้วยหมายสำคัญของพระองค์
สำหรับข้าพเจ้าเคล็ดลับในการเผชิญปัญหา คือ ยิ่งมีปัญหา ยิ่งต้องรับใช้พระเจ้า

พระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยคนของพระองค์ให้รับกำลังในการทำงาน จึงประทานหมายสำคัญและการอัศจรรย์
แต่ก่อนที่เราจะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า เราต้องทำในส่วนของเราอย่างสุดกำลัง อย่าทำครึ่งๆ กลางๆ
และอย่าทำเพื่อหวังจะรับการอัศจรรย์ แต่ต้องทำเพราะเรารักพระเจ้า อยากทดแทนพระคุณของพระองค์
เมื่อเรารับใช้พระเจ้า รับใช้มนุษย์ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง พระเจ้าจะสนับสนุนงานของเรา

1.4 อพย.4:1-9 โมเสสจึงทูลตอบว่า "แต่พระองค์เจ้าข้า เขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะว่า 'พระเจ้า มิได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย' พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "อะไรอยู่ในมือของเจ้า" ท่านทูลว่า "ไม้เท้า พระเจ้าข้า"
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระองค์ตรัสว่า "โยนลงที่พื้นดินเถิด" ท่านจึงทิ้งไม้เท้าลงบนพื้นดิน ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็เดินหลบหนี งูไป พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เอื้อมมือจับหางงูไว้" (พอท่านเอื้อมมือจับหางงู มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน) "เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้า ของยาโคบ ทรงปรากฏแก่เจ้าแล้ว" พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า "เอามือสอดไว้ที่อกของเจ้า" ท่านสอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออก มือของท่านก็เป็นโรค เรื้อน ขาวเหมือนหิมะ พระองค์จึงตรัสว่า "เอามือสอดไว้ที่อกอีกครั้งหนึ่ง" โมเสสก็สอดมือเข้าที่อกอีก แล้วเมื่อท่านชักออกมา ดูเถิด มือ นั้นกลับกลายเป็นเหมือนเนื้อหนังส่วนอื่นของท่าน พระเจ้าตรัสว่า "ถ้าเขาจะไม่เชื่อเจ้า และไม่เชื่อหมายสำคัญครั้งที่หนึ่ง เขาอาจเชื่อหมายสำคัญที่สอง ถ้าเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองครั้งนี้ ทั้งไม่ฟังเสียงของเจ้า จงตักน้ำในแม่น้ำไนล์มานิดหน่อยและเทลงที่ดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าตักมาจากแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้งนั้น"
พระเจ้าสนับสนุนโมเสส ด้วยการให้โมเสสกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ท่ามกลางคนอียิปต์
เวลานั้นกองทัพอียิปต์ถือว่าเป็นกองทัพใหญ่ที่สุดของโลก
เมื่อพระเจ้าจะใช้โมเสสนำคนของพระองค์ออกจากกองทัพนั้น โมเสสจึงต้องการการรับรองและสนับสนุนจากพระองค์
พระองค์จึงทรงกระทำผ่านการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อให้โมเสสมั่นใจและมีกำลังในการรับใช้พระเจ้า

1.5 กจ.1:8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
หลายคนไม่มีการอัศจรรย์ของพระเจ้าเกิดขึ้นในชีวิต ... ก็เพราะเขาไม่ได้ทำงานรับใช้พระเจ้า
พระวจนะบันทึกไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าจะประทานฤทธิ์เดช เพื่อการรับใช้พระเจ้า (ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวด)
เราต้องเป็นพยานฝ่ายพระเจ้า เราต้องประกาศข่าวประเสริฐ
เริ่มต้นจากคนใกล้ตัว ออกไปยังคนไกลตัว ประกาศไปทั่วประเทศไทยและประกาศไปทั่วโลก
เมื่อเรารับใช้พระเจ้า พระองค์จะร่วมงานกับเราผ่านการอัศจรรย์ ผ่านฤทธิ์เดช ผ่านการสนับสนุนจากสวรรค์

