Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ ธัมมะที่บริสุทธิ์ ตอน ใจเมตตากรุณา ” จาก “ ยก.1:26-27 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ธัมมะที่บริสุทธิ์ ตอน ใจเมตตากรุณา ” จาก “ ยก.1:26-27 ”

ยก.1:26-27 ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธัมมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์ ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข ความสงบ และสันติ เราจะไปสู่ทางนั้นได้ต้องเริ่มต้นที่เป็นคนมีธัมมะ และไม่ใช่ธัมมะธรรมดา แต่เป็นธัมมะที่บริสุทธิ์
พระวจนะในตอนนี้ เป็นธัมมะที่บริสุทธิ์ ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการด้วยกัน คือ
1) ต้องสงบปากคำ
2) ต้องมีความเมตตา : เยี่ยมเยียนเด็กกำพร้า และหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน
3) รักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
แต่ละองค์ประกอบเป็นคำที่สั้นมาก แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความหมายอย่างลึกซึ้ง สำหรับหนังสือในตอนนี้นั้น จะเน้นข้อสอง คือ ใจเมตตากรุณา

การเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้า และหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน แสดงถึง ใจเมตตากรุณา
เหตุที่เราต้องเมตตาต่อหญิงม่าย เพราะในสมัยนั้น ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้ว ก็จะเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียว หากนางเป็นม่ายเพราะสามีตาย นางจึงต้องลำบากต้องหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว เด็กกำพร้าก็เช่นกัน โดยภาพรวมทั้งสองเป็นตัวแทนของผู้ที่มีความทุกข์ร้อน ผู้ใดให้การช่วยเหลือ เท่ากับผู้นั้นได้แสดงความเมตตาและใจกรุณา

ใจเมตตากรุณา เป็นธัมมะขั้นสูง และเป็นธัมมะที่บริสุทธิ์
... ใครมีธัมมะที่บริสุทธิ์ ก็จะมีภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เป็นโรคเห็นแก่ตัว รัก หรือหลงเงิน
คนที่ชีวิตของเขามีพระเจ้ามาเป็นอันดับหนึ่ง และความเมตตา มาเป็นอันดับสอง คนๆ นั้น แม้จะมีเงินมากเท่าใด ก็ไม่เสียคน ยิ่งเขามีมาก เขาก็จะให้มากด้วย
... ใครมีธัมมะที่บริสุทธิ์ ก็จะมีท่อพระพรไหลจากสวรรค์มาถึงชีวิตของผู้นั้น เป็นพลังจากพระเจ้า
พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ สังเกตดูทุกคน และตอบแทนเราตามการกระทำ
... ใครมีธัมมะที่บริสุทธิ์ จะทำให้ผู้นั้นเป็นทองแท้ (ไม่ใช่ทองปลอม หรือทองชุบ) เป็นลูกพระเจ้าแท้ แม้หลายครั้งเปื้อนสิ่งสกปรก แต่เนื้อแท้ เนื้อในเราดี เมื่อชำระสิ่งสกปรกแล้ว ก็ยังเป็นทองอยู่ที่นั่นเอง

1. ลักษณะของใจเมตตากรุณา
1.1 ใจกรุณาเมตตา ตรงข้าม ใจโหดเหี้ยม ใจโกรธ และใจร้าย
อฟ.4:31-32 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคืองและใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น
ยิ่งมีใจเมตตากรุณามากเท่าไร จะยิ่งไม่มีช่องว่างสำหรับใจโกรธและโหดเหี้ยมมากเท่านั้น
คนที่มีใจเมตตากรุณา จะไม่ทำร้าย ไม่ทำลาย ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม
คนที่พูดร้าย คนที่ชอบทำร้าย ทำลายผู้อื่น ไม่ได้เป็นคนที่มีใจกรุณา
คนประเภทนี้ ไม่มีวันที่จะหาความสุขได้ตลอดชีวิต

