Monday, April 25, 2011

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด


หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

“หลักคิด เกี่ยวกับ ความคิด 10 ประการ”

“หลักคิด” เกี่ยวกับ “ความคิด” 10 ประการ
“ความคิด” เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ เพราะความคิด กำหนดชีวิต
คนเป็นอย่างที่เขาคิด ... คิดอย่างไร ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างนั้น
สำหรับลูกพระเจ้า ควรมีหลักคิดเกี่ยวกับความคิดดังนี้

1. ตระหนักว่า “ความคิดของคนไม่เท่ากัน”
หลักคิดประการแรกเกี่ยวกับความคิด คือ ต้องตระหนักว่าความคิดของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ความกว้าง ความลึก ความไกลของความคิดคนไม่เท่ากัน
และก่อนที่จะรู้ระดับความคิดของคนอื่น เราต้องรู้จักระดับความคิดของตนเองเสียก่อน
มธ.13:8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
พระวจนะตอนนี้อธิบายให้เราเห็นภาพความแตกต่างของการเกิดผลในแต่ละคน
สามารถมาประยุกต์ใช้เกี่ยวกับความคิดได้เช่นกัน บางคนคิดได้แค่ 30 บางคนคิดได้ 60 บางคนคิดได้ 100
เหมือนการเรียนในชั้นเรียนทุกระดับ เรียนเรื่องเดียวกัน แต่ระดับคะแนนที่ได้แตกต่างกันตามความคิด
แม้ในการคิดได้ 30 หรือ 60 หรือ 100 เหมือนกัน ก็ยังมีความแตกต่างในรายละเอียด
การเก่งในบางเรื่อง อย่าเหมารวมว่าเราจะเก่งได้ทุกเรื่อง
ในทำนองเดียวกัน การไม่เก่งในบางเรื่อง อย่าคิดว่าเราจะไม่เก่งทุกเรื่อง
บางคนเก่งงาน แต่ไม่เก่งเรียน บางคนเก่งเรียน แต่ไม่เก่งคน ... ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
สำคัญที่เราต้องรู้กำลังความคิดของตัวเอง
“บุคคลใดไม่รู้ตน บุคคลนั้นไม่ใช่ปราชญ์” เพราะปราชญ์จะรู้กำลังของตน

อฟ.3:18-19 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
พระคัมภีร์พูดถึงความรัก แต่เราสามารถประยุกต์ใช้เรื่องความคิดได้
ความกว้าง ความลึก ความละเอียดในความคิดแต่ละคนไม่เท่ากัน
บางคนลึกบางเรื่อง แค่แคบในบางเรื่อง กว้างบางเรื่อง แต่ตื้นบางเรื่อง เป็นธรรมดา
มนุษย์ทุกคนล้วนมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย แต่เราต้องค้นหาตัวเองและค้นหาผู้อื่นให้เจอ
เราต้องกล้าที่จะลืมตา ยอมรับความเป็นจริง แล้วเราจะเป็นปราชญ์และสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้
แต่คนที่หลับตา ไม่ยอมรับความจริง คนนั้นเป็นคนโง่

การยอมรับและเข้าใจเรื่องความแตกต่างในความคิด ตระหนักว่าความคิดคนไม่เท่ากัน
จะทำให้เราไม่ดูถูกหรือดูหมิ่นผู้อื่น ขณะเดียวกันก็ไม่เย่อหยิ่งคิดว่าตัวเองเก่งเกินไปด้วย
เราเรียนเก่ง อย่าคิดว่าจะเก่งทุกเรื่อง เพราะว่าชีวิตจริงกับตำราเรียนต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกกว้างจะทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เรารู้นั้นเล็กน้อยเหลือเกิน โลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายให้เราเรียนรู้
นอกจากนี้ ความเข้าใจโลก ยังทำให้เราสงบได้มากขึ้น ไม่โทษฟ้า ไม่โทษดิน ไม่โทษผี ไม่โทษพระเจ้า
พันธุกรรมของแต่ละคนต่างกัน เราต้องยอมรับ และพัฒนาส่วนที่เรามีให้ดีที่สุดเกิดผลที่สุด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

2. ตระหนักว่า “การเติบโตของแต่ละคนไม่เท่ากัน”
ไม่เพียงความคิดของแต่ละคนไม่เท่ากันเท่านั้น การเติบโตของแต่ละคนยังไม่เท่ากันด้วย
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือดวงดาวบางดวงก็ยังมีอีกดวงดาวอีกดวงเสมอ
หลักคิดของเรา คือ ต้องตระหนักว่าการเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ การมีวุฒิภาวะของแต่ละคนต่างกัน
อฟ.4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
ระดับการเติบโต 3 ขั้นสำหรับคนของพระเจ้า คือ
1) โต 2) โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ 3) โตเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
นี่คือลักษณะการเติบโตที่แตกต่างกันของแต่ละคน ... บางคนรู้ว่าตัวเองยังไม่โต บางคนรู้ว่าตนเองโตในระดับหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเราเห็นผู้ใหญ่ด้านอายุหรือด้านตำแหน่ง อย่าคิดว่าทุกคนจะเติบโตหรือเก่งเหมือนกันหมด
นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง จะเอามาเทียบกับอีกประเทศหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นคนละคนกัน
ศิษยาภิบาลก็เช่นเดียวกันแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเอามาเทียบกันไม่ได้
คนเราจะเหมือนกันหมดไม่ได้ เพราะความเติบโตต่างกัน แต่ที่เหมือนกัน คือ เราทุกคนต้องเติบโตก้าวหน้าไม่มีสิ้นสุด
ถ้าเราเข้าใจความแตกต่างในการเติบโตนี้ เราจะอยู่ได้อย่างสงบและปราศจากการวิจารณ์
แต่จะเอาใจช่วยให้ทุกคนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในพระเจ้า
ใครที่บอกว่าตัวเองถึงที่สุดแล้ว คนๆ นั้นจะหยุดเติบโต เมื่อหยุดเดิน หยุดก้าว ก็หยุดก้าวหน้า และหยุดก้าวไกล

ฟป.3:12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
เปาโลได้เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ท่านมาไกลมาก เกิดผลมาก เติบโตมาก แต่ยังบากบั่นมุ่งไปเสมอ
จำไว้ว่าการขึ้นที่สูง เราต้องบากบั่น แต่การลงที่ต่ำไม่ต้องทำอะไรเลย ลื่นไหลลงได้ทันที
เมื่อใดที่เราหยุดคิด หยุดเรียน หยุดทำ เรากำลังเดินถอยหลังเมื่อนั้น
แต่การมุ่งมั่น ไม่หยุด ทำอย่างต่อเนื่อง แม้เราจะก้าวหน้าได้ทีละขึ้น แต่เราจะสูงขึ้นทุกวัน
คนที่เป็นผู้ใหญ่ในระดับใด หรือเติบโตในระดับใด เขาก็จะรู้ตัวเอง
1คร.14:32 วิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ
ผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่จะรู้ว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร และเราควรให้เกียรติหรือตามใคร
รม.13:7 ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ ... ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ
หลักการของพระเจ้า สอนให้เราให้เกียรติทุกคนอย่างเหมาะสม เต็มที่ตามที่เขาควรจะได้รับ
การให้เกียรติอย่างเหมาะสมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการคนด้วย
เราจะตามใคร คนๆ นั้นต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องเติบโต และต้องนำเราได้
สภษ.10:13-14 ที่ริมฝีปากของผู้ที่มีความเข้าใจจะพบปัญญาแต่ไม้เรียวก็เหมาะสำหรับหลังของผู้ที่ขาดสามัญสำนึก ปราชญ์ก็ส่ำสมความรู้ไว้ แต่ปากของคนโง่นำความย่อยยับมาใกล้
สภษ.10:31 ปากของคนชอบธรรมนำปัญญาออกมา แต่ลิ้นของคนตลบตะแลงจะถูกตัดออก
คำว่าผู้ใหญ่ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ยศ ตำแหน่งหรืออายุ แต่เป็นวุฒิภาวะ ความเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ผู้ที่เป็นปราชญ์ จะไหลถ้อยคำที่มีสติปัญญาออกมา ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ก็จะมีผลงานอย่างผู้ใหญ่ออกมารองรับชีวิต


หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บทสรุปของความเป็นผู้ใหญ่
เราจะรู้อย่างไรว่าใครเป็นผู้ใหญ่ระดับไหน ไม่ใช่ดูที่ใบปริญญาหรือตำแหน่งการงาน
แต่ดูที่ผลงานของคนๆ นั้น ว่า “เขาสามารถเพิ่มเติมอะไรให้เราเราได้บ้าง?”
กท.2:6 และจากพวกเหล่านั้นที่เขาถือว่าเป็นคนสำคัญ (เขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตาม ก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับข้าพเจ้าเลย พระเจ้ามิได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด)คนเหล่านั้นซึ่งเขาถือว่าเป็นคนสำคัญ ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ข้าพเจ้าเลย
เขาให้ข้อคิดเพิ่มเติมเราได้หรือไม่ ให้ความรู้เพิ่มเติมแก่เราได้หรือไม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่เราได้หรือไม่
ถ้าเขาไม่สามารถเติมอะไรให้กับเราได้ เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา

3. ตระหนักว่า “ทุกคนจะมีขนาดของตัวเอง”
ความคิด การเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ของแต่ละคนต่างกัน ... ทุกคนมีขนาดของตัวเอง
แมวตัวที่ใหญ่ที่สุด ก็ไม่เท่าสุนัขๆ ตัวที่ใหญ่ที่สุด ก็ไม่เท่าม้า เป็นต้น
รม.12:3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
พระเจ้าจึงสอนไม่ให้เราคิดอะไรเกินตัว แต่ให้คิดเหมาะสมกับขนาดของตัวเอง
ถ้าเราคิดได้ ชีวิตของเราก็สงบได้ สำคัญที่เราต้องรู้ขนาดของตัวเอง
ทั้งขนาดความคิด ขนาดการเติบโต ขนาดของการเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์

แม้ขนาดของเราแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่พระวจนะของพระเจ้าก็เป็นบรรทัดฐานสำหรับมนุษย์ทุกคน
ในมนุษย์คนหนึ่งเขาจะเป็นได้ เก่งได้ไม่เกิน 5 อย่าง แต่จะมีความเก่งและถนัดที่สุดอย่างน้อย 3 อย่าง ดังนี้
อฟ.4:11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
ของประทาน 5 อย่างจากพระเจ้า มนุษย์ทุกคนเก่งได้ไม่เกินกว่านี้
ไม่มีใครเป็นทุกสิ่ง เราทุกคนเป็นแค่บางสิ่ง ... พระเจ้าเท่านั้นเป็นทุกสิ่ง
บางคนทำงานสารพัด แต่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง เพราะมนุษย์มีความจำกัด
แต่ตระหนักไว้เลยว่า เราเก่งอย่างน้อย 3 อย่าง
1ทธ.2:7 และสำหรับการนี้ข้าพเจ้าจึงได้ถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดจริงไม่ปดเลย) และเป็นครูสอนความเชื่อและความจริงแก่คนต่างชาติ
ที่จริงเปาโล เป็นคนที่มีความเก่งในหลายเรื่อง แต่ความเก่ง 3 อย่างที่เป็นตัวตนของท่าน คือ
1) เป็นผู้ประกาศ 2) เป็นอัครทูต 3) เป็นครูสอนความเชื่อ
เราทุกคนก็มีความเก่งอย่างน้อย 3 อย่างในตัวเช่นกัน แต่เราต้องค้นหามันให้เจอ
คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แค่เก่งอย่างน้อยสามเรื่องในชีวิต ก็สามารถหาช่องทางในการประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
การตระหนักถึงหลักคิดในข้อนี้ได้ จะทำให้เราไม่อิจฉาเมื่อเห็นใครได้ดีกว่า
แต่ตรงกันข้าม เราจะยินดีด้วย จำไว้ว่า เราทุกคนเก่งในแบบของเราเอง