1.6 รม.15:18-19 เพราะว่าข้าพเจ้าไม่อาจจะอ้างสิ่งใด นอกจากสิ่งซึ่งพระคริสต์ได้ทรงกระทำ โดยทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอนและกิจการ เพื่อจะให้คนต่างชาติเชื่อฟังคือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม
ที่จริงในชีวิตของเปาโล มีหลายสิ่งที่ท่านสามารถอวดได้ ทั้งด้านชาติกำเนิด การศึกษาและความสามารถ
แต่เปาโลไม่อวดอ้างสิ่งใดทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ต้องการอวด คือ อวดสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำผ่านชีวิตท่าน
เกิดผลได้ อดทนได้ เอาชนะปัญหาได้ สั่งสอนได้ ทำอิทธิฤทธิ์ได้ ทำการอัศจรรย์ได้ ไม่ใช่เพราะตัวท่านเอง
แต่เพราะพระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ผ่านชีวิตของท่าน
จำไว้อย่างหนึ่งว่า “คนที่ปรนนิบัติพระเจ้า กับ คนที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์”
ผลของการดำเนินชีวิต “แตกต่างกัน” อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น เหตุผลประการแรกที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ ก็เพื่อที่จะให้ผู้รับใช้มีกำลัง
ถ้าเราเป็นผู้รับใช้และกำลังรับใช้พระเจ้า พระองค์จะกระทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเรา
อย่ากลัวปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพราะพระเจ้าที่เรากำลังรับใช้นั้นใหญ่กว่าทุกสิ่ง

2. เพื่อช่วยคนที่ต้องการพึ่งพาพระเจ้า
มก.6:46 เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่นั่น
ในพระวจนะข้อนี้ เราจะเห็นว่าแม้แต่พระเยซูคริสต์ ยังต้องมีเวลาในการอธิษฐานกับพระบิดา
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เพราะการที่พระเยซูคริสต์มารับสภาพเป็นมนุษย์ แม้พระองค์เป็นพระเจ้า ก็ต้องพึ่งพาพระเจ้าพระบิดา
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า พระองค์ไม่อาจทำราชกิจแต่ลำพังได้ แต่ต้องพึ่งพาพระบิดา
เราทุกคนจึงไม่มีข้อยกเว้นใดในการพึ่งพาพระเจ้า
ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ถ้าพระเยซูยังต้องอธิษฐาน เราเป็นใครที่จะไม่อธิษฐานกับพระองค์
ในการอธิษฐานเราจะรับกำลังจากพระเจ้าเสมอ และแม้มนุษย์จะเหลือกำลัง แต่ไม่มีอะไรที่ยากเกินกำลังของพระเจ้า
งานของพระเจ้า เราต้องพึ่งพาพระองค์ และพระเจ้าจะกระทำการอัศจรรย์ เพื่อช่วยคนที่พึ่งพาพระองค์เสมอ

2.1 ยรม.29:12-13 แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้าเจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า
เราทุกคนต้องการพึ่งพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
การอธิษฐานเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยเราในการพึ่งพาพระเจ้า
แต่เงื่อนไข คือ เราต้องแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ อธิษฐานอย่างสุดใจ
พระเจ้าให้เราขอ เราก็มีสิทธิ์ขอ เมื่อเราขอ พระเจ้าจะประทานให้
เราสามารถร้องขอจากพระเจ้าได้ ผ่านคำอธิษฐานของเรา
สำหรับผู้ที่พึ่งพาพระเจ้า พระองค์มีแผนงานที่ดีไว้รองรับชีวิตของเขา เป็นแผนการแห่งอนาคตและความหวังใจ