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1.2 ใจเมตตากรุณา เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ กท.5:22
กท.5:22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ
ความปรานี ความดี คือ ใจเมตตากรุณา เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
คนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในชีวิต จะเป็นผู้ที่มีใจกรุณา
ถ้าพระวิญญาณฯ อยู่ในเรา ใจเมตตากรุณาจะค่อยๆ เติบโตในชีวิตของเรา
แต่ถ้าผู้ใดไม่มีใจเมตตากรุณา ฟันธงได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนของพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าในชีวิต
เป็นเพียงคนที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ไม่มีองค์พระเยซูคริสต์ในชีวิต
ไม่ใช่คนของพระเจ้า แต่เป็นคนของโลก และเป็นคนของมาร
1ยน.5:19 เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย

1.3 ใจเมตตากรุณา เป็นใจของพระเยซู
เรามีใจของพระเยซูอยู่ในชีวิตหรือไม่ พระองค์ทรงอยู่ในใจของเราหรือไม่
คำถามนี้ ตอบได้ด้วยการกระทำของเราเอง ... ผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นก็มีใจของพระเยซู
หลายคนบอกว่ามีพระเยซูอยู่ในใจ แต่ไม่เคยกรุณาผู้ใด ผู้นั้นมิได้ถือว่ามีใจพระเยซู แต่มีใจผี มีใจมารอยู่ในตัว

ก. มธ.9:36 เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง...
ผลของใจกรุณา คือ มีความสงสาร
ใจของพระเยซูนั้น รู้สึกสงสาร เมื่อเห็นคนถูกรังควาน และเห็นคนไร้ที่พึ่ง
คนเจ็บ คนเป็นโรค คนป่วยไข้ คนไม่มีที่พึ่ง พระเจ้าไม่ได้สมน้ำหน้า แต่พระเจ้าทรงสงสาร
นี่คือ สวรรค์บนแผ่นดินโลก นี่คือ แผ่นดินของพระเจ้าที่อยู่ในโลก

ข. มธ.14:14 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย
พระเยซูทรงสงสารคนหมู่ใหญ่ ไม่เพียงแต่ทรงรักษาโรคพวกเขาเท่านั้น
แต่พระองค์ยังทรงกระทำการอัศจรรย์โดยการเลี้ยงคนจำนวนมากด้วยขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว
ถึงกระนั้นพระคัมภีร์ ก็ยังบันทึกว่า
“เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม” (มธ.18:20)
ความสงสารของพระเยซู ส่งผลให้พระองค์รักษาโรค และทำให้ผู้หิวได้อิ่ม
ความสงสารของเรา ต้องมีการแสดงออกอย่างพระองค์

ค. มธ.20:34 พระเยซูมีพระทัยสงสาร ก็ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขา ในทันใดนั้นตาของเขาก็เห็นได้ และเขาทั้งสองได้ติดตามพระองค์ไป
คนตาบอด ร้องให้พระองค์ทรงช่วย ยิ่งคนห้าม เขายิ่งร้องเสียงดัง
เมื่อพระเยซูได้ยินคำขอร้อง ก็ทรงสงสาร จึงรักษาเขาให้หายบอด
เราไม่มีอิทธิฤทธิ์ทำให้ใครหายบอดได้เหมือนพระเยซู แต่เราสามารถมีใจกรุณาอย่างพระองค์ได้


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ง. มธ.23:37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
พระเยซูนั้น ทรงมีพระทัยสงสาร แม้กระทั่งกับพวกที่ด่าพระองค์ ปองร้ายพระองค์
ใครทำร้ายพระเจ้า พระองค์มิได้ทรงสาปแช่ง เพราะการสาปแช่งนั้น เป็นวิชาของมาร เป็นเดรัจฉานวิชา
ใครทำสิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งนั้น ให้ร้ายผู้อื่น ตัวเองก็รับการร้าย แช่งด่าผู้อื่น ตัวเองก็รับการแช่งด่า
มีใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ก็รับความเมตตากรุณาตอบ พระเจ้าทรงพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว

จ. มก.1:40-42 คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลวิงวอนพระองค์ว่า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้ พระเยซูทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องคนนั้น ตรัสแก่เขาว่า เราพอใจแล้ว จงหายเถิด ในทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย และคนนั้นก็สะอาด
คนโรคเรื้อน ถือว่าเป็นมลทิน แต่ในขณะที่ทุกคนรังเกียจ พระเยซูกลับสงสาร
ขณะที่คนอื่นห่างไกล พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสรักษาเขา
นี่คือ ความกรุณาที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นการกระทำ