4. ตระหนักว่า “การดลใจจากพระเจ้ามาถึงทุกคนไม่เท่ากัน”
บุคคลที่รับการดลใจจากพระเจ้ามากที่สุดคนหนึ่งของโลก คือ อัครทูตเปาโล
พระเจ้าดลใจให้ท่านเขียนพระคัมภีร์มากที่สุด ถ้าไม่ได้รับการดลใจ มนุษย์ไม่สามารถเขียนขึ้นเองได้

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

2ทธ.3:16-17 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและการสำแดงจากพระองค์มากมายให้เปาโล
ท่านบุกเบิกก่อตั้งคริสตจักรจำนวนมาก และถูกพาไปสวรรค์ทั้งเป็น
แต่เมื่อท่านรับการสำแดงจากพระเจ้ามาก พระองค์ก็ต้องมีวิธีไม่ให้ท่านยกตัวจนเกินไป
2คร.12:7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
การที่เราไม่ได้รับการดลใจมากอย่างอัครทูตเปาโล ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ที่ใช้การไม่ได้
เพราะเราต้องตระหนักว่า การดลใจจากพระเจ้ามาถึงทุกคนแตกต่างกัน
ใครจะรับการดลใจมากหรือน้อย ขึ้นกับความเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณของผู้นั้นมากหรือน้อยเพียงใด
อัครทูตเปาโล ได้รับการดลใจจากพระเจ้ามาก เพราะความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของท่านมากกว่าผู้อื่น
ในโลกฝ่ายวิญญาณก็ไม่ต่างจากโลกของการเรียน ความตื้น ลึก หนา บางของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เรียนมาด้วยกัน บางคนสอบตก บางคนสอบผ่าน บางคนฉลาดสุดๆ ก็มี ขึ้นกับความเข้าใจของแต่ละคน
การที่พระเจ้าสำแดงกับแต่ละคนไม่เท่ากัน และไม่สำแดงทุกเรื่องกับใครคนใดคนหนึ่ง
ก็เพื่อให้เราตระหนักว่า “เราทุกคนเป็นแค่บางสิ่ง” พระเจ้าเท่านั้น เป็นทุกสิ่ง
และเราจะเป็นทุกสิ่งได้ ก็ต่อเมื่อเรารวมตัวกันเท่านั้น

5. แม้ขนาดความคิดต่างกัน การเติบโตต่างกัน ขนาดต่างกัน การดลใจต่างกัน
แต่ทุกคนสามารอธิษฐานขอให้คิดได้มากขึ้น เติบโตได้มากขึ้น
แม้หลายสิ่งเราจะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เรามีเหมือนกัน คือ เราสามารถอธิษฐานขอจากพระเจ้าได้
ขอให้พระเจ้าขยายขอบเขตของความคิด ขอบเขตของการเติบโต ขอบเขตของความเข้าใจให้มากขึ้น
บทบาทสำคัญอย่างหนึ่งของผู้นำ คือ การยกระดับบุคลิกภาพและความสามารถของทีมงานให้สูงกว่าธรรมชาติที่เขามีอยู่
เหมือนช่างแต่งหน้ามืออาชีพ สามารถแต่งหน้าคนให้อ่อนหรือแก่ลงได้
พระเจ้าสามารถยกระดับเราได้ ถ้าเราอธิษฐานและยอมจำนนต่อพระองค์

ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่าคิดว่าแก้ไขไม่ได้ ทุกปัญหาเป็นครูในการปรับบุคลิกภาพของตัวเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นแรงกระตุ้นให้สมองของเราทำงาน
เราต้องยกระดับความรู้ ความเข้าใจ การรับรู้ สติปัญญาให้มากขึ้นทุกวันผ่านสถานการณ์ต่างๆ
อฟ.1:17-18 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
ตาใจของเราต้องสว่างขึ้น ตาใจนั้น คือ สมอง คือ การหยั่งรู้
เราสามารถอธิษฐานขอจากพระเจ้าได้ และเราสามารถพัฒนาตัวเองได้ผ่านการอ่านหนังสือและการเรียนรู้

มธ.13:31-32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้" พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด"
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ธรรมชาติของลูกพระเจ้า คือ ความเป็นพิเศษ
ต้นไม้ของพระเจ้า เริ่มต้นจากเมล็ดเล็กๆ และค่อยๆ เติบโต จนกระทั่งกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตกว่าต้นอื่นๆ
โตจนกระทั่ง แม้นกกายังต้องมาอาศัย นี่คือขบวนการเติบโตของลูกพระเจ้า
เราทุกคนสามารถเติบโตได้ ถ้าเราอยู่ในขบวนการของพระองค์

ข้อคิดเพื่อการพัฒนาความคิดและเพื่อการเติบโต คือ ต้องทำงานที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
การแข่งขันจะก่อให้เกิดการพัฒนา ถ้าไม่มีคู่แข่ง ไม่กล้าทำงานยากขึ้น ก็ยากที่จะเติบโตและพัฒนา
สมองมนุษย์ถูกสร้างจากพระเจ้า แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้มันเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ลองคิดง่ายๆ ว่าระหว่างวิ่งธรรมดา กับ วิ่งหนีเสือ ... เราจะวิ่งอย่างใดเร็วกว่ากัน
ที่จริงศักยภาพและความสามารถในตัวมนุษย์มีมาก แต่มนุษย์นำออกมาใช้น้อย เพราะไม่มีแรงกระตุ้น
ดังนั้น เราควรบังคับตัวเองให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นจะมีสถานการณ์บางอย่างบังคับเราเอง
เช่น ไม่ขยัน ก็อาจจะตกงาน, ไม่อ่านหนังสือสอบ ก็อาจจะสอบตก เป็นต้น

6. ต้องมีศิลปะในการนำความคิด ความฝัน นำจินตนาการ นำเป้าหมายที่มีอยู่ มาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริง
ความคิด ความฝัน จินตนาการและเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราต้องมีศิลปะในการนำสิ่งเหล่านั้นมาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริงด้วย
ซึ่งจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องใช้สติปัญญา ความสามารถ ความมุ่งมั่น โอกาส และต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า
สำหรับงานของพระเจ้านั้น สิ่งที่จะทำให้คนรวมตัวกันทำงานและร่วมมือกันทำงาน คือ นิมิต
งานพระเจ้า ต้องมีนิมิต ต้องมีเป้าหมาย ต้องมีพันธกิจ คือ กิจที่เราต้องรวมกันเป็นพันธะ
ไม่ใช่เป็นการรวมตัวกันสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงาน
งานอื่นๆ ก็เช่นกัน ต้องมีศิลปะในการนำความฝัน นำเป้าหมายมาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริง

ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
พระวจนะข้อนี้เป็นคำตอบของศิลปะที่ว่านี้
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่ง คือ ข้าพเจ้าทำทุกสิ่ง หมายถึง เราต้องทำทุกสิ่ง ทำไม่เลือก ทำงานให้มาก
เพราะยิ่งทำงานมากเท่าใด เราจะยิ่งพบความชำนาญของเรามากเท่านั้น
เมื่อเรารู้ว่าอะไรที่เป็นความชำนาญ ก็ต้องทำสิ่งนั้นสุดกำลัง โดยมีพระเจ้าคอยเสริม
พระเจ้าจะเสริมเราก็ต่อเมื่อเราทำสุดกำลังเท่านั้น
ผู้คนทั่วไปก็เช่นกัน จะสนับสนุนคนที่มุ่งมั่นในการทำงานเท่านั้น คนเฉยๆ ไม่มุ่งมั่น ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย

ในการแปลงความฝันเป็นรูปธรรมได้นั้น ความฝันและความคิดของเรา ต้องเป็นไปได้ด้วย
พระเจ้าสอนให้เราคิดในแง่บวก แต่อย่าเผลอคิดแบบเพ้อเจ้อ
ความคิดแง่บวกต้องควบคุมได้ด้วย ต้องรู้จักจังหวะ ต้องรู้จักคอยเวลา และต้องคิดบนพื้นฐานของพระคัมภีร์
แล้วพระเจ้าจะสนับสนุนแนวคิดนั้นให้เป็นรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้จริง

7. ต้องมีความสามารถในการนำสิ่งที่มี สิ่งที่รู้ ไปประยุกต์กับความรู้และความมีที่แตกต่าง
หลักคิดข้อนี้ คือ การประยุกต์เอาความเหมือนและความต่างมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เราอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ร่วมสมัย” ก็ได้ ไม่ล้าสมัย และไม่นำสมัย แต่เป็นการร่วมสมัย
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สิ่งที่มีที่ดีอยู่แล้ว สิ่งที่รู้มากอยู่แล้ว จะเกิดประโยชน์มากขึ้นหากเรารู้จักนำสิ่งนั้นไปประยุกต์กับความรู้อื่นๆ ที่แตกต่าง
ความแตกต่าง จะก่อให้เกิดความงดงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
ความรู้ในโลกนี้มีไม่จำกัด และสิ่งที่ผู้อื่นมี เมื่อเสริมกับที่เรามีและเสริมกับที่เรารู้ ประโยชน์ย่อมมากขึ้นด้วย

8. ต้องคิดแบบบูรณาการ
คำว่า “บูรณาการ” มาจากคำว่า “บูรณะ” คือ การซ่อมแซมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
เอามาประยุกต์ใช้กับความคิด ... คิดแบบบูรณาการ จึงหมายถึง การคิดแบบภาพรวม
ไม่มองอะไรเป็นส่วนๆ แต่มองทุกอย่างให้เป็นองค์รวม
เช่น ถ้าจะมองป่า ก็ต้องมองป่าทั้งผืน ไม่ได้มองต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่าเท่านั้น

พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่าง ทรงเป็นต้นแบบของการคิดแบบบูรณาการ
พระองค์เห็นว่า การที่ทุกคนรวมตัวกัน ยิ่งมีความหลากหลายมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
พระองค์จึงนำอัครทูต 12 คนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งฐานะ การศึกษา รสนิยม ความคิด มาอยู่ร่วมกัน
พวกเขาเป็นตัวแทนของคนหลากหลาย และถูกฝึกให้ยอมรับความแตกต่างของแต่ละคน
พระเจ้าต้องการสอนให้เราคิดว่า ทุกคนสำคัญ ทุกคนมีคุณค่า ทุกสิ่งมีคุณค่าเมื่ออยู่รวมกัน