2.2 โยบ.5:7-9 แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อแก่ความยากลำบาก อย่างประกายไฟย่อมปลิวขึ้นบน ส่วนข้า ข้าจะแสวงหาพระเจ้า และข้าจะมอบเรื่องราวของข้ากับพระเจ้าผู้ทรงกระทำการใหญ่เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และการอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน
มนุษย์ทุกคนเกิดมา ย่อมเจอกับช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของชีวิต
แต่ในช่วงนั้น เราจะแสวงหาพระเจ้า มอบเรื่องราวของเราไว้กับพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงสามารถกระทำการอัศจรรย์ในชีวิตของเราได้
มนุษย์ทุกคนลำบาก แต่มนุษย์ที่มีพระเจ้า จะแสวงหาพระองค์
และพระองค์จะช่วยเราให้หาทางออกสำหรับความยากลำบากนั้นได้
พระเจ้าจะทรงนำเราให้ผ่านพ้นปัญหาและความทุกข์ยาก ถ้าเราพึ่งพาพระองค์

พระเจ้าทำการอัศจรรย์ เพื่อตอกย้ำว่า พระองค์รักเรา พระองค์อยู่กับเรา พระองค์จะช่วยเราเสมอ
ความรู้สึกของมนุษย์เกิดขึ้นได้ เช่น ความกลัว ความกังวล แต่คนของพระเจ้าต้องบริหารอารมณ์ด้วยสติ
พระเจ้าไม่ให้เรายึดความรู้สึก สิ่งที่เราควรยึด คือ ความจริง
การที่เราพบกับการอัศจรรย์ในชีวิต เมื่อเราพึ่งพาพระเจ้า จะทำให้เราโตขึ้นอีกขึ้นหนึ่ง
คำสอนของพระเจ้า ไม่ได้ทำให้เราศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง แต่เป็นคำสอนที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
ยิ่งใกล้พระเจ้า ยิ่งเป็นประโยชน์ แม้มีปัญหา ก็มีทางแก้ไขได้เสมอ
นี่คือการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อช่วยคนที่พึ่งพาพระองค์

2.3 ดนล.10:1-14 ในปีที่สามแห่งรัชกาลไซรัสพระราชาประเทศเปอร์เซีย พระเจ้าทรงสำแดงสิ่งหนึ่งแก่ดาเนียลผู้ได้ชื่อว่า เบลเทชัสซาร์ และสิ่งนั้นก็จริง เป็นสงครามใหญ่โต ท่านเข้าใจสิ่งนั้น และมีความเข้าใจในนิมิตนั้นในคราวนั้น ข้าพเจ้าดาเนียลเป็นทุกข์อยู่สามสัปดาห์ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารอร่อย เนื้อ หรือเหล้าองุ่นก็มิได้เข้าปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ชโลมน้ำมันตัวเลย ตลอดสามสัปดาห์เมื่อวันที่ยี่สิบสี่เดือนต้น ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำไทกริสข้าพเจ้าแหงนขึ้นมอง ดูเถิด มีชาย
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่านมีทองเมืองอุฟาสคาดเอวไว้ร่างกายของท่านดั่งเพทาย และหน้าของท่านก็เหมือนฟ้าแลบ ดวงตาของ
ท่านก็เหมือนกับคบเปลวเพลิง แขนและ เท้าเป็นเงางามเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงถ้อยคำของท่านเหมือนเสียงมวลชนและข้าพเจ้าดาเนียลเห็นนิมิตนั้นแต่ผู้เดียว คนที่อยู่กับข้าพเจ้ามิได้เห็นนิมิตนั้น แต่เขาตัวสั่นมากจึงวิ่งไปซ่อนเสียแล้วข้าพเจ้าอยู่แต่ลำพัง และข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตใหญ่ยิ่งนี้ ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็ เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรงแล้วข้าพเจ้าจึงได้ยินเสียงถ้อยคำของท่าน และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำนั้น ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงสลบอยู่ หน้า ของข้าพเจ้าฟุบกับดินและดูเถิด มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า พยุงให้ข้าพเจ้ายันตัวที่สั่นด้วยมือและเข่าท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "โอ ดาเนียล บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง จงพิเคราะห์ถ้อยคำที่เราพูดกับท่าน และยืนตรง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้มาหาท่าน" ขณะที่ท่านกล่าวคำนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยืนสั่นสะท้านอยู่แล้วท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้ตั้งใจจะเข้าใจและถ่อมลงต่อพระเจ้าของท่านนั้น พระเจ้าทรงฟังถ้อยคำของท่าน และข้าพเจ้ามาด้วยเรื่องถ้อยคำของท่านเจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน แต่มีคาเอลเจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมา ช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่นั่นให้อยู่กับเจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียข้าพเจ้ามากระทำให้ท่านเข้าใจถึงสิ่งซึ่งจะตกกับชนชาติของท่านในกาลภายหน้า เพราะยังมีนิมิตเกี่ยวกับวาระนั้น"
ดาเนียล ผู้รับใช้พระเจ้าต้องเผชิญกับความทุกข์อยู่นานหลายสัปดาห์
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำไม่ได้อาบ ในปัญหาหนักนั้น ท่านต้องการพระเจ้า
คำอธิษฐานของท่านถูกขัดขวางโดยมารซาตานไม่ให้ไปถึงพระเจ้า แต่พระองค์จะเป็นผู้ช่วยเรา ถ้าเราพึ่งพาพระองค์
จำไว้ว่า เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหรือเลือด หรือต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน แต่เราต่อสู้กับวิญญาณชั่ว
ในเหตุการณ์นี้ พระเจ้าหนุนใจดาเนียลผ่านทูตสวรรค์ว่าพระเจ้าได้ฟังคำของท่านแล้ว
บางครั้งพระเจ้าอาจจะไม่ได้กระทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเราโดยตรง
แต่การทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของผู้อื่น ก็สามารถหนุนใจและให้กำลังแก่เราได้เช่นกัน
พระเจ้าช่วยดาเนียลอย่างไร เมื่อท่านแสวงหาพระเจ้าในยามที่มีปัญหา พระเจ้าจะช่วยเราอย่างนั้น
สำคัญที่เราต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะพระองค์พร้อมช่วยคนที่พึ่งพาพระองค์เสมอ