ฉ. ลก.7:13-15 เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสว่า อย่าร้องไห้ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้นเถิด คนที่ตายนั้นก็ลุกนั่งเริ่มพูดพระองค์จึงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา
พระเยซู ทรงเห็นหญิงม่ายที่สามีเสียชีวิต และลูกชายตาย พระองค์ก็ทรงสงสาร
หลายคนทำดีภายนอก แต่ไม่ได้มาจากใจดี มาจากใจเล่ห์เหลี่ยม ทำดีเอาหน้า
แต่พระเยซูทรงกระทำดี มาจากพระทัยที่ดีของพระองค์
เห็นคนทุกข์ แล้วมีความเมตตา เห็นคนถูกทอดทิ้ง แล้วมีใจกรุณา
คือ แก่นธรรมะที่แท้จริงของทุกศาสนา

ช. ยน.11:33-35 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเองศพเขาไปไว้ที่ไหน เขาทูลพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด พระเยซูทรงพระกันแสง
พระเยซู ทรงเมตตาต่อครอบครัวของลาซารัส พระองค์ทรงกันแสง
สอนเราเพิ่มเติมในข้อนี้ว่า “ความรู้สึกที่แสดงออก ไม่ได้มาจากความบาปหรือกิเลส แต่มาจากความรับผิดชอบ”
พระเยซู ทรงกริ้ว เมื่อเห็นคนเอาศาสนามาหากิน , พระเยซู ทรงกันแสง เมื่อคนที่พระองค์ทรงรักตาย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นบาป หากเกิดจากในบริสุทธิ์

2. คนที่มีใจกรุณา ผู้นั้นรับพระกรุณาตอบ ... เป็นกฎของสวรรค์
มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
คำว่า “บุคคลผู้ใด” คือ ไม่จำกัดว่าใคร ไม่จำกัดว่าเป็นลูกพระเจ้าเท่านั้น
ใครก็ตามที่มีใจเมตตา ผู้นั้นก็จะรับพระกรุณาตอบจากพระเจ้า เป็นกฎของสวรรค์ เป็นพลังจากพระเจ้า
ธัมมะที่บริสุทธิ์ ขลังที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ มีใจเมตตา
ถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง และปฏิบัติได้ด้วยใจ เราก็จะรับพระพรจากพระเจ้า

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สดด.19:7-9 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น
กฎหมายของพระเจ้า กฎของสวรรค์ รอบคอบ แน่นอน ไม่มีวันผิดพลาด
พระวจนะทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อไม่ผิดพลาด แต่เป็นจริงตามนั้น
เหมือนรหัสเอทีเอ็ม หรือพาสเวิร์ดต่างๆ ... ทำตามกฎ ทำตามเงื่อนไข ก็ได้รับพระพร
ดังนั้น เราจึงเห็นว่าบุคคลที่มีความเมตตา ได้ดีและเจริญทุกคน เพราะเป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้
เราสามารถโกหกคนทั้งโลกได้ แต่ไม่มีใครสามารถโกหกพระเจ้าได้
ดูคน อย่าดูที่เขาพูด แต่ให้ดูที่เขาทำ
ดูว่าพระเจ้าอวยพรเขาหรือไม่ นั่นแหละของจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ

ทุกครั้งที่เราทำดี เราสบายใจ เรามีความสุข
การทำดีที่ยิ่งใหญ่ คือ ช่วยเหลือผู้อ่อนแอให้เข้มแข็ง, ช่วยผู้ล้มให้ลุกขึ้น, ช่วยคนโง่ให้ฉลาด
พระเจ้าสัญญาเลยว่า ผู้นั้นจะเป็นสุข และรับพระกรุณาตอบจากพระเจ้า