ปฐก.1:31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก...
พระวจนะข้อนี้ พระเจ้าตรัสว่าสิ่งทั้งปวงดีนัก ทุกสิ่งดี ทุกอย่างดี ไม่มีข้อจำกัดเลย
เพียงแต่เราต้องมีความสามารถในการนำประโยชน์ของทุกสิ่งมาใช้ร่วมกัน
ศาสตร์ทุกศาสตร์ในโลกนี้ ล้วนมีความเชื่อมโยง สอดคล้องกันและมีผลกระทบระหว่างกัน
หากเราสามารถคิดอย่างบูรณาการได้ ชีวิตเราก็มีความสุข คนรอบข้างเราก็มีความสุขเช่นกัน
จะคิดอย่างบูรณาการได้ ต้องคิดกว้าง อย่าคิดแคบ ต้องรู้จักคิดแบบเชื่อมโยง
เมื่อเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ เราจะหงุดหงิดน้อยลง และมองโลกในแง่ดีขึ้น

9. ต้องคิดเชิงอนาคต
คิดเชิงอนาคต คือ คิดถึงอนาคต คิดเพื่ออนาคต
ทุกคนต้องการมีอนาคต แต่เราจะไม่มีอนาคต ถ้าเราไม่รู้จักคิดถึงอนาคต
องค์ประกอบในการคิดเชิงอนาคต คือ
9.1 ต้องเอาอดีตเป็นครู หรือมองอดีตอย่างแจ่มชัด
เรียนรู้จากความผิดพลาดของคน เรียนรู้แล้วอย่าไปเดินซ้ำประวัติศาสตร์
เราจะมองอดีตได้อย่างแจ่มชัดขึ้น ต้องลืมตามอง อย่าหลับตามอง
แม้ผิดพลาด ทุกคนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทั้งสิ้น แม้จะถึงจุดหมายช้ากว่าคนอื่นไม่เป็นไร
9.2 ต้องมองปัจจุบันอย่างทะลุปรุโปร่ง
เราจะมีอนาคตได้ ต้องมองอดีตอย่างแจ่มชัด และต้องมองปัจจุบันอย่างทะลุ
ปัจจุบันเราทำอะไรได้ เราต้องทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ แต่คิดไว้เสมอว่าเราจะไม่ทำอยู่อย่างนี้ตลอดไป เราจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตคริสเตียน เป็นชีวิตของการใช้ความเชื่อ คือ เชื่อในพระคุณของพระเจ้า
ทำให้สุดกำลังของเราก่อน แล้วในที่สุดเราจะเข้าสู่พระคุณของพระเจ้า

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

9.3 ต้องมองอนาคตอย่างทะลุทะลวง
เราจะสามารถมองอนาคตอย่างทะลุทะลวงได้ ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
ประกอบกับการมีจิตใจที่มุ่งมั่น แน่วแน่ แล้วอนาคตที่ดีจะเป็นของเรา

10. ต้องคิดเชิงกลยุทธ
การคิดเชิงกลยุทธ เป็นเทคนิคของการคิดอย่างหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
องค์ประกอบในการคิดเชิงกลยุทธ คือ
10.1 เราจะแปลงความคิดที่เรามีอยู่ให้เป็นภาคปฏิบัติได้ ต้องมีกลยุทธ
กลยุทธ ก็คล้ายๆ กับการเล่นกล
หลายอย่างแสดงให้เห็นแบบตรงๆ ไม่ได้ แต่การใช้กลยุทธ ทำให้ขบวนการน่าติดตามมากขึ้น
การบรรลุวัตถุประสงค์ของทุกอย่าง ล้วนจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธทั้งสิ้น ไม่ได้ทางหนึ่งก็ต้องหาอีกทางหนึ่งให้ได้
10.2 กำหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อบรรลุเป้าหมาย
แม้เป้าหมายอย่างเดียวกัน แต่วิธีการไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป
แต่ละคนจะมีวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตัวเองเสมอ เราต้องรู้จักคิด
เช่น อยากให้คนให้เกียรติ ก็ต้องให้เกียรติผู้อื่นก่อน
10.3 กำหนดแนวทางที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด
ความจำกัดของเรามีต่างกัน เช่น จำกัดด้วยเงิน จำกัดด้วยเวลา จำกัดด้วยคน
ภายใต้เงื่อนไขความจำกัดต่างๆ เราต้องกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด
เช่น สำหรับคริสตจักร ย่อมอยากได้ผู้เชื่อมาเป็นสมาชิก แต่ถ้าเขาไม่สามารถมาเป็นสมาชิกของเราได้
อย่างน้อยที่สุด เป็นพันธมิตรก็ยังดี ต้องรู้จักหว่านให้มาก เราก็จะได้เกี่ยวเก็บมากเช่นกัน
10.4 ต้องรอจังหวะและโอกาส อย่าใจร้อน
อะไรก็ตามกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ ล้วนต้องใช้เวลารอคอยทั้งสิ้น
กลยุทธหนึ่ง คือ ต้องรู้จักจังหวะและเวลา อย่าใจร้อน
อย่าคิดว่าจะชนะใจใครในชั่วเวลาวันเดียว ต้องรักษาสัมพันธ์และมีการพูดคุยเป็นระยะๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักคิดเกี่ยวกับความคิดที่ลูกพระเจ้าควรจะมี
ถ้าเรามีหลักคิด เราจะเข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีหลักมากขึ้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะสร้างแนวคิดให้กับเราได้มากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพร

เรื่อง “ ศิลปะในการพัฒนาตนเอง ”


ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ศิลปะในการพัฒนาตนเอง ”

ฟป.3:12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ในเรื่องการพัฒนาตนเองนั้น ไม่มีใครถือว่าตัวเองทำได้สำเร็จแล้ว แม้สำเร็จมามาก แต่หนทางที่ยังต้องก้าวเดินต่อไปก็ยังมีอีกไกล ชีวิตคนต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด
คนจะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องฟลุค แต่เป็นเรื่องของการเตรียมตัว การเตรียมพร้อม ดำเนินชีวิตแต่ละวันโดยไม่ประมาท เก็บสะสมข้อมูล เรียนรู้ตลอดทั้งด้านพระคัมภีร์และความรู้ด้านอื่นๆ อย่าคิดว่าเรียนมามากแล้ว อย่าคิดว่าตนรู้มากแล้ว เพราะมีดจะคมได้นั้น ต้องลับอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของเราเช่นกัน จะแหลมคมและประสบความสำเร็จ ต้องมีการลับชีวิตเช่นกัน และเราสามารถลับชีวิตได้ผ่านการเรียนรู้ ผ่านการเตรียมตัว ผ่านการพัฒนาตนเอง

ศิลปะในการพัฒนาตนเอง
1. การพัฒนาตนเองเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะหากปราศจากการพัฒนา การปรับปรุง การแก้ไขหรือการเรียนรู้ เราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
หากอยากมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เราต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง
ถ้าไม่มีการพัฒนา ก็ไม่สามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายของชีวิตได้
การพัฒนานั้น นอกจากจะพัฒนาด้านความรู้แล้ว เรายังต้องพัฒนาแนวคิดด้วย
แนวคิดของคนจะพัฒนาได้ ต้องมีศิลปะ ต้องมีเทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วย
ดังนั้น เราต้องตื่นตัวเสมอ ต้องคิดตลอด คิดให้มาก เพื่อที่จะไม่ต้องคิดมากเมื่อเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง
หลายคนไม่คิดให้มาก บั้นปลายชีวิตเลยต้องมาคิดมาก กลุ้มใจ เพราะมีปัญหามาก
ที่มาของปัญหา คือ ขาดการพัฒนาตนเอง ขาดการพัฒนาความคิด ขาดการพัฒนาตนเอง

2. จะพัฒนาตนเองได้ ต้องค้นหาศักยภาพในตัวเองให้ได้
การทำงานทุกอย่างจำเป็นต้องอาศัยความมั่นใจ
ถ้าไม่มีความมั่นใจทำอะไรก็ไม่ผ่าน ทำไปก็ไม่สบายใจ ทำไปก็หวั่นไหว
การพัฒนาตนเองก็เช่นกัน จำเป็นต้องมีความมั่นใจ จำเป็นต้องมีกำลังใจ
และสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ หากเราสามารถค้นหาศักยภาพภายในตัวเองได้

2.1 ศักยภาพของคนก็เหมือนเครื่องยนต์
เครื่องยนต์บางอย่างถูกสร้างมาให้มีศักยภาพสูง แต่เรานำมาใช้ต่ำกว่าศักยภาพ
ขีดจำกัดของเครื่องยนต์มีสูง แต่เราวิ่งต่ำกว่าขีดจำกัด ถ้าขืนวิ่งไปอย่างนี้เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่เต็มสปีด ไม่เต็มที่
ผลที่ได้รับ คือ เครื่องยนต์นั้นเสื่อมไป
ศักยภาพของคน สมองของคนก็เช่นกัน พระเจ้าสร้างให้มีศักยภาพสูง แต่เราใช้มันต่ำกว่าศักยภาพ
ผลคือ สมองเลื่อม ขาดความกระตือรือร้น ขาดความเจริญ
ดังนั้น อยากพัฒนาตนเอง ต้องค้นหาศักยภาพของตัวเองให้เจอและเมื่อเจอแล้ว ต้องใช้มันอย่างเต็มที่
สิ่งที่คนกับเครื่องยนต์เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ หากขาดการใช้งาน ขาดการฝึกฝน
พลังงานจะค่อยๆ ลดลง และตายลงไปในที่สุด
ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเป็นอย่างนี้ วิธีการทำให้เครื่องยนต์และสมองมีสภาพดีอยู่เสมอ คือ ต้องใช้เรื่อยๆ ใช้บ่อยๆ

2.2 การไม่ใช้สมองบ่อยๆ หรือไม่พัฒนาตัวเองโดยทำงานให้ยากขึ้น ความมั่นใจของเราจะเปราะบางลง
การใช้สมองบ่อยๆ อย่างเดียวไม่พอ แต่เราต้องฝึกที่จะทำอะไรที่ยากขึ้นด้วย
ไม่อย่างนั้น ความมั่นใจที่มีอยู่ในตัวเราจะค่อยๆ ลดลงหรือเปราะบางลงไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างของการคิดและทำงานให้ยากขึ้น มีดังนี้
(1) ขีดเส้นธรรมดาสองเส้น บนพื้นดิน แล้วกระโดดข้ามมันให้ได้
(2) ถ้าเส้นในข้อหนึ่ง เราขีดไว้กว้าง 2 เมตร คราวนี้เริ่มให้ยากหน่อย จากขีดเส้นบนพื้นดินธรรมดา
เปลี่ยนมาเป็นกระโดดข้ามสระ 2 เมตร (ระยะเท่าเดิม แต่เพิ่มสระน้ำตรงกลางมาขวาง)
สระน้ำตรงกลางที่เกิดขึ้น จะทำให้ความมั่นใจเราลดลงทั้งๆ ที่เราเคยข้ามได้ง่ายๆ จากข้อ (1)
ดังนั้น เราจะข้ามมันไปได้ ต้องเอาชนะความรู้สึกให้ได้
(3) ถ้าผ่านข้อ (2) แล้วลองทำให้ยากขึ้น โดยในสระน้ำนั้นมีจระเข้อยู่ด้วย
เปอร์เซ็นต์ของการข้ามพ้นจะยิ่งต่ำลง เมื่อมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น
(4) ลองเปลี่ยนจากบ่อน้ำที่มีสระเข้ กลายเป็นตึกสูง 20 ชั้น แต่ระยะห่างเท่าเดิม คือ 2 เมตร
ความรู้สึกของคนเราจะเปลี่ยนไป ความมั่นใจจะยิ่งลดลง เมื่อมีอุปสรรคมากขึ้น
จากเส้นธรรมดาที่เราข้ามได้ง่ายๆ เมื่อมีอุปสรรคก็ยังพอข้ามได้บ้าง แต่เมื่ออุปสรรคมากขึ้นเราข้ามไม่ได้เลย
ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความมั่นใจ