2.4 อสย.38:1-5 ครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และ ทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงจัดการการบ้านการเมืองให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น"แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้าขอทรงระลึกถึงว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และสิ้นสุดใจ และ ได้กระทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์" และเฮเซคียาห์ทรงกันแสงมากยิ่งแล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงอิสยาห์ว่า "จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า แล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าสิบห้าปี
พระวจนะตอนนี้เกี่ยวข้องกับผู้รับใช้ 2 ท่าน ท่านแรก คือ กษัตริย์เฮเซคียาห์ ท่านที่สอง คือ อิสยาห์
เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ป่วย และพระเจ้าเผยพระวจนะผ่านอิสยาห์ว่าท่านต้องตาย
กษัตริย์เฮเซคียาห์ หันหน้าเข้าหาพระเจ้า แสวงหาและพึ่งพาพระองค์
ท่านทูลให้พระเจ้าระลึกถึงสิ่งดีที่ท่านได้กระทำมาตลอดชีวิต ... เป็นผลให้พระเจ้าทรงต่ออายุให้กับท่าน
พระวจนะตอนนี้สอนเราเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเกิดภัย เราสามารถร้องทูลและให้พระเจ้าระลึกถึงสิ่งดีที่เรากระทำได้หรือไม่
ถ้าตลอดชีวิตของเราดำเนินต่อพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์และกระทำสิ่งดีในสายพระเนตรของพระเจ้า
คนที่ทำดีมาตลอด มีสิทธิ์ต่อรองและอ้างพระสัญญากับพระเจ้า พระองค์จะทรงฟังและช่วยเรา เหมือนช่วยกษัตริย์เฮเซคียาห์

ในอีกมุมของท่านอิสยาห์ เมื่อพระเจ้าสั่งให้ท่านไปเผยพระวจนะกับกษัตริย์
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