2.1 สภษ.11:25 บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่งบุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ
รดน้ำให้กับผู้ที่มีความทุกข์ เราจะรับการรดน้ำจากพระเจ้า
อย่าทำดีกับคนที่ตอบแทนเราได้ อย่าทำดีเพื่อให้คนอื่นทำดีกับเรา
แต่เราต้องทำดี เพราะเรามีใจที่ดีอย่างพระเจ้า
“ใจกว้างขวาง” ไม่ได้หมายถึง ต้องมีมาก จึงจะให้ได้มาก
แต่สิ่งที่เรามี เราต้องให้ออกไป ช่วยคนลำบาก ช่วยคนมีความทุกข์ตามกำลังที่เราทำได้

2.2 สภษ.19:17 บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืมและพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา
ช่วยคนยากจน ก็เหมือนกับให้พระเจ้ายืม
เมื่อพระเจ้ายืม พระเจ้าต้องทรงใช้คืนแน่ และใช้คืนให้เราอย่างงามด้วย
คือ พระเจ้าจะตอบแทนเรา เกินกว่าที่เราขอหรือคิดได้
แต่ท่าทีของเราต้องถูกต้อง อย่าช่วยเหลือใคร เพราะหวังกำไรจากพระเจ้า
อย่าช่วยไปทวงบุญคุณไป ช่วยไปเสียดายไป ... ผลสุดท้าย เราจะไม่ได้อะไรเลย

2.3 สภษ.14:31 บุคคลผู้บีบบังคับคนยากจน ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่บุคคลที่เอ็นดูต่อคนขัดสนก็ถวายเกียรติแด่พระองค์
ผู้ที่มีใจเมตตา จะช่วยเหลือคนด้วยใจ
การทำบุญที่ยิ่งใหญ่และได้รับพระพรมากที่สุด คือ การทำบุญกับคน
ผู้นั้นย่อมได้รับพระพรจากพระเจ้า
แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า พระพรของพระเจ้า เหมือน “ไม้ยืนต้น” ไม่ใช่ “ไม้ล้มลุก” คือ ช้าๆ แต่ว่ามั่นคง

ศาสนาทั่วไปมักเน้นที่การไม่ทำร้าย แต่ทางของพระเจ้า ไม่เพียงไม่ทำร้ายเท่านั้น เรายังต้องทำดีอีกด้วย
ผู้ที่พระเจ้ารังเกียจ คือ ผู้ที่ดูดีภายนอก แต่ภายในนั้นดูไม่ได้เลย
ดูดี แต่ไม่เคยทำดี , ความชั่วไม่มี แต่ความดีไม่เคยปรากฏ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนเหล่านี้ยังไม่ใช่คนที่มีธัมมะที่บริสุทธิ์
(อ่าน มธ.23:13-19 พระเยซูคริสต์ต่อว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีในสมัยนั้น)

2.4 มือที่ให้สูงกว่ามือผู้รับเสมอ
เรายื่นของให้ผู้ใด มือของผู้รับอยู่ต่ำกว่ามือของผู้ให้เสมอ
เราให้ความช่วยเหลือไม่ได้หวังจะข่มใคร แต่เป็นหลักความจริงของชีวิต
สิ่งที่เราให้ได้ ไม่ได้มีแต่เงินทองเท่านั้น กำลังใจเราก็สามารถให้กันได้
อย่าให้มารหลอกเราได้ว่า เรายากจนมาก จนไม่สามารถที่จะให้อะไรแก่ใครได้
เงินไม่มี แต่เรามีปาก ... หัดพูดหนุนใจคน พูดให้กำลังใจคน หรือให้คำปรึกษาคนก็ได้

2คร.9:6-9 นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มากทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดีและพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วยตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
สดด.37:26 เขาแจกจ่ายอย่างกว้างขวางและให้ยืมเสมอ และลูกหลานของเขาก็เป็นคำพร
การหว่านมาก หว่านน้อยนั้น ไม่ได้หมายถึง ปริมาณ
พระเจ้าไม่ได้นับที่ “จำนวน” แต่นับที่ “ใจ” ของเรา
ให้ผู้อื่น ช่วยผู้อื่นด้วยใจยินดี ด้วยไม่ฝืนใจ ด้วยใจกว้างขวาง จะรับพระพรจากพระเจ้า
เราจะมีของดีอย่างไม่ขาดแคลน มีพอสำหรับตัวเอง และมีพอใจการช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

