Monday, April 25, 2011

เรื่อง “ ศิลปะในการพัฒนาตนเอง ”


ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ศิลปะในการพัฒนาตนเอง ”

ฟป.3:12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ในเรื่องการพัฒนาตนเองนั้น ไม่มีใครถือว่าตัวเองทำได้สำเร็จแล้ว แม้สำเร็จมามาก แต่หนทางที่ยังต้องก้าวเดินต่อไปก็ยังมีอีกไกล ชีวิตคนต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด
คนจะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องฟลุค แต่เป็นเรื่องของการเตรียมตัว การเตรียมพร้อม ดำเนินชีวิตแต่ละวันโดยไม่ประมาท เก็บสะสมข้อมูล เรียนรู้ตลอดทั้งด้านพระคัมภีร์และความรู้ด้านอื่นๆ อย่าคิดว่าเรียนมามากแล้ว อย่าคิดว่าตนรู้มากแล้ว เพราะมีดจะคมได้นั้น ต้องลับอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของเราเช่นกัน จะแหลมคมและประสบความสำเร็จ ต้องมีการลับชีวิตเช่นกัน และเราสามารถลับชีวิตได้ผ่านการเรียนรู้ ผ่านการเตรียมตัว ผ่านการพัฒนาตนเอง

ศิลปะในการพัฒนาตนเอง
1. การพัฒนาตนเองเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะหากปราศจากการพัฒนา การปรับปรุง การแก้ไขหรือการเรียนรู้ เราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
หากอยากมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เราต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง
ถ้าไม่มีการพัฒนา ก็ไม่สามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายของชีวิตได้
การพัฒนานั้น นอกจากจะพัฒนาด้านความรู้แล้ว เรายังต้องพัฒนาแนวคิดด้วย
แนวคิดของคนจะพัฒนาได้ ต้องมีศิลปะ ต้องมีเทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วย
ดังนั้น เราต้องตื่นตัวเสมอ ต้องคิดตลอด คิดให้มาก เพื่อที่จะไม่ต้องคิดมากเมื่อเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง
หลายคนไม่คิดให้มาก บั้นปลายชีวิตเลยต้องมาคิดมาก กลุ้มใจ เพราะมีปัญหามาก
ที่มาของปัญหา คือ ขาดการพัฒนาตนเอง ขาดการพัฒนาความคิด ขาดการพัฒนาตนเอง

2. จะพัฒนาตนเองได้ ต้องค้นหาศักยภาพในตัวเองให้ได้
การทำงานทุกอย่างจำเป็นต้องอาศัยความมั่นใจ
ถ้าไม่มีความมั่นใจทำอะไรก็ไม่ผ่าน ทำไปก็ไม่สบายใจ ทำไปก็หวั่นไหว
การพัฒนาตนเองก็เช่นกัน จำเป็นต้องมีความมั่นใจ จำเป็นต้องมีกำลังใจ
และสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ หากเราสามารถค้นหาศักยภาพภายในตัวเองได้

2.1 ศักยภาพของคนก็เหมือนเครื่องยนต์
เครื่องยนต์บางอย่างถูกสร้างมาให้มีศักยภาพสูง แต่เรานำมาใช้ต่ำกว่าศักยภาพ
ขีดจำกัดของเครื่องยนต์มีสูง แต่เราวิ่งต่ำกว่าขีดจำกัด ถ้าขืนวิ่งไปอย่างนี้เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่เต็มสปีด ไม่เต็มที่
ผลที่ได้รับ คือ เครื่องยนต์นั้นเสื่อมไป
ศักยภาพของคน สมองของคนก็เช่นกัน พระเจ้าสร้างให้มีศักยภาพสูง แต่เราใช้มันต่ำกว่าศักยภาพ
ผลคือ สมองเลื่อม ขาดความกระตือรือร้น ขาดความเจริญ
ดังนั้น อยากพัฒนาตนเอง ต้องค้นหาศักยภาพของตัวเองให้เจอและเมื่อเจอแล้ว ต้องใช้มันอย่างเต็มที่
สิ่งที่คนกับเครื่องยนต์เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ หากขาดการใช้งาน ขาดการฝึกฝน
พลังงานจะค่อยๆ ลดลง และตายลงไปในที่สุด
ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเป็นอย่างนี้ วิธีการทำให้เครื่องยนต์และสมองมีสภาพดีอยู่เสมอ คือ ต้องใช้เรื่อยๆ ใช้บ่อยๆ