อิสยาห์ เกิดความกลัว เพราะหากพูดไม่จริง มีสิทธิ์ถูกประหารชีวิตได้ ท่านจึงทูลขอการอัศจรรย์ที่เป็นการยืนยันจากพระเจ้า
อสย.38:7-8 นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับฝ่าพระบาทจากพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งนี้ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ดูเถิด เราจะกระทำให้เงาที่ดวงอาทิตย์ทอดมาบนนาฬิกาแดดของอาหัสย้อนกลับมาสิบขั้น" ดวงอาทิตย์ก็ได้ย้อน กลับบนนาฬิกาแดดสิบขั้น ตามขั้นที่ได้ตกไป
พระเจ้าทำการอัศจรรย์ ย้อนเวลาให้เห็น ไม่ใช่เพื่ออวด แต่เพื่อช่วยคนที่พึ่งพาพระองค์
ทุกครั้งที่กระทำการอัศจรรย์ พระเจ้าย้ำว่า อย่าบอกใคร สิ่งนี้สอนคนของพระเจ้าด้วย ต้องถ่อมตัว อย่าโอ้อวด

2.5 มก.9:2-6 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขาและฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซูฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง"ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก
พระวจนะตอนนี้ เป็นการที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์เหนืออัศจรรย์
พระเยซูคริสต์สำแดงให้ เปโตร ยากอบ และยอห์น เห็นถึงโลกทิพย์ โลกนิรันดร์
พระองค์ต้องการให้อัครทูตรู้ว่า ผู้ที่เขาเชื่อ ผู้ที่เขารับใช้ คือ พระเจ้า
พระองค์ต้องการให้พวกเขารู้ว่าโลกหลังความตายมีจริง ชีวิตนิรันดร์มีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง
พระเจ้าไม่ได้ต้องการโอ้อวด แต่ต้องการให้เขามีกำลังมากขึ้นในการรับใช้พระเจ้า
เมื่อพระเจ้าสำแดง เมื่อพระเจ้ากระทำการอัศจรรย์ เราต้องเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย
ยิ่งรับการอวยพร ต้องยิ่งถ่อมลง เพราะเย่อหยิ่งเมื่อใด พระเจ้าจะเหยียดเราลงเมื่อนั้น

2.6 กจ.2:1-4 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคศเตมาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกันในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้นมีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคนเขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ท่ามกลางผู้คนที่ได้แสวงหาพระเจ้า
เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า พระองค์จะทรงกระทำการอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเช่นกัน
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ ก็เพื่อที่จะช่วยคนที่พึ่งพาพระองค์

3. เพื่อช่วยคนที่กำลังเผชิญวิกฤต
การอัศจรรย์ไม่เพียงเกิดขึ้นกับผู้รับใช้พระเจ้า หรือผู้ที่พึ่งพาพระองค์เท่านั้น
แต่การอัศจรรย์ของพระเจ้า จะเกิดขึ้นเพื่อช่วยคนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตอีกด้วย
พระเจ้าทราบดีว่า ทุกคนมีวิกฤตของชีวิต การอัศจรรย์ของพระองค์เกิดขึ้นเพื่อช่วยเรา
พระเจ้าไม่ต้องการอวดฤทธิ์ แต่ต้องการให้ฤทธิ์นั้น “ช่วยชีวิต” คนของพระองค์

3.1 มก.6:47-48 เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และพระองค์ทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป
ในความมืดมน ในความสับสน ในความเหน็ดเหนื่อย ในปัญหา ... พระเจ้าเสด็จไปหาสาวก
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา พระเจ้าทรงมองเห็นเสมอ และการอัศจรรย์พร้อมที่จะเกิดขึ้นเพื่อช่วยคนที่เผชิญวิกฤต
พระเจ้าทำการอัศจรรย์มากมายในอดีตอย่างไร พระเจ้าจะกระทำในปัจจุบันและอนาคตของเราฉันนั้น