ดังนั้น เราต้องฝึกฝนบ่อยๆ เผชิญหน้ากับปัญหาบ่อยๆ จะทำให้เรามีกำลังใจ มีความมั่นใจ และมีความกล้ามากขึ้น
อย่าให้อิทธิพลหรือสิ่งแวดล้อมมาทำลายศักยภาพของเรา
แต่ลำพังความมั่นใจอย่างเดียวไม่พอ เราต้องพัฒนาศักยภาพด้วย
ที่จริงเราทุกคนมีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด ลองนึกถึงภาพของการฝึกร้อยเมตรธรรมดา กับการวิ่งหนีเสือ สปีดย่อมต่างกัน
งานที่ยาก สภาพแวดล้อมที่กดดัน มันผลักดันให้เราใช้ศักยภาพ
จำไว้เสมอว่า “ความลำบากสร้างชีวิต” “ความสบายทำลายชีวิต”
ความลำบากนั้น ตอนที่ต้องเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย แต่มันจะสร้างชีวิตเรา
การยอมฝึกฝน กล้าฝ่าฟัน ทำงานยากลำบากมากขึ้น จะฝึกความรู้สึกของเรา
ความลำบากนั้นจะฝึกความเชื่อมั่นให้เรารู้สึกว่าเราจะผ่านมันไปได้
เหตุผลที่ชาวยิวเจริญรุ่งเรือง เป็นแนวหน้าของโลก ก็เพราะพวกเขาผ่านความยากลำบากกันมาก
ถูกรังเกียจ ถูกข่มเหง เห็นความตายอยู่ตรงหน้าจนชาชิน ไม่รู้จะต้องกลัวอะไรอีก
ทางเดียวที่ทำให้เขารอดได้ คือ ต้องสู้ ... นี่คือการพัฒนาศักยภาพความกล้าในตัวเอง

2.3 จุดที่ยากที่สุดที่เราจะข้ามผ่านความทุกข์และปัญหา คือ การเปลี่ยนแปลงความคิด
เราจะผ่านพ้นความทุกข์และปัญหาได้ เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลงความคิด ซึ่งถือเป็นจุดที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์
เปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ถ้าเราเปลี่ยนได้ ชีวิตเราก็เปลี่ยน
เคยคิดว่าเกิดมามีกรรม ก็ต้องรับกรรมกันต่อไป เกิดมาจน ต้องจนต่อไป เกิดมาแพ้ ต้องแพ้ต่อไป
เปลี่ยนไปคิดว่า ยิ่งยาก ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งยาก ยิ่งท้าทาย
ท้าทายทั้งความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และท้าทายศักยภาพของตัวเอง

ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนที่ลำบากมาก่อนเท่านั้น จึงจะเห็นคุณค่าของเงิน และเมื่อเขาผ่านมาได้ เขาจะไม่ยอมทุกข์เพราะเงินหรือวัตถุอีกต่อไป
หรือ บางคนถูกตำหนิเล็กๆ น้อยๆ ก็ทนไม่ได้
ก็ต้องเปลี่ยนไปคิดว่า ถ้าถูกตำหนิมากแล้วเราทนได้ ก็ไม่ต้องคำนึงถึงการถูกตำหนิเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป

ในทางของพระเจ้านั้น เราจำเป็นต้องอาศัยทั้ง “ความเชื่อ” และ “การเชื่อฟัง” ด้วย
พระเจ้าสอนสอนอะไร ให้เรานำมาปฏิบัติ นำมาทำตาม แล้วจะรับพระพร
สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าสอนเสมอ คือ เรื่องของการกลับใจใหม่ ... เรื่องใจ เป็นเรื่องสำคัญมาก
มธ.3:2 จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว
การกลับใจใหม่ คือ การเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ เปลี่ยนจิตใจใหม่
ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง เราก็จะไม่สามารถพบสวรรค์และความสุขในโลกนี้ได้

3. เทคนิคในการสร้างความมั่นใจ
3.1 ต้องเชื่อว่าเราทำได้
ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
สิ่งที่ผู้เชื่อได้เปรียบกว่าผู้อื่น คือ เรามีพระเจ้า
อะไรที่เราจำกัด เราพึ่งพาความไม่จำกัดของพระเจ้า อะไรที่เราทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้
ดังนั้น เราต้องมีความเชื่อมั่นทั้งเชื่อมั่นใจตัวเองและเชื่อมั่นในพระเจ้า ... เราสามารถทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์

3.2 เราต้องฝึกกำหนดจิตไปที่เป้าหมาย
เราคงเคยได้ยินคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
จิตใจของคน สามารถกำหนดร่างกายของคนได้
เทคนิคในการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง คือ ต้องฝึกจิตไปที่เป้าหมาย
ถ้าเรานำจิตไปที่เป้าหมายได้ เราก็จะสามารถพากายของเราข้ามไปได้ด้วย
เมื่อเรามีปัญหาอะไร จำไว้ว่า “ความเชื่อ คือ ความมีชัยของเรา”
เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ เห็นภาพล่วงหน้าว่าเราผ่านปัญหาได้ เห็นภาพล่วงหน้าว่าเราได้รับชัยชนะ
เช่น คนป่วย รับการอธิษฐานแล้ว รักษาจากแพทย์แล้ว ต้องเห็นภาพว่าตัวเองมีสุขภาพดี
นั่นแหละ คือ วิธีกำหนดจิตไปที่เป้าหมาย เป็นวิธีแห่งความเชื่อของคริสเตียนนั่นเอง

ยก.1:6-7 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ทุกคนล้วนมีความสงสัย แต่พระเจ้าสอนเราว่าอธิษฐานแล้วอย่าสงสัย เพราะความสงสัยจะทำให้เราไม่ได้รับในสิ่งที่ควรจะได้
ดังนั้น เราต้องฝึกฝนความเชื่อ และต้องขอความเชื่อที่เหนือธรรมชาติจากพระเจ้า
ฮบ.11:6 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ เราสำเร็จได้ เราเอาชนะปัญหาได้
แล้วเราจะเป็นไปตามที่เราเชื่อนั่นแหละ


ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.3 เราต้องรู้จักปิดการรับรู้สิ่งแวดล้อม
เราจะก้าวพ้นปัญหาด้วยความมั่นใจได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีสมาธิ และสมาธิจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราปิดการรับรู้สิ่งแวดล้อม
มีตัวอย่างหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับกบ ดังนี้
ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ได้มาจัดการแข่งขันเพื่อจะกระโดดให้ถึงปากหลุม
มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้
เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น ไม่มีชนชาวกบตัวใด จะเชื่อว่ากบตัวเล็กๆ เหล่านี้จะกระโดดขึ้นไปจนถึงปากหลุมได้
มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า "เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงปากหลุมหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น"
หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก หลุมมันลึกขนาดนั้น"
เจ้ากบตัวน้อย ๆ เหล่านี้ ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัว ๆ ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังกระโดดอย่างมุ่งมั่นอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น
และสูงขึ้น ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก" กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้
แต่มีกบตัวหนึ่งที่ยังตั้งหน้าตั้งตากระโดดสูงขึ้น สูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้
เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่น ๆ ต่างยอมแพ้ที่จะกระโดดสู่ปากหลุมจนหมดสิ้น ยกเว้นกบตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันก็สามารถกระโดดขึ้นสู่ปากหลุมได้ กบทุก ๆ ตัวอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ ตัวนี้ทำได้อย่างไร
กบคู่แข่งขันต่างอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ ตัวนี้มีพลังกระโดดขึ้นสู่ปากหลุมอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร
เรื่องกลับกลายเป็นว่า ... กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!
เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบจากคนอื่น
เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาในหัวใจคุณออกไป ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ
เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน และได้อ่านมัน จะส่งผลต่อการกระทำของคุณ
เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาขอให้เป็นคนคิดบวกและเหนือจากนั้น
จงทำ เป็นหูหนวกต่อคำพูดที่บอกว่า คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ให้คิดเสมอว่า คุณสามารถทำได้

3.4 ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทำให้เต็มศักยภาพ ทำให้สุดกำลัง
มธ.22:37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
พระเจ้าสอนเราว่าถ้าจะรักพระเจ้า ต้องรักให้สุด คือ สุดใจ สุดจิต สุดความคิด
เรื่องนี้ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนได้เช่นกัน จะทำอะไรก็ตาม
พระเจ้าต้องการให้เราทำให้สุดกำลัง ทำให้เต็มศักยภาพ ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ถือว่าเราได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว และเราไม่ต้องเสียใจอะไรอีกกับการกระทำของเรา

3.5 การพัฒนาความมั่นใจ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้ หากเราสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองได้
ตัวอย่างในชีวิตจริงมีมากมาย เช่น ไฟไหม้ ทำให้เราสามารถยกของหนักออกจากบ้านได้ เพราะความเสียดาย
ผู้เล่นการพนัน สามารถวิ่งหนีตำรวจได้อย่างไม่คิดชีวิต เพราะต้องการให้ตัวเองรอดพ้นจากถูกจับ เป็นต้น
ถ้าเรามีแรงจูงใจที่ถูกต้อง เราจะสามารถพัฒนาความมั่นใจให้กับตัวเองได้
รู้จักอดออม จะไม่อดตาย ... เช่น อดไว้ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย อดไว้ไม่อวด ก็จะไม่จน
ถ้าเราไม่อดออม เราจะอดตายและพบกับความขาดแคลนเสมอ
ดังนั้น อยากมีกำลังใจ ต้องสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้องให้กับชีวิตของตนเอง

3.6 เราต้องส่องกระจกรอบด้าน
ศิลปะในการพัฒนาตนเอง -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ศิลปะในการพัฒนาชีวิตที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การมีกระจกไว้ส่องรอบด้าน
เรามักจะมองไม่เห็นความผิดพลาดและข้อบกพร่องของตัวเอง แต่กระจกที่อยู่รอบตัวเราจะสะท้อนสิ่งนั้นให้กับเราได้
กระจกรอบด้าน คือ ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง
(1) กระจกด้านหน้า
คือ การแสวงหาข้อมูลและความรู้ใหม่ๆ เสมอ
เป็นคนที่มีหัวก้าวหน้า ไม่ใช่หัวล้าหลัง ... ต้องคิดเสมอว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ และต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ความรู้และข้อมูลใหม่ๆ สำคัญมากสำหรับการพัฒนาตนเองไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จ
อย่าคิดว่าตัวรู้มากแล้ว แต่ต้องเปิดรับความรู้ใหม่เรื่อยๆ
1คร.8:2 ถ้าผู้ใดถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้
ทุกความรู้ที่เรารู้เพิ่มขึ้น จะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่งเสมอ
(2) กระจกด้านข้าง
คือ คนข้างๆ เราเขาพูดและวิจารณ์เราอย่างไร ให้รับฟัง นำมาเป็นข้อมูล
คนที่จะพัฒนาได้ ต้องพร้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น ... เขาพูดถึงอย่างไรให้เราขอบคุณ
ถ้าพูดในทางไม่ดี และเป็นเรื่องจริง เราต้องยอมรับนำมาแก้ไขปรับปรุงตัวเอง
แต่ถ้าพูดในทางไม่ดี ไม่มีสาระและไม่ใช่ความจริง ก็ไม่ต้องสนใจ
ถ้าไม่เป็นความจริง แต่ถือเป็นสาระสำคัญ เราก็ต้องชี้แจง ป้องกันความเข้าใจผิด
ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า เราต้องฟังทุกเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกเสียง
การไม่ฟังใครเลย ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จน้อยลง
(3) กระจกด้านหลัง
คือ การทบทวนและประเมินตัวเองตลอดเวลา
วิธีที่ดีที่สุด คือ จดบันทึก สิ่งที่เราทำ แล้วดูว่าผลเป็นอย่างไร