2.2 การไม่ใช้สมองบ่อยๆ หรือไม่พัฒนาตัวเองโดยทำงานให้ยากขึ้น ความมั่นใจของเราจะเปราะบางลง
การใช้สมองบ่อยๆ อย่างเดียวไม่พอ แต่เราต้องฝึกที่จะทำอะไรที่ยากขึ้นด้วย
ไม่อย่างนั้น ความมั่นใจที่มีอยู่ในตัวเราจะค่อยๆ ลดลงหรือเปราะบางลงไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างของการคิดและทำงานให้ยากขึ้น มีดังนี้
(1) ขีดเส้นธรรมดาสองเส้น บนพื้นดิน แล้วกระโดดข้ามมันให้ได้
(2) ถ้าเส้นในข้อหนึ่ง เราขีดไว้กว้าง 2 เมตร คราวนี้เริ่มให้ยากหน่อย จากขีดเส้นบนพื้นดินธรรมดา
เปลี่ยนมาเป็นกระโดดข้ามสระ 2 เมตร (ระยะเท่าเดิม แต่เพิ่มสระน้ำตรงกลางมาขวาง)
สระน้ำตรงกลางที่เกิดขึ้น จะทำให้ความมั่นใจเราลดลงทั้งๆ ที่เราเคยข้ามได้ง่ายๆ จากข้อ (1)
ดังนั้น เราจะข้ามมันไปได้ ต้องเอาชนะความรู้สึกให้ได้
(3) ถ้าผ่านข้อ (2) แล้วลองทำให้ยากขึ้น โดยในสระน้ำนั้นมีจระเข้อยู่ด้วย
เปอร์เซ็นต์ของการข้ามพ้นจะยิ่งต่ำลง เมื่อมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น
(4) ลองเปลี่ยนจากบ่อน้ำที่มีสระเข้ กลายเป็นตึกสูง 20 ชั้น แต่ระยะห่างเท่าเดิม คือ 2 เมตร
ความรู้สึกของคนเราจะเปลี่ยนไป ความมั่นใจจะยิ่งลดลง เมื่อมีอุปสรรคมากขึ้น
จากเส้นธรรมดาที่เราข้ามได้ง่ายๆ เมื่อมีอุปสรรคก็ยังพอข้ามได้บ้าง แต่เมื่ออุปสรรคมากขึ้นเราข้ามไม่ได้เลย
ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความมั่นใจ

ดังนั้น เราต้องฝึกฝนบ่อยๆ เผชิญหน้ากับปัญหาบ่อยๆ จะทำให้เรามีกำลังใจ มีความมั่นใจ และมีความกล้ามากขึ้น
อย่าให้อิทธิพลหรือสิ่งแวดล้อมมาทำลายศักยภาพของเรา
แต่ลำพังความมั่นใจอย่างเดียวไม่พอ เราต้องพัฒนาศักยภาพด้วย
ที่จริงเราทุกคนมีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด ลองนึกถึงภาพของการฝึกร้อยเมตรธรรมดา กับการวิ่งหนีเสือ สปีดย่อมต่างกัน
งานที่ยาก สภาพแวดล้อมที่กดดัน มันผลักดันให้เราใช้ศักยภาพ
จำไว้เสมอว่า “ความลำบากสร้างชีวิต” “ความสบายทำลายชีวิต”
ความลำบากนั้น ตอนที่ต้องเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย แต่มันจะสร้างชีวิตเรา
การยอมฝึกฝน กล้าฝ่าฟัน ทำงานยากลำบากมากขึ้น จะฝึกความรู้สึกของเรา
ความลำบากนั้นจะฝึกความเชื่อมั่นให้เรารู้สึกว่าเราจะผ่านมันไปได้
เหตุผลที่ชาวยิวเจริญรุ่งเรือง เป็นแนวหน้าของโลก ก็เพราะพวกเขาผ่านความยากลำบากกันมาก
ถูกรังเกียจ ถูกข่มเหง เห็นความตายอยู่ตรงหน้าจนชาชิน ไม่รู้จะต้องกลัวอะไรอีก
ทางเดียวที่ทำให้เขารอดได้ คือ ต้องสู้ ... นี่คือการพัฒนาศักยภาพความกล้าในตัวเอง