3.2 ฉธบ.32:10 พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดาร ในที่เปลี่ยวเปล่ามีแต่เสียงเห่าหอน พระองค์ทรงโอบล้อมเขาไว้ และทรงดูแลเขาอยู่ ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์
ในยามที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบาก ในยามที่เราต้องอยู่ในความทุรกันดาร
ในยามที่เราต้องอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยว ... พระเจ้าจะมาหาเรา พระเจ้าจะมาโอบล้อมและดูแลเราด้วยความรัก
ยิ่งพระเจ้าให้เกียรติเข้ามาหาเรา เราต้องยิ่งให้เกียรติพระองค์ ด้วยความถ่อมใจ ด้วยการเจียมตัว
เราไม่ได้วิเศษอะไร แต่พระเจ้าที่อยู่กับเราต่างหากที่วิเศษ
ดังนั้น ยิ่งเผชิญปัญหาและวิกฤติ ต้องยิ่งพึ่งพาพระเจ้า วางใจในพระองค์และรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจ

3.3 สดด.4:1 ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงให้ประจักษ์ว่า ข้าพระองค์เป็นฝ่ายชอบธรรม ขอทรงโปรดตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลเมื่อข้าพระองค์จนตรอก ขอพระองค์ประทานช่องทางให้ ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
เมื่อเราเผชิญวิกฤต เมื่อเราจนตรอก พระเจ้าจะประทานช่องทางให้กับเรา
นี่คือการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา
แต่เงื่อนไขที่พระเจ้าจะกระทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตเราก็สำคัญ จากพระวจนะตอนนี้
เราต้องเป็นคนชอบธรรม ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม ... ถ้าตลอดชีวิตเราอยู่ฝ่ายอธรรม แม้จนตรอกพระเจ้าก็ไม่ช่วย
ไม่มีมนุษย์ใดคนในโลกนี้สมบูรณ์แบบ แต่ผู้เชื่อทุกคนตั้งใจที่จะเดินเข้าสู่ความสมบูรณ์นั้น
เมื่อเราอยู่ฝ่ายชอบธรรม การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นเพื่อช่วยในยามที่เรามีปัญหา
ถ้าเราเคยทำผิดพลาดมาในอดีตไม่เป็นไร ตั้งใจปรับปรุง แก้ไขข้อผิดพลาด ... ทำได้ ก็ทำให้ถูกได้
แล้วเมื่อเราร้องทูล พระเจ้าจะทรงฟัง เมื่อเราจนตรอก พระเจ้าจะประทานหนทาง
พระเจ้าจะเปิดทาง เมื่อเราจนตรอก พระเจ้าจะตอบ เมื่อเราอธิษฐาน
แต่เราจะได้รับก็ต่อเมื่อเราอยู่ในความชอบธรรม อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า

3.4 มธ.19:26 พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง"
พระวจนะตอนนี้จะสำเร็จในเราทุกคนที่เชื่อและพึ่งพาพระองค์
มีหลายอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไม่มีทางออก แต่พระเจ้าทำได้ พระเจ้ามีทางออก
พระเจ้าเองจะเป็นทางออก และเป็นคำตอบให้กับทุกปัญหาในชีวิตของเรา
ในวิกฤต ในปัญหา เราย่อมเกิดความกลัว แต่ขอให้พระสุรเสียงจากพระวจนะตอนนี้ตรัสเตือนเราเสมอ
“อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”

3.5 ลก.5:4-8 เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว จึงตรัสแก่ซีโมนว่า "จงถอยออกไปที่น้ำลึก หย่อนอวนลงจับปลา"ซีโมนทูลตอบว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์"เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขากำลังปริเขาจึงทำสำคัญแก่เพื่อนที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย เขาก็มาช่วย แล้วได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเพียบฝ่ายซีโมนเปโตรเมื่อเห็นดังนั้น ก็กราบลงที่พระชานุของพระเยซูทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป"
เหตุผลที่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สำหรับคนของพระเจ้า จำไว้ว่า “ยิ่งวิกฤตมากเท่าใด ยิ่งเป็นโอกาสสำหรับพระเจ้ามากเท่านั้น”
สาวกหย่อนอวนลงและไม่ได้ปลาเลย แต่เมื่อพระเยซูตรัสให้หย่อนลงที่เดิมและพวกเขาเชื่อฟัง การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
ในวิกฤตของชีวิต พระเจ้าจะเข้ามากระทำการอัศจรรย์เสมอ
สำคัญที่เราต้องเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส เหมือนอย่างที่เปโตรได้เชื่อฟังพระองค์
อย่าสงสัย อย่ามีคำถามกับพระเจ้า เชื่อฟังและทำตาม แล้วเราจะเห็นการอัศจรรย์
ท่าทีของเปโตร เมื่อได้เห็นการอัศจรรย์จากพระเจ้า เกิดความถ่อมตัว เกิดความเกรงกลัวพระเจ้า
ท่าทีเช่นนี้ควรเกิดขึ้นในเราทุกคน ... ในความกลัว (ปัญหา) ทำให้เรามีความทุกข์ ...
แต่ในความเกรงกลัว (พระเจ้า) เราจะมีความสุข ถ้าเราเกรงกลัวพระเจ้า เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย

3.6 สดด.34:4 ข้าพเจ้าได้แสวงพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าและทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากความกลัวทั้งสิ้นของข้าพเจ้า
ในทุกสภาวะของชีวิต หากเราได้แสวงหาพระเจ้า ความกลัวทั้งสิ้นจะหายไป
แสวงหาพระเจ้า คือ แสวงหาการผูกพันกับพระเจ้าให้มากขึ้น ผ่านการอธิษฐาน ผ่านการนมัสการ
ผ่านการรับใช้พระเจ้า ผ่านการอ่านพระคัมภีร์ ผ่านการสามัคคีธรรม ฯลฯ
ไม่ใช่เฉพาะวันเวลาที่มีปัญหาหรือความทุกข์เท่านั้น แต่แสวงหาทุกวัน
การอัศจรรย์ของพระเจ้าก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวันในชีวิตของเรา
ความกลัวจะหายไป เหลือไว้เพียงความกล้าในการติดตามและรับใช้พระเจ้าเท่านั้น

3.7 สภษ.3:25-26 อย่ากลัวความกลัวลานที่มาถึงปัจจุบันทันด่วนหรือกลัวความพินาศย่อยยับของคนชั่วร้ายที่เกิดขึ้น เพราะพระเจ้าจะทรงเป็นความไว้วางใจของเจ้า และจะทรงรักษาเท้าของเจ้าให้พ้นจากการถูกจับ
ในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราอย่างปัจจุบันทันด่วน
ความตาย ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ จะเกิดขึ้นมากมายก่อนที่จะถึงอวสานของโลก
แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่สามารถแตะหรือจับตัวเราได้ เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า เกรงกลัวพระเจ้า
ชีวิต ความรอดและความเป็นความตายของเราขึ้นกับพระเจ้าเท่านั้น

3.8 อสย.41:10 อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา
ในวิกฤต ในปัญหา พระเจ้าจะตรัสกับเราเสมอว่า “อย่ากลัวเลย”
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา
ความช่วยเหลือจะมาจากพระองค์ การหนุนกำลังจะมาจากพระองค์
ทุกวิกฤต จะเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะสำแดงการอัศจรรย์ของพระองค์ในชีวิตของเรา
เพื่อยืนยันว่า ไม่มีอะไร สิ่งใด ใหญ่กว่าพระเจ้า
ทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์
หากเรากำลังรับใช้พระเจ้า หากเราพึ่งพาพระองค์ หากเราต้องเผชิญวิกฤต การอัศจรรย์ของพระองค์ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
แต่อย่าลืมว่าการอัศจรรย์และฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อโอ้อวดความเป็นพระเจ้า
หรือให้เราโอ้อวดสิทธิพิเศษที่ได้รับจากพระองค์ “ฤทธิ์ของพระเจ้าสำแดง เพื่อช่วยชีวิตเราเท่านั้น”
สิ่งที่เราควรคำนึงมากกว่ามุ่งเน้นการอัศจรรย์ คือ ใช้ชีวิตให้ถูกต้องชอบธรรมกับพระเจ้า
ถ้าเรายำเกรงพระเจ้า แม้เราไม่เห็นการอัศจรรย์ ก็ไม่มีอะไรที่เราต้องกลัวอีกต่อไป

No comments:

Post a Comment