ชีวิตเราจะพัฒนา เร็วหรือช้า มากหรือน้อย มันขึ้นกับกระจกที่เราส่องว่ารอบด้านหรือไม่?
เราส่องด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปหรือไม่ ส่องด้านใดด้านหนึ่งน้อยเกินไปหรือไม่
เราส่องกระจกอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ... ทุกอย่างมีผลกระทบต่อการพัฒนาชีวิตของเราทั้งสิ้น
สุดท้าย เมื่อเรามองกระจกด้านใดด้านหนึ่งแล้ว อย่าเชื่อผลที่สะท้อนจากกระจกเพียงด้านเดียว
แต่ต้องเชื่อผลสะท้อนจากทุกด้าน
มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนรอบคอบ รอบด้าน

ถ้าเราสามารถทำได้ตามคำแนะนำบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้ เชื่อแน่ว่าเราจะสามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า
แม้จะไม่สำเร็จทั้งหมด แต่เราจะสำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอน

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม ” จาก “ สภษ.4:18 ”

สภษ.4:18 แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน
วิถีทางหรือวิถีของแสงอรุณ คือ ค่อยๆ ฉายสุกใสขึ้นจนเต็มวัน แสงอรุณยามเช้าอบอุ่น อ่อนโยน เมื่อเวลาสายก็จะค่อยๆ ร้อนขึ้น และจะสว่างเต็มที่เมื่อถึงเวลาเที่ยง แม้ในช่วงเวลากลางคืนที่เรามองไม่เห็นแสงอาทิตย์นั้น ไม่ได้หมายความว่า แสงอาทิตย์จะดับไปหรือไม่ฉายแสง เพียงแต่เวลาเช้าของซีกโลกหนึ่ง กลายเป็นเวลากลางคืนของอีกซีกโลกหนึ่งเท่านั้น
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรมก็เป็นเช่นนั้นแหละ
“ผู้ชอบธรรม” คือ ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงประทานความชอบธรรมให้เราผ่านความเชื่อ
รม.4:22-24 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน แต่คำว่า "ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน" นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย
เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า และกลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระองค์ พระเจ้าสัญญาว่าวิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม จะไม่มีวันตกต่ำลง จะมีแต่สูงขึ้นทางเดียว หรือแม้ล้มลงแล้ว เราก็สามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ แต่เงื่อนไขหนึ่งที่เราต้องระวังรักษาให้ได้ นั่นคือ “ความเชื่อ”
เชื่อวางใจในพระเจ้า แม้ไม่เข้าใจพระองค์ทั้งหมด เชื่อและกระทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่ง แม้เราไม่เห็นด้วยกับพระองค์ทั้งหมด สิ่งนี้จะทำให้เรารับพระพร ผู้เชื่อที่เพียงแต่เชื่อโดยไม่กระทำตาม ผู้นั้นรับความรอด แต่ขาดพระพร ขาดกำลัง เป็นลูกของพระเจ้า แต่ไม่ได้รับเกียรติให้เป็นทหารในกองทัพของพระองค์
ยก.5:16 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล
ผู้ชอบธรรมต้องรักษาความเชื่อ เพื่อพลังแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าจะอยู่กับเราตลอดไป

1. วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม จะเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม และวิถีของโลก ทุกอย่างจะเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า
ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก จนกระทั่งปัจจุบันและอนาคต ทุกสิ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์
ตัวอย่างจากชนชาติยิว ชนชาติเล็กๆ ที่ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา แม้จะถูกกดขี่ข่มเหงจากหลายชาติ
แม้ร่อนเร่พเนจรไม่มีประเทศของตัวเองมานาน แต่พระเจ้าก็สามารถให้พวกเขาตั้งประเทศอิสราเอลสำเร็จในปี ค.ศ.1948
เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม (ต้นกำเนิดของยิว) และพระองค์รักษาสัญญานั้น
ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"

ผู้เชื่อ (คริสเตียน) ก็เป็นยิวฝ่ายวิญญาณ เราได้รับพระสัญญาแห่งพระพรนั้นด้วย
เราเริ่มต้นจากเล็กน้อย แต่กลายเป็นผู้นำของโลกใบนี้ได้
1คร.1:26-28 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

อัครทูตกลุ่มเล็กๆ ที่ขาดการศึกษา ฐานะยากจน แต่กลายเป็นผู้คว่ำโลกได้ แต่ทุกวันนี้ทุกท่านรับเกียรติยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
พระเจ้าทรงเลือกสิ่งเล็กน้อยให้เติบโตกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
สิ่งที่พระเจ้าต้องการย้ำกับเรา คือ ผู้ชอบธรรม เหมือน “แสงอาทิตย์” แต่เราไม่ได้เป็น “ดวงอาทิตย์”
ดวงอาทิตย์นั้น เปรียบกับ พระเจ้า พระองค์ฉายแสงผ่านเรา เราเป็นเพียงพระฉายของพระเจ้าเท่านั้น
ดังนั้น อยากฉายแสงได้มาก ก็ต้องรับการสร้างให้มาก อย่ารับแต่การเลี้ยง ต้องรับการสร้างด้วย
ส่วนใหญ่เราชอบให้คน “อุ้ม” แต่เมื่อถูก “ดุ” เราไม่ชอบ
แต่จำไว้ว่า คุณค่าของเราจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมรับการสร้างจากพระเจ้า
การเลี้ยงทำให้เรามีชีวิตเติบโต แต่เราจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเรารับการสร้าง
ผู้สร้าง จะเอาส่วนที่บดบังแสงออกจากชีวิตของเรา เพื่อให้เราฉายแสงและความสว่างนั้นได้เต็มที่

ปญจ.11:5 เจ้าไม่ทราบทางลมว่าไปทางไหน และกระดูกมีขึ้นในมดลูกของหญิงที่มีครรภ์อย่างไรฉันใด เจ้าก็จะไม่ทราบถึงกิจ การของพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัดฉันนั้น
ยน.3:8 ลม {ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ} ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน
ฟังดูแล้วพระวจนะของพระเจ้าอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่พระวจนะ 2 ข้อนี้เตือนให้เรารู้ว่า
พระเจ้าทรงกระทำราชกิจของพระองค์เสมอ แม้เรามองไม่เห็นก็ตาม
และพระราชกิจหลักๆ นั้น พระเจ้าทรงกระทำผ่านพระวจนะของพระองค์
ในอนาคตแม้โลกต้องแตกดับ แม้อะไรจะต้องเสื่อมสลายไป แต่พระวจนะจะยังดำรงอยู่และเป็นจริงตามนั้น
ดังนั้น ผู้ชอบธรรมต้องเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า แล้ววิถีชีวิตของเราจะเป็นดั่งที่พระเจ้าตรัสไว้

2. หนทางในการมีวิถีชีวิตอย่างแสงอรุณ
แม้ทุกคนที่เชื่อ จะได้เป็นผู้ชอบธรรมสำหรับพระเจ้า แต่ในขบวนการที่จะเข้าสู่วิถีชีวิตอย่างแสงอรุณนั้น
ตัวเราต้องทำในส่วนที่เราสมควรทำ แล้วพระเจ้าจะกระทำส่วนของพระองค์

2.1 ต้องเริ่มต้นจากการคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่คิดอย่างผู้แพ้
ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"
สดด.8:5-6 เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
ผู้ที่จะมีวิถีชีวิตดั่งแสงอรุณ ต้องเป็นคนคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้
เราเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน เพราะเราถูกสร้างจากพระฉายของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราให้เก่งอย่างพระองค์
พระเจ้าทรงสร้างเราให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราเย่อหยิ่ง
แต่ทำให้เราตระหนักถึงความจริงว่า เราเป็นพันธุ์ของพระเจ้า ต้องมีลักษณะชีวิตอย่างพระองค์
คือ เป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้ในทุกสถานการณ์

พ่อของข้าพเจ้าสอนเสมอว่า “เขาก็คน เราก็คน ถ้าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้”
“ไม่มีใครเก่งมาจากท้องแม่ ทุกคนมาเก่งนอกท้องแม่ทั้งนั้น”
นี่คือคำสอนที่กระตุ้นให้ข้าพเจ้าคิดอย่างผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

นอกจากนี้ ขอเพิ่มเติมแนวคิดที่จะทำให้เราคิดอย่างผู้ชนะได้ ดังนี้

ก. คนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนเชื่อมั่นตลอดว่า “ฉันทำได้”
คนที่เชื่อมั่น ไม่ได้หมายความว่า เขาจะชำนาญหรือเชี่ยวชาญทุกเรื่อง
แต่เขาเชื่อว่าเขาทำได้ เขามีความบากบั่น เขามีความอุตสาหะในการฝึกฝน
คนอื่นอาจจะสำเร็จก่อนก็ไม่เป็นไร เขาจะสำเร็จด้วย แม้จะต้องสำเร็จหลังคนอื่นก็ตาม
อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวไว้เสมอๆ ว่า “ผมเป็นคนช้า แต่ผมไม่เคยหยุดเดิน”
แล้วเราก็เห็นแล้วว่าผลของการไม่หยุดเดิน ไม่หยุดในการมุมานะทำสิ่งต่างๆ ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ข. ต้องไม่ยึดติดความคิดเดิมๆ
เราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ถูกผลิตขึ้นมาเสมอ เพราะนักประดิษฐ์ไม่เคยพอใจอะไรเดิมๆ
เขาไม่ยึดติดความคิดเดิม แต่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นเสมอ
ถ้าเอดิสัน พอใจแค่การใช้เทียนอย่างที่เราเคยใช้กันมา วันนี้เราก็ไม่มีหลอดไฟที่ใช้ส่องสว่างได้มากกว่า
ดังนั้น อยากชนะ อยากสำเร็จ ต้องไม่ยึดติดความคิดเดิมๆ