2.3 จุดที่ยากที่สุดที่เราจะข้ามผ่านความทุกข์และปัญหา คือ การเปลี่ยนแปลงความคิด
เราจะผ่านพ้นความทุกข์และปัญหาได้ เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลงความคิด ซึ่งถือเป็นจุดที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์
เปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ถ้าเราเปลี่ยนได้ ชีวิตเราก็เปลี่ยน
เคยคิดว่าเกิดมามีกรรม ก็ต้องรับกรรมกันต่อไป เกิดมาจน ต้องจนต่อไป เกิดมาแพ้ ต้องแพ้ต่อไป
เปลี่ยนไปคิดว่า ยิ่งยาก ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งยาก ยิ่งท้าทาย
ท้าทายทั้งความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และท้าทายศักยภาพของตัวเอง

ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนที่ลำบากมาก่อนเท่านั้น จึงจะเห็นคุณค่าของเงิน และเมื่อเขาผ่านมาได้ เขาจะไม่ยอมทุกข์เพราะเงินหรือวัตถุอีกต่อไป
หรือ บางคนถูกตำหนิเล็กๆ น้อยๆ ก็ทนไม่ได้
ก็ต้องเปลี่ยนไปคิดว่า ถ้าถูกตำหนิมากแล้วเราทนได้ ก็ไม่ต้องคำนึงถึงการถูกตำหนิเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป

ในทางของพระเจ้านั้น เราจำเป็นต้องอาศัยทั้ง “ความเชื่อ” และ “การเชื่อฟัง” ด้วย
พระเจ้าสอนสอนอะไร ให้เรานำมาปฏิบัติ นำมาทำตาม แล้วจะรับพระพร
สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าสอนเสมอ คือ เรื่องของการกลับใจใหม่ ... เรื่องใจ เป็นเรื่องสำคัญมาก
มธ.3:2 จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว
การกลับใจใหม่ คือ การเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ เปลี่ยนจิตใจใหม่
ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง เราก็จะไม่สามารถพบสวรรค์และความสุขในโลกนี้ได้

3. เทคนิคในการสร้างความมั่นใจ
3.1 ต้องเชื่อว่าเราทำได้
ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
สิ่งที่ผู้เชื่อได้เปรียบกว่าผู้อื่น คือ เรามีพระเจ้า
อะไรที่เราจำกัด เราพึ่งพาความไม่จำกัดของพระเจ้า อะไรที่เราทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้
ดังนั้น เราต้องมีความเชื่อมั่นทั้งเชื่อมั่นใจตัวเองและเชื่อมั่นในพระเจ้า ... เราสามารถทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์

3.2 เราต้องฝึกกำหนดจิตไปที่เป้าหมาย
เราคงเคยได้ยินคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
จิตใจของคน สามารถกำหนดร่างกายของคนได้
เทคนิคในการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง คือ ต้องฝึกจิตไปที่เป้าหมาย
ถ้าเรานำจิตไปที่เป้าหมายได้ เราก็จะสามารถพากายของเราข้ามไปได้ด้วย
เมื่อเรามีปัญหาอะไร จำไว้ว่า “ความเชื่อ คือ ความมีชัยของเรา”
เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ เห็นภาพล่วงหน้าว่าเราผ่านปัญหาได้ เห็นภาพล่วงหน้าว่าเราได้รับชัยชนะ
เช่น คนป่วย รับการอธิษฐานแล้ว รักษาจากแพทย์แล้ว ต้องเห็นภาพว่าตัวเองมีสุขภาพดี
นั่นแหละ คือ วิธีกำหนดจิตไปที่เป้าหมาย เป็นวิธีแห่งความเชื่อของคริสเตียนนั่นเอง