2.5 การให้เป็นเหตุให้มีความสุข มีพระพร
กจ.20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
การให้เป็นเหตุให้รับพระพร คำว่า “พระพร” นั้นมีความหมายมากกว่าคำว่า “ความสุข”
เราทุกคนมีบางสิ่งที่จะให้กับผู้อื่นเสมอ เช่น ให้อภัย ให้โอกาส ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้เวลา
และการให้ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราได้รับพระพร คือ การให้กับพระเจ้าและงานของพระองค์
บางคนโง่มาก ให้ได้ทุกคน ให้ได้ทุกสิ่ง ยกเว้นให้พระเจ้า
ถามว่า เวลาผีมากวนเรา รังควานเรา ใครช่วยเราได้นอกจากพระเจ้า
เวลาเราจะตกนรก ใครช่วยเราได้นอกจากพระเจ้า
เราต้องคิด และใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม และสมดุลในทุกเรื่อง

2.6 มือที่ช่วยเหลือผู้อื่น สวยงามกว่า มือที่สวดมนต์
ไม่ได้หมายถึง มือที่สวดมนต์ ไม่สวย ไม่ดี ... แต่จะสวยและดี เมื่อมือที่สวดมนต์นั้น ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
อย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงต่อว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสี
มธ.23:23 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ {คือ สิบชักหนึ่ง} ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรมความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

การถวายก็ดีแล้ว แต่จะขาดและละเลยความเมตตาไม่ได้ เพราะมันคือแก่นธัมมะที่สูงสุด
ยก.4:17 เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป
สำหรับพระเจ้านั้นมาตรฐานธัมมะต้องสูงมาก รู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ทำ ก็ถือว่าบาป
ดังนั้น สำหรับพระเจ้ามือที่ช่วยเหลือผู้อื่น (แม้จะลืมสวดมนต์) ย่อมสวยกว่ามือที่สวดมนต์ (แต่ไม่ได้ช่วยเหลือใคร)
2.7 บุคคลที่ก้มตัวลงอุ้มผู้ที่ล้มให้ลุกขึ้นได้ คือ คนที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง
การช่วยเหลือผู้อื่นให้ลุกขึ้นมาได้ คือ การเดินตามรอยพระบาทพระเจ้า
ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระเจ้ารักมนุษย์ทั้งโลก ยอมเสด็จลงมาจากสวรรค์ เพื่อช่วยเราให้รอด ด้วยใจเมตตา

ลก.10:33-35 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตาเข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า "จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้"
นี่เป็นอีกตัวอย่างของมนุษย์ธรรมดาที่ตั้งใจเดินตามพระเจ้า
หลายคนชื่อเสียงดีในโลก แต่ชื่อเสียต่อพระพักตร์พระเจ้า เช่น พวกฟาริสีธรรมาจารย์
เห็นคนเจ็บ ก็เดินผ่านเลยไป ไม่ให้การช่วยเหลือ เพราะเขาไม่มีความเมตตา
แต่ชาว “สะมาเรีย” ชื่อเสียต่อหน้ามนุษย์ แต่ชื่อเสียงดีต่อหน้าพระเจ้า
ชาวสะมาเรีย คือ ลูกผสมระหว่างยิวกับชาวต่างชาติ เป็นที่น่ารังเกียจของยิวในสมัยนั้น
เขามีใจเมตตาอย่างพระเจ้า ช่วยเหลือจนเจ็บจนถึงที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้

พระเจ้าจึงตรัสให้เราระมัดระวังในการดำเนินชีวิต หลายคนใหญ่ในโลกแต่เล็กในสวรรค์
หลายคนที่เป็นเบื้องต้น อาจจะกลายเป็นเบื้องปลายก็ได้
ดังนั้น เริ่มต้นอย่างไร มันไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร
คนที่มีธัมมะบริสุทธิ์อย่างพระเจ้า จะจบชีวิตลงอย่างสวยงามแน่