ค. เราต้องเป็นนักบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จ หรือความล้มเหลว จะฉายแสง หรือจะอับแสง ส่วนหนึ่งขึ้นกับการจัดการเรื่องเวลา
คนที่ไม่ไปถึงหลักชัยก็เพราะบริหารเวลาไม่เป็น
ตลอดชีวิตของเรามีเพียงไม่กี่สิ่งที่เราต้องบริหาร นั่นได้แก่ (1) สิ่งจำเป็น (2) สิ่งต้องทำ (3) สิ่งอยากทำ
เราต้องเรียงลำดับมันให้ถูกต้อง เวลาที่มีจำกัดสิ่งจำเป็นต้องทำก่อน แล้วค่อยทำสิ่งที่ต้องทำ
เมื่อเวลาเหลือ จึงไปทำในสิ่งที่อยากทำ ... แต่ถ้าเวลาจำกัดให้ตัดส่วนนี้ออกไปเลย
คนที่เก่งและประสบความสำเร็จในโลก เขาเลือกเก่งเพียงไม่กี่อย่าง
ในขณะที่คนล้มเหลว อยากเก่ง อยากทำทุกเรื่อง แต่แล้วก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
คนเรามีแค่ 2 แขน 2 ขา 1 ชีวิต เราต้องคิดให้ถูกต้อง
อยากชนะ ต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

ง. ไม่หยุดเรียนรู้
คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็เพราะผิดพลาดแล้วไม่กล้าแก้ไข ไม่กล้าเรียนรู้
วีรบุรุษและวีรสตรีที่แท้จริง ล้วนเคยล้มเหลวมาแล้ว แต่เขาไม่หยุดที่จะเรียนรู้
เพราะหยุดเรียน คือ หยุดรู้ และหยุดการเป็นผู้นำ
แต่การเรียนรู้ไม่หยุด ทำให้เราพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้เรื่องในเรื่องนั้นๆ ได้

จ. ยอมรับความจริงว่าชีวิตมีขึ้นลง มีแพ้ มีชนะ
ที่กล่าวว่าวิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีตกต่ำลงนั้น
หมายถึง การขึ้นเรื่อยๆ อย่างเส้นกราฟ ... คือ ขึ้นตลอดก็จริง แต่ในอัตราการขึ้นนั้น จะมีขึ้นๆ ลงๆ บ้าง
ตลอดชีวิตของเรา จะเจอทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ เสียงชื่นชมและเสียงก่นด่า
เป็นเรื่องธรรมของชีวิต ที่เราต้องกล้ายอมรับมันให้ได้

วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

จ. ทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีกว่ามาตรฐาน
คนที่จะมีชีวิตอย่างผู้ชนะ คือ คนที่ทำอะไรก็ทำอย่างดีที่สุด เป็นอะไรก็เป็นให้ดีที่สุด
ทำให้ดีกว่ามาตรฐานที่ผู้อื่นและสังคมวางไว้ ทำให้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ทำมากกว่าที่คนอื่นขอให้ทำ
การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะขึ้นถึงยอดเขาได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากตีนเขา ฐานเขา
การทำดีที่สุดนี่แหละ เป็นรากฐานที่ดีที่สุดส่งผลให้ชีวิตเราสูงส่งได้

2.2 ต้องตระหนักถึงความเป็นพิเศษ และการเป็นคนพิเศษของเรา
ปัญหาที่เราเป็นแสงอรุณไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเรา
เราไม่ได้ตระหนักว่าเราเป็นคนพิเศษและมีความเป็นพิเศษอยู่ในชีวิต

ก. ลักษณะของคนพิเศษ คือ กล้าคิดและกล้าทำ
คนที่จะเป็นแสงอรุณได้นั้น ต้องกล้าคิด และกล้าทำ
เมื่อไตร่ตรอง ใคร่ครวญแล้วว่าสิ่งที่จะทำเป็นประโยชน์ ลงมือทำทันที โดยไม่สนใจคนเยาะเย้ยหรือมีคำถาม
แสงเทียนนั้นดับได้ง่ายๆ แต่แสงอรุณไม่มีวันดับ
ดังนั้น อย่าให้ใครมาดับความคิด ดับความกล้าและดับการกระทำที่ดีที่ถูกต้องของเราได้

ข. กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า
ความกล้าอย่างนี้ ต้องเป็นความกล้าคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำ
ไม่ใช่กล้าอย่างบ้าบิ่นหรือไร้สติ กล้าแบบนั้นมีแต่พัง มีแต่พินาศ

ค. กล้าเริ่มต้นใหม่ และกล้าก้าวข้าม
ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ แต่เราจะได้มันมา ต้องมีการลงมือกระทำ
ในการลงมือกระทำนั้น ต้องมีความกล้า ล้มแล้วก็กล้าเริ่มใหม่ และกล้าที่จะก้าวข้ามสิ่งที่เคยเป็นความล้มเหลวในอดีตให้ได้

ง. กล้าเผชิญกับทุกสถานการณ์
เราจะกลายเป็นคนพิเศษ และฉายแสงอย่างพิเศษได้ ต้องกล้าเผชิญทุกสถานการณ์
ทำอะไรลงไปแล้ว ต้องกล้าขอความเห็นจากผู้อื่น ต้องกล้าเผชิญหน้า ไม่ใช่หลบหน้าหลบตา
ฟป.4:11-13 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
เปาโล กล้าเผชิญทุกสถานการณ์ เพราะท่านตระหนักว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย
เราก็ควรจะกล้าเช่นเดียวกัน เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเราด้วย

2.3 เป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น
เราจะมีชีวิตเหมือนแสงอรุณได้ เราต้อง “เป็น” อย่างที่พระเจ้าให้เรา “เป็น”
พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็น ผู้ซึ่งเราเป็น” (อพย.3:14)
พระเจ้าทรงสร้างทุกคนให้เป็นปัจเจกบุคคลที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ดังนั้น เราจึงควรเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น และเป็นให้ดีที่สุด
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
ตัวอย่างของเปาโลอีกเช่นกัน ท่านเป็นอย่างที่พระคุณของพระเจ้าให้เป็น
และเราก็เห็นแล้วว่า การเป็นเช่นนั้น ทำให้ชีวิตของท่านฉายแสงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ก. จะเป็นได้ ต้องมีความคิดเป็นอิสระ
ยน.8:36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ
เราทุกคนเกิดมาพร้อมความเป็นพิเศษของพระเจ้าในชีวิต เพียงแต่เราต้องค้นหาให้เจอว่าความพิเศษนั้นคืออะไร
และเราจะค้นหาสิ่งนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่เป็นอิสระ เราเป็นไท ไม่ใช่ถูกบังคับ โดยผู้อื่นหรือกระแสสังคม
วันนี้เราจะเป็นอะไรอย่างไรไม่สำคัญ เพราะคนสรุปเราที่ “ผลงาน”
ผลงานนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องพิสูจน์ชีวิตของเราว่าเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เป็นแล้ว
ยังเป็นเครื่องยืนยันด้วยว่า เราเป็นสาวกที่แท้จริงของพระเจ้า
ยน.15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา

ข. เราต้องค้นหาตัวตนของเราต่อไป และภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
1ทธ.2:7 และสำหรับการนี้ข้าพเจ้าจึงได้ถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดจริงไม่ปดเลย) และเป็นครูสอนความเชื่อและความจริงแก่คนต่างชาติ
เปาโล ค้นพบตัวตนและความสามารถ ความเป็นพิเศษของท่าน
เราเองก็ต้องมุ่งมั่นที่จะค้นหาต่อไปจนพบ และเมื่อพบแล้วจงภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นนั้น
โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะพระเจ้าสร้างเราให้พิเศษไม่เหมือนกัน

ค. เราต้องเป็นคนหนักแน่น ไม่ถูกซัดไปมาด้วยเสียงต่างๆ
อฟ.4:14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
เราต้องหนักแน่น มั่นคงในสิ่งที่เราเป็น อย่าให้ใครมาจูงจมูก มาจูงชีวิตของเราได้
เราต้องเป็นปลาเป็นที่ว่ายทวนกระแส ไม่ใช่ตามกระแส
เป็นอย่างที่เราเป็น เป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น ไม่ใช่เป็นอย่างที่คนอื่นบอกให้เราเป็น

ง. พระเจ้ามอบชีวิตให้เราเป็นผู้ดูแล เราต้องกำหนดชีวิตตัวเอง
พระเจ้ามอบชีวิตของเราให้เราเป็นผู้ดูแลอารักขา
ดังนั้น ชีวิตของเรา เราต้องเป็นคนกำหนดเอง โดยใช้สติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้
ไม่ใช่จะเป็นอะไร จะทำอะไร จะกินอะไร จะใส่เสื้อสีอะไร ต้องถามพระเจ้าตลอด
กจ.20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น
เปาโล รู้ว่าพระเจ้าให้รับใช้พระองค์ ก็ตัดสินใจรับใช้ตามหน้าที่นั้นให้สำเร็จ
วิถีชีวิตของผู้ชอบธรรม -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

วันนี้ถ้าเรารู้และมั่นใจว่า พระเจ้าทรงใช้ให้เราทำสิ่งนั้น ก็จงทำสิ่งนั้นทันที

2.4 ต้องเป็นคนที่อึดและมุ่งมั่น
วิถีชีวิตของเราจะฉายแสงของพระเจ้าได้ เราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
ก็ต่อเมื่อ เราต้องเป็นคนที่อึดและมุ่งมั่น ไม่สำเร็จ ไม่ยอมเลิกเรา
จะสำเร็จช้าหรือเร็ว ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญ เราต้องสำเร็จ
เราต้องเห็นภาพความสำเร็จปรากฏตรงหน้าเราอยู่เสมอ และมุ่งมั่นให้ได้รับสิ่งนั้น
แต่ย้ำว่า เราไม่ได้สำเร็จในทุกเรื่อง เราจะสำเร็จในเรื่องที่เราถนัดและในสิ่งที่เราเป็นเท่านั้น

2.5 ไปให้ไกลกว่าเงินที่เราได้รับ ไปให้ไกลกว่างานที่รับมอบหมาย ไปให้ไกลกว่าเกียรติที่เราได้รับ
คนที่จะเป็นเหมือนแสงอรุณ ต้องเป็นคนที่มองไกล ไปไกล และทำไกลกว่าคนอื่น
ไกลกว่าเงินที่ได้รับ ไกลกว่างานที่รับมอบหมาย และไกลกว่าเกียรติที่ผู้อื่นมอบให้
เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถทำได้ดั่งนี้ ให้มั่นใจเลยว่า เรากำลังฉายแสงของพระเจ้า
และชีวิตของเราจะส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

เรื่อง “ มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ”

มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ”

คำสอนเรื่อง มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ... เป็นคำสอนที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน
บางคน “เป็น” อย่างที่คนมากมายใฝ่ฝันจะเป็น เช่น เป็นดารา เป็นนักร้อง เป็นผู้มีชื่อเสียง ... แต่เป็นแล้วแทนที่จะมีความสุข กลับมีความทุกข์ ดาราและผู้มีชื่อเสียงหลายคนฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่เงินมีไม่ขาด ชื่อเสียงก็มีมาก แต่มีแล้วทุกข์ เพราะมีไม่เป็น และเป็นไม่ถูก
ชีวิตของมนุษย์นั้นเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หลายอย่างเป็นกฎตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อีกหลายอย่างก็จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น การมีมากและการเป็นมาก ย่อมทำให้เราเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ความเหนื่อยนั้น ไม่ใช่ความทุกข์ คนที่ขาดศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินชีวิต ก็จะพบเจอแต่ความทุกข์และความยุ่งเหยิงของชีวิต แต่ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงทั้งศาสตร์และศิลป์ของชีวิต ชีวิตของเราก็จะสมดุล เหนื่อยแต่ไม่ทุกข์ มีและเป็นแล้วสุข ภาคภูมิใจ
คำสอนเรื่องนี้ จะทำให้เรารู้ว่า ต้อง “มี” และ “เป็น” อย่างไร จึงจะมีความสุข นั่นคือ ต้องมีและเป็นอย่างถูกต้อง