ยก.1:6-7 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ทุกคนล้วนมีความสงสัย แต่พระเจ้าสอนเราว่าอธิษฐานแล้วอย่าสงสัย เพราะความสงสัยจะทำให้เราไม่ได้รับในสิ่งที่ควรจะได้
ดังนั้น เราต้องฝึกฝนความเชื่อ และต้องขอความเชื่อที่เหนือธรรมชาติจากพระเจ้า
ฮบ.11:6 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ เราสำเร็จได้ เราเอาชนะปัญหาได้
แล้วเราจะเป็นไปตามที่เราเชื่อนั่นแหละ


ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.3 เราต้องรู้จักปิดการรับรู้สิ่งแวดล้อม
เราจะก้าวพ้นปัญหาด้วยความมั่นใจได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีสมาธิ และสมาธิจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราปิดการรับรู้สิ่งแวดล้อม
มีตัวอย่างหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับกบ ดังนี้
ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ได้มาจัดการแข่งขันเพื่อจะกระโดดให้ถึงปากหลุม
มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้
เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น ไม่มีชนชาวกบตัวใด จะเชื่อว่ากบตัวเล็กๆ เหล่านี้จะกระโดดขึ้นไปจนถึงปากหลุมได้
มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า "เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงปากหลุมหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น"
หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก หลุมมันลึกขนาดนั้น"
เจ้ากบตัวน้อย ๆ เหล่านี้ ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัว ๆ ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังกระโดดอย่างมุ่งมั่นอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น
และสูงขึ้น ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก" กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้
แต่มีกบตัวหนึ่งที่ยังตั้งหน้าตั้งตากระโดดสูงขึ้น สูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้
เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่น ๆ ต่างยอมแพ้ที่จะกระโดดสู่ปากหลุมจนหมดสิ้น ยกเว้นกบตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันก็สามารถกระโดดขึ้นสู่ปากหลุมได้ กบทุก ๆ ตัวอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ ตัวนี้ทำได้อย่างไร
กบคู่แข่งขันต่างอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ ตัวนี้มีพลังกระโดดขึ้นสู่ปากหลุมอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร
เรื่องกลับกลายเป็นว่า ... กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!
เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบจากคนอื่น
เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาในหัวใจคุณออกไป ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ
เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน และได้อ่านมัน จะส่งผลต่อการกระทำของคุณ
เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาขอให้เป็นคนคิดบวกและเหนือจากนั้น
จงทำ เป็นหูหนวกต่อคำพูดที่บอกว่า คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ให้คิดเสมอว่า คุณสามารถทำได้

3.4 ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทำให้เต็มศักยภาพ ทำให้สุดกำลัง
มธ.22:37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
พระเจ้าสอนเราว่าถ้าจะรักพระเจ้า ต้องรักให้สุด คือ สุดใจ สุดจิต สุดความคิด
เรื่องนี้ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนได้เช่นกัน จะทำอะไรก็ตาม
พระเจ้าต้องการให้เราทำให้สุดกำลัง ทำให้เต็มศักยภาพ ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ถือว่าเราได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว และเราไม่ต้องเสียใจอะไรอีกกับการกระทำของเรา