ก. มือที่ช่วยเหลือผู้อื่น ดำเนินชีวิตสมกับ 5 สถานภาพ
5 สถานภาพของผู้เชื่อ คือ เป็นบุตร เป็นทายาท เป็นเจ้าสาว เป็นพระกาย และเป็นสหายพระเจ้า
มือที่เราช่วยเหลือผู้อื่น คือ การทำหน้าที่เป็นพระกายที่ดีของพระเจ้า
มือเรา คือ พระหัตถ์พระเจ้าที่เหยียดไปช่วยเหลือผู้อื่น
อฟ.1:22-23 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน

ข. ความเมตตากรุณา เป็นความงดงามของชีวิต ดุจสายน้ำที่ให้ความเย็นและให้ชีวิต ดุจดอกไม้ที่ให้ความงามความชื่นบาน
ความเมตตากรุณา เป็นความงดงาม ไม่มีใครที่เห็นความเมตตาแล้วจะไม่มีความสุข
ความเมตตากรุณา เป็นทั้งสายน้ำ และดอกไม้ ให้ชีวิต ให้ความเย็น ให้ความชื่นบาน
ดีทั้งขณะที่อยู่ในชีวิตเรา และดีทั้งขณะที่ได้แจกจ่ายไปยังผู้อื่นด้วย

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 09 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

2.8 การให้ที่ยิ่งใหญ่
การให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เป็นการให้เงินทอง แต่เป็น ...

ก. ให้ความรู้ ให้ปัญญา ให้ความรับผิดชอบ
การให้อย่างนี้ จะช่วยเขาได้นิรันดร์ ...
เหมือนคำโบราณที่ว่า จับปลาให้เขา ช่วยเขาได้แค่หนึ่งมื้อ แต่สอนให้เขาจับปลา จะช่วยเขาได้ตลอดชีวิต

ให้ข้อคิด ให้สติปัญญา ให้ความรู้ ดีกว่าให้สิ่งของ เพราะสิ่งของมีวันหมด
แต่สติปัญญา ความรู้ ไม่มีหมด ยิ่งใช้ ยิ่งให้ ยิ่งได้เพิ่ม

ข. ให้งานพระเจ้า เช่น การถวายสิบลด การรับใช้พระเจ้า
เราทุกคนที่ให้พระเจ้า จะได้รับพระพรจากพระองค์แน่
แต่เงื่อนไข คือ เราต้องให้ด้วยความรัก ความผูกพัน ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผลตอบแทน

ค. ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง
บางครั้งเรามัวเมตตากับผู้อื่น จนลืมบุคคลที่สำคัญที่สุด คือ พ่อแม่
พระเจ้าสอนให้เราเป็นลูกกตัญญู ... เราต้องกตัญญูในบ้าน ดีกว่าไปวางเครื่องเซ่นที่หน้าหลุมศพ
อย่ารอให้ท่านจากไปแล้วค่อยเสียดายที่ไม่ได้ดูแล
เราต้องดูแลท่านให้ดีที่สุดขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือให้ความอบอุ่น

ง. ให้ความช่วยเหลือกับคนยากไร้
นี่เป็นธัมมะที่บริสุทธิ์ที่พระเจ้าปรารถนาจะได้รับจากเรา
ช่วยคนที่เขาไม่สามารถตอบแทนเราได้ ถือเป็นการช่วยเหลือจากใจเมตตาที่แท้จริงของเรา

2.9 สุดยอดสูงสุดในชีวิตคริสเตียน
มคา.6:8 มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำ ความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า
พระเจ้าสำแดงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์แล้ว คือ
ความยุติธรรม การรักสัจจะ การถ่อมใจ และการเดินเคียงคู่ไปกับพระเจ้า
โต๊ะต้องมี 4 ขา จึงจะมั่นคง ชีวิตของคนก็เช่นกัน จะมั่นคงได้ หนึ่งในสี่ขานั้น คือ ความเมตตากรุณา

ใจเมตตากรุณา ควรเป็นแก่นสารของชีวิตคริสเตียนทุกคน
คนที่ไม่มีใจเมตตากรุณา ผู้นั้น ถือว่าไม่มีพระเจ้า
ธัมมะใดๆ ที่เขามีอยู่ในชีวิต ก็ไม่ใช่สิ่งที่บริสุทธิ์ จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า

No comments:

Post a Comment