ข้อคิดเกี่ยวกับการมีให้เป็น และเป็นให้ถูก ชีวิตก็จะเป็นสุข
1. “มี” อย่างไรจึงจะเรียกว่า “มีให้เป็น” และมีความสุข
เราจะมีให้เป็น และจะเป็นให้ถูกได้ ก็ต่อเมื่อ เราเป็นผู้ที่เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง
ชีวิตของคนหมุนเวียนไปตามความอยาก เหมือน “ชิงช้าสวรรค์” ที่มีทั้งหมุนขึ้นและหมุนลง
ความอยากในทางที่ดีมันจะหมุนชีวิตของเราไปสู่ทิศทางที่สูงขึ้น
แต่ความอยากในทางที่ต่ำมันก็จะหมุนชีวิตของเราไปสู่ความตกต่ำเช่นกัน
ความอยากในตัวของมันเองนั้น ไม่ได้ถือเป็นความบาป
แต่ความอยากที่เกินตัว เกินความสามารถที่เราจะมีหรือเป็นได้ ... นั่นแหละบาป
ในชีวิตนี้ ไม่ว่าเราจะมีอะไรก็ตาม ถ้ามีแล้วไม่สามารถรักษาไว้ได้ หรือมีแล้วแทนที่จะสุขกลับทุกข์
มีแล้วแทนที่ชีวิตจะสบายกลับกลายเป็นยุ่งยาก มีอย่างนั้น อย่ามีดีกว่า

1ทธ.6:7-10 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
พระวจนะของพระเจ้าเตือนสติมนุษย์ทุกคน ... เราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลก และจะไม่สามารถนำอะไรออกไปได้ด้วย
แต่บ่อยครั้งมนุษย์ลืมตัว คิดว่าตัวเองตายไม่เป็น หรือคิดว่าตายแล้วจะเอาไปได้
จึงมีเกินตัว เป็นเกินตัว ผล คือ มีอะไรก็ทุกข์ เป็นอะไรก็ทุกข์
ความร่ำรวยไม่ได้เป็นความบาป ถ้าเราร่ำรวยแล้วดูแลปกครองมันได้ และไม่ได้ร่ำรวยอย่างผิดกฎหมาย
แต่มันจะกลายเป็นความบาปและนำชีวิตเราสู่ความพินาศ ถ้าความร่ำรวยนั้นปกครองเรา (กลายเป็นทาสเงินทอง)
พระเจ้าจึงสอนให้เรามีความอยากอย่างสมดุล คือ ปรับความอยากให้พอดีกับความสามารถและวุฒิภาวะของเรา
ถ้าเราจะร่ำรวย จงร่ำรวยให้เป็นธรรมชาติ คือ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ มี ค่อยๆ เพิ่มทีละเล็กทีละน้อย
มันจะทำให้เราสามารถแบกน้ำหนักได้ ไม่เกินกำลัง
อะไรก็ตามที่มีและเป็นแล้วเกินกำลัง จะนำเราเข้าสู่ทุกข์ ... มีและเป็นอย่างนั้น ถือว่ามีและเป็นไม่ถูกต้อง
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1.1 การมีวัตถุ แต่ขาดวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณและความเข้าใจในพระวจนะ จะก่อให้เกิดความทุกข์
ปฐก.1:26-28 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
ตามหลักการของพระวจนะและความเข้าใจของผู้มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณนั้น
พระเจ้าสร้างมนุษย์ เพื่อให้ปกครองสิ่งสารพัด พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งให้มนุษย์ “ครอบครอง”
ถ้าเรามีก็อะไรแล้วเราครอบครองมันได้ ปกครองมันได้ เราก็เป็นสุข และสิ่งที่มีก็เป็นพร
แต่ถ้ามีแล้วมันครอบครองเรา ปกครองเรา เราก็ทุกข์ และสิ่งที่มีนั้นจะเป็นภัยทันที
หลักของการมีให้เป็น คือ มีแล้วครอบครองควบคุมมันได้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันมาควบคุมเรา
และต้องไม่ยอมเป็นทาสวัตถุหรือทุกข์เพราะวัตถุอย่างเด็ดขาด เหนื่อยเพื่อวัตถุ เหนื่อยได้ แต่อย่าทุกข์เพราะมัน
ที่จริงแล้ว ในชีวิตหนึ่งความจำเป็นของคนมีนิดเดียว แต่ความต้องการมีไม่สิ้นสุด
คุณธรรม ความเติบโต การเข้าใจชีวิตและพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้เรารู้จักควบคุมความต้องการของตัวเอง

นอกจากการมีแล้วไม่สามารถปกครองมันได้ทำให้เราทุกข์แล้ว ความทุกข์อีกประการหนึ่งของการมี คือ มีเพื่ออวด
ลักษณะขี้อวด กลายเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย ไม่ว่าจะอวดเก่ง อวดรู้ อวดมี อวดรวย ฯลฯ
พระคัมภีร์ถือว่าการอวดในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับพระเจ้า
ฟป.3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
การมีในลักษณะนี้ คือ มีเพื่ออวด ไม่ใช่มีไว้เพื่อช่วยเหลือ
เขาจะสนใจและจดจ่ออยู่กับวัตถุ เป็นพวกวัตถุนิยม เป็นทาสวัตถุ มีชีวิตติดอยู่กับวัตถุ
ที่จริงวัตถุเรามีได้ ไม่ได้ถือเป็นความบาป แต่เราไม่ควรมีเพื่ออวด
และหนทางในการที่เราจะมีนั้น ต้องไม่ใช้ส่วนที่จำเป็นมาซื้อของฟุ่มเฟือย
ข้าพเจ้าสอนเสมอว่า เราต้องปลูกไม้ยืนต้น เพื่อจะได้ไม้ล้มลุก ...
คือ เราต้องมีฐานหน้าที่การงานที่ดี มีรายได้ดีก่อน แล้วจึงมีของฟุ่มเฟือย
เมื่อเรามีรายได้ดี แหวน เสื้อผ้า ฯลฯ เราก็มีได้ง่ายๆ ไม่ขาดแคลน และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

1.2 ต้อง “มี” อย่างไร จึงจะไม่ทุกข์
ก. ต้องมีเพื่อให้ ไม่ใช่มีเพื่ออวด
2คร.9:8-9 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
หลักการของพระวจนะ จะทำให้เรามีอย่างเป็นสุข คือ มีให้เพียงพอสำหรับตัวเอง (ในส่วนของความจำเป็น ไม่ใช่ความต้องการ)
และส่วนที่เหลือจากตัวเอง ต้องใช้เพื่อการกระทำความดี แต่เราจะมีเหลือ มีพอได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักประหยัดและอดออม
หลักการมีเพื่อให้นั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้มีมาก จึงค่อยให้ ... เราต้องเริ่มให้ตั้งแต่เรามีน้อย
เราจึงจะมีความสามารถในการให้ได้มาก เมื่อเรามีมาก
ฝึกที่จะเป็นผู้ให้ ให้เป็นนิสัย แล้วพระพรของพระเจ้าจะเทลงมาในชีวิตของเรา
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเรายิ่งให้ เราก็จะยิ่งได้รับการอวยพรจากพระเจ้าและจะได้ความรักความนับถือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

ข. มีแล้วไม่ยึดติด
1คร.7:29-31 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าหมายความว่า ยุคนี้ก็สั้นมากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปให้คนเหล่านั้นที่มีภรรยาดำเนินชีวิต เหมือนกับไม่มีภรรยา และให้คนที่เศร้าโศกดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้เศร้าโศก และผู้ที่ชื่นชมยินดี ดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้ชื่นชมยินดี และผู้ที่ซื้อก็ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับว่าเขาไม่มีกรรมสิทธิ์เหนืออะไรเลย และคนที่ใช้ของโลกนี้ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับมิได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะระบอบของโลกนี้กำลังล่วงไป
พระวจนะของพระเจ้าแฝงไว้ซึ่งนัยยะ ไม่ได้ตีความตามตัวอักษร โดยรวมแล้วสอนให้เราไม่ยึดติดในสิ่งที่มี
“ดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่มี” ไม่ได้หมายความว่า มีครอบครัวแล้วจะไม่รับผิดชอบครอบครัว
แต่หมายความว่า พระเจ้าต้องมาก่อนครอบครัวของเรา ไม่เป็นทาสครอบครัว แต่ต้องดูแลครอบครัวอย่างดีที่สุด
เราต้องมีวุฒิภาวะพอในการปกครองสิ่งที่เรามี ถ้าปกครองครอบครัวไม่ได้ จะปกครองสังคมได้อย่างไร

ส่วนด้านความเศร้าโศกเสียใจนั้น เราเสียใจต่อบางเรื่องได้ แต่หลังจากนั้น ต้องลุกขึ้นมาทำงานต่อ ดำเนินชีวิตต่อไป
เช่น ลูกอาจจะเสียใจที่พ่อแม่จากไป แต่พ่อแม่จะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าการจากไปของท่านทำให้เราเสียคน เสียงาน
พระวจนะของพระเจ้าได้สอนเราว่าทุกอย่างมีเวลาและวาระของมัน
ปญจ.3:1-8 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้งมีวารฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้นมีวารร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำมีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอดมีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไปมีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ
หลักการไม่ยึดติดอีกอย่าง คือ คิดเสียว่าเราตายไปแล้ว
คนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาด่าใครได้ เวลาเขาด่ามา เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาด่าตอบ
คิดได้อย่างนี้จะทำให้เรารู้จักปล่อยวาง และลด ละ สิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางความสุขในชีวิตได้มาก

ค. ยอมรับสัจธรรมของชีวิต
สัจธรรมของชีวิต คือ มีมาก ก็ต้องรับผิดชอบมากเป็นธรรมดา
มีปัญญามาก มีความรู้มาก มีความสามารถมาก ก็จะยุ่งยากมาก และเหนื่อยมาก เป็นธรรมดา
แต่สำหรับคริสเตียนต้องท่องไว้ว่า “ยิ่งยาก ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งยาก ยิ่งภาคภูมิใจ”
1ธส.2:9 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
เมื่อเปาโล มีปัญญามาก มีการเจิมมากกว่าผู้รับใช้ท่านอื่น ท่านจึงต้องมีภาระและหน้าที่การงานหนักกว่าผู้อื่น
แต่ท่านภาคภูมิใจในความเหนื่อยยากที่ได้ทำเพื่อพระเจ้า
สิ่งที่เราหว่านเพื่อพระเจ้านั้น จะส่งผลให้เราได้รับพระพรเสมอ
กจ.20:34-35 ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
ส่วนใหญ่เรามักจะหยิบยกเฉพาะข้อ 35 มาพูด คือ คำว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
แต่ในข้อ 34 เราจะเห็นถึงแบบอย่างชีวิตของเปาโล ท่านให้ก่อน ท่านจึงมีความสุขก่อน
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