3.5 การพัฒนาความมั่นใจ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้ หากเราสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองได้
ตัวอย่างในชีวิตจริงมีมากมาย เช่น ไฟไหม้ ทำให้เราสามารถยกของหนักออกจากบ้านได้ เพราะความเสียดาย
ผู้เล่นการพนัน สามารถวิ่งหนีตำรวจได้อย่างไม่คิดชีวิต เพราะต้องการให้ตัวเองรอดพ้นจากถูกจับ เป็นต้น
ถ้าเรามีแรงจูงใจที่ถูกต้อง เราจะสามารถพัฒนาความมั่นใจให้กับตัวเองได้
รู้จักอดออม จะไม่อดตาย ... เช่น อดไว้ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย อดไว้ไม่อวด ก็จะไม่จน
ถ้าเราไม่อดออม เราจะอดตายและพบกับความขาดแคลนเสมอ
ดังนั้น อยากมีกำลังใจ ต้องสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้องให้กับชีวิตของตนเอง

3.6 เราต้องส่องกระจกรอบด้าน
ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ศิลปะในการพัฒนาชีวิตที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การมีกระจกไว้ส่องรอบด้าน
เรามักจะมองไม่เห็นความผิดพลาดและข้อบกพร่องของตัวเอง แต่กระจกที่อยู่รอบตัวเราจะสะท้อนสิ่งนั้นให้กับเราได้
กระจกรอบด้าน คือ ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง
(1) กระจกด้านหน้า
คือ การแสวงหาข้อมูลและความรู้ใหม่ๆ เสมอ
เป็นคนที่มีหัวก้าวหน้า ไม่ใช่หัวล้าหลัง ... ต้องคิดเสมอว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ และต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ความรู้และข้อมูลใหม่ๆ สำคัญมากสำหรับการพัฒนาตนเองไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จ
อย่าคิดว่าตัวรู้มากแล้ว แต่ต้องเปิดรับความรู้ใหม่เรื่อยๆ
1คร.8:2 ถ้าผู้ใดถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้
ทุกความรู้ที่เรารู้เพิ่มขึ้น จะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่งเสมอ
(2) กระจกด้านข้าง
คือ คนข้างๆ เราเขาพูดและวิจารณ์เราอย่างไร ให้รับฟัง นำมาเป็นข้อมูล
คนที่จะพัฒนาได้ ต้องพร้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น ... เขาพูดถึงอย่างไรให้เราขอบคุณ
ถ้าพูดในทางไม่ดี และเป็นเรื่องจริง เราต้องยอมรับนำมาแก้ไขปรับปรุงตัวเอง
แต่ถ้าพูดในทางไม่ดี ไม่มีสาระและไม่ใช่ความจริง ก็ไม่ต้องสนใจ
ถ้าไม่เป็นความจริง แต่ถือเป็นสาระสำคัญ เราก็ต้องชี้แจง ป้องกันความเข้าใจผิด
ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า เราต้องฟังทุกเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกเสียง
การไม่ฟังใครเลย ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จน้อยลง
(3) กระจกด้านหลัง
คือ การทบทวนและประเมินตัวเองตลอดเวลา
วิธีที่ดีที่สุด คือ จดบันทึก สิ่งที่เราทำ แล้วดูว่าผลเป็นอย่างไร

ชีวิตเราจะพัฒนา เร็วหรือช้า มากหรือน้อย มันขึ้นกับกระจกที่เราส่องว่ารอบด้านหรือไม่?
เราส่องด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปหรือไม่ ส่องด้านใดด้านหนึ่งน้อยเกินไปหรือไม่
เราส่องกระจกอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ... ทุกอย่างมีผลกระทบต่อการพัฒนาชีวิตของเราทั้งสิ้น
สุดท้าย เมื่อเรามองกระจกด้านใดด้านหนึ่งแล้ว อย่าเชื่อผลที่สะท้อนจากกระจกเพียงด้านเดียว
แต่ต้องเชื่อผลสะท้อนจากทุกด้าน
มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนรอบคอบ รอบด้าน

ถ้าเราสามารถทำได้ตามคำแนะนำบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้ เชื่อแน่ว่าเราจะสามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า
แม้จะไม่สำเร็จทั้งหมด แต่เราจะสำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอน

No comments:

Post a Comment