หลายคนอยากมีความสุข แต่ไม่ยอมให้กับผู้อื่น ... จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะมันผิดหลักการของพระเจ้า
สัจธรรมของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ คือ การให้นั้นมีความสุขยิ่งกว่าการรับ

2. “เป็น” อย่างไร จึงจะเรียกว่าเป็นให้ถูก และมีความสุข
ความสุขของชีวิต ไม่เพียงเกิดจากการมีให้เป็นเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการเป็นให้ถูกด้วย ดังนี้
2.1 เป็นตามพระคุณของพระเจ้า
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
เปาโล เป็นตามที่พระคุณของพระเจ้าให้เป็น เป็นได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า
1คร.3:5 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้
เราแต่ละคนเป็นตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ไม่ได้ถือว่าใครเก่งกว่าใคร แต่ทุกคนเป็นตามพระคุณของพระเจ้าให้เป็น
ถ้าเราเป็นได้อย่างนี้ แม้เราเหนื่อย เราก็ไมทุกข์ เพราะเรารู้จักตัวเองดี และที่สำคัญพระเจ้ารู้จักเราดีที่สุด
รม.12:3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
พระเจ้าสอนไม่ให้เราคิดถือตัวเกินกว่าที่เราจะเป็นได้ ... แต่ต้องเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น
คริสเตียนนั้น ต้องเป็นคนที่ไม่มีปม ไม่ว่าจะเป็นปมเด่น หรือปมด้อยก็ตาม
ชีวิตที่มีปมนั้น เป็นชีวิตที่อึดอัด เป็นทาส ไม่มีอิสระ
แต่ชีวิตที่ไม่มีปมนั้น ทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ แต่ไม่อวดตัว ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ทุกอย่างเป็นเพราะพระคุณ ถ้าเราเก่ง ก็เพราะพระคุณพระเจ้า
แต่ถ้ามีคนเก่งกว่า ก็ยินดีกับเขาด้วย เพราะพระคุณพระเจ้าเช่นกัน

2.2 ไม่มุ่งหาเกียรติ แต่มุ่งถวายเกียรติ
อฟ.3:20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา
เราจะเป็นอย่างถูกต้องและเป็นอย่างมีความสุข ต้องไม่มุ่งหาเกียรติให้ตัวเอง แต่มุ่งถวายเกียรติพระเจ้า
เป็นอะไรก็ตาม ไม่ใช่ขอให้เราได้รับเกียรติ แต่ขอพระเกียรติจงมีแด่พระเจ้า
เป็นอะไรก็ตาม เป็นให้ดีที่สุด เพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ

ผลของการไม่มุ่งหาเกียรติ แต่มุ่งถวายเกียรติพระเจ้า
ก. เราไม่ยึดติด ไม่เป็นทาส และไม่หงุดหงิด
ทำดี เป็นดี ไม่มีใครเห็น ไม่มีคนชม เราก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าเราได้ทำเพื่อพระเจ้า
ข. เราจะทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด
เมื่อมุ่งถวายเกียรติพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราจึงต้องทำและเป็นทุกอย่างอย่างดีที่สุดให้พระเจ้ารับเกียรติสูงสุด
ค. เป็นเพื่อรับใช้คนทั้งปวง
1คร.9:19-23 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรม

มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
เปาโล ไม่ได้เป็นทาสใครเลย แต่ท่านยอมตัวเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
ยอม คือ เต็มใจ สมัครใจที่จะเป็นทาสของคนทั้งปวง
เป็นทาส คือ เป็นมากกว่ารับใช้ ทำมากกว่าที่เขาขอ ให้มากกว่าที่เขาคิด
เพราะท่านตระหนักว่าภาระและหน้าที่ที่ท่านเป็นนั้น มาจากพระเจ้า จึงควรจะเป็นให้ดีที่สุด
และเป็นอย่างพระเจ้า คือ เป็นเพื่อรับใช้คนทั้งปวง

2.3 เป็นไม่ถูก ส่งผลให้เป็นทุกข์นั้น เป็นอย่างไร
มีหลายกรณีที่เป็นแล้ว เป็นไม่ถูก ก็ส่งผลให้เกิดความทุกข์แก่ชีวิต
เช่น เป็นคนดัง ที่ยึดติดความดังของตัวเอง ไปในบางที่ที่ไม่มีคนชื่นชมหรือไม่เป็นที่รู้จัก ก็ทุกข์
เป็นพ่อแม่ไม่ถูก คือ ไม่รู้หน้าที่ของตน ก็ทุกข์ เพราะสอนลูกไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟัง
เป็นสามีภรรยา ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง สามีไม่ปกป้องภรรยา ภรรยาก็ไม่ยอมให้สามีปกครอง ก็ส่งผลให้ครอบครัวทุกข์
ดังนั้น มีอะไร เป็นอะไรก็ตาม อย่าให้ความมีและความเป็นนั้น ทำร้ายเรา
แต่ความมีและความเป็นนั้น ต้องเป็นพรต่อเราและผู้อื่นเสมอ

3. เราจะมีให้เป็น และเป็นให้ถูกได้อย่างไร
จะมีให้เป็น และจะเป็นให้ถูกได้ ต้องแสวงหาเมล็ดพันธุ์ ปัญญาและความเข้าใจ
มธ.6:33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระวจนะสอนให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน
แผ่นดินของพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ ปัญญา ความรู้ คุณธรรม ความชอบธรรมของพระเจ้า
เราต้องมีเมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างสรรค์ที่ถูกต้อง มีไม่เป็น และเป็นไม่ถูก ก็เพราะขาดเมล็ดพันธุ์ ขาดทัศนคติที่ถูกต้อง
แนวคิดที่ถูกต้องที่สุด คือ พระวจนะของพระเจ้า
เราเกิดมาตัวเปล่า จากไปตัวเปล่าก็จริง แต่เราก็ควรทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ให้โลกนี้ชื่นชม
การมีให้เป็น และเป็นให้ถูก จึงสำคัญมาก
แนวคิดที่ถูกต้อง นอกจากจะหาได้จากพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เรายังหาได้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ
อยากประสบความสำเร็จ ต้องเรียนจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ อยากเป็นปราชญ์ ก็ต้องคบกับปราชญ์
สภษ.13:20 บุคคลที่เดินกับปราชญ์ก็กลายเป็นคนฉลาดแต่เพื่อนฝูงของคนโง่จะรับภยันตราย
แม้โทมัน อัลวา เอดิสัน ผู้หนึ่งในปราชญ์ของโลก ยังกล่าวว่า “สิ่งประดิษฐ์ของเขามีมากกว่า 60% ที่ต่อยอดจากผู้อื่น”
ถ้าวันนี้เรายังคิดเองไม่ได้ ก็ให้เอาความคิดที่ถูกต้องของผู้อื่นมาต่อยอด
จุดเริ่มต้นของการเป็นต้นแบบ คือ เริ่มต้นจากลอกแบบ เลียนแบบ แล้วเราจึงจะสามารถเป็นต้นแบบได้
ข้อคิดเกี่ยวกับการมีให้เป็น และการเป็นให้ถูกนี้ ถ้าเราสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของเราได้
ไม่ว่าเราจะมีอะไร ก็มีความสุขและไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็เป็นพระพรทั้งต่อตัวเอง ผู้อื่นและงานของพระเจ้า

เรื่อง “ มงคลของชีวิต ” จาก “ กจ.10:1-33 ”

มงคลของชีวิต -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ มงคลของชีวิต ” จาก “ กจ.10:1-33 ”

มงคลของชีวิต เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ... คู่บ่าวสาวเวลาเข้าพิธีแต่งงานก็จะสวมมงคลบนศีรษะ ยิ่งมงคลนั้นได้รับการสวมจากผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ก็ยิ่งเป็นเกียรติสูง และมีคุณค่าทางจิตใจมากขึ้น
มงคลของชีวิตนี้ ลูกพระเจ้าทุกคนก็ควรที่จะต้องมีและจำเป็นที่จะต้องมีเป็นอย่างยิ่ง มงคลของชีวิตนี้ เราจะรับการสวมจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด คริสเตียนที่ไม่มีมงคลของชีวิต แสดงว่า ดำเนินชีวิตไม่ถูกต้องในทางของพระเจ้า มีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นในชีวิตของเขา
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ เป็นเรื่องของนายร้อยโครเนลิอัสที่ได้รับการสวมมงคลของชีวิตจากพระเจ้า ผ่านอัครทูตเปโตรและผ่านการปรากฏตัวของทูตสวรรค์ ซึ่งเป็นบทเรียนที่สอนคนของพระเจ้าได้เป็นอย่างดีว่า เราควรจะมีวิถีชีวิตอย่างไร และใช้ชีวิตของเราอย่างไร จึงจะได้รับมงคลของชีวิตจากพระเจ้า

พระวจนะตอนนี้ สอนเราเรื่องมงคลของชีวิตอย่างไร
1. จะรับมงคลของชีวิตได้ ต้องเป็นคนที่มีความยำเกรงพระเจ้า
กจ.10:1-2 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่า กองอิตาเลีย ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานพระเจ้าเสมอ
โครเนลิอัส เป็นนายร้อยในสมัยนั้น ก็เทียบได้กับนายพลในสมัยนี้
แต่การที่เราจะรับมงคลของชีวิตนั้น ไม่ได้ขึ้นกับยศ เกียรติหรือตำแหน่งที่ได้รับในชีวิต
แต่ขึ้นอยู่กับ “ความยำเกรงพระเจ้า”
พระวจนะบันทึกชัดเจนว่าโครเนลิอัส เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้านี่แหละ
เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รับมงคลของชีวิตจากพระเจ้า
ความยำเกรงพระเจ้าของท่าน ส่งผลให้ทั้งครอบครัวของท่านมีความยำเกรงพระเจ้าด้วย
การเป็นคริสเตียนนั้น การมาโบสถ์ การอธิษฐาน การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ ถือเป็นเรื่องดีที่เราต้องทำ
แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ เพราะความยำเกรงพระเจ้า ... ถ้าเราปราศจากความยำเกรงพระเจ้า สิ่งที่ทำไปไม่มีวันเกิดผล
ความยำเกรงพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้สึกหรืออารมณ์ แต่ความยำเกรงนั้นต้องเป็นชีวิตของเรา
ความถ่อมของคนเรา ไม่ได้วัดกันที่กิริยาภายนอก แต่วัดกันที่จิตใจภายใน
บางคนหน้าตาถ่อม แต่จิตใจเหี้ยม บางคนมารยาทเรียบร้อย แต่วาจาทำร้ายทำลายคน
แต่สำหรับผู้ที่มีความยำเกรงพระเจ้านั้น ดีจากภายในและส่งผลให้ภายนอกดีด้วย
สภษ.8:13 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความเกลียดชังความชั่วร้ายเราเกลียดความเย่อหยิ่งและความจองหอง และทางของความชั่ว ร้ายกับวาจาตลบตะแลง
ความยำเกรงพระเจ้า ต้องส่งผลให้ผู้ยำเกรงนั้น เกลียดชังความชั่วร้าย เป็นศัตรูและเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
ความยำเกรงพระเจ้า ต้องส่งผลให้ผู้ยำเกรงนั้น เป็นคนถ่อมใจ เป็นศัตรูและเป็นปฏิปักษ์ต่อความเย่อหยิ่ง
ความยำเกรงพระเจ้า ต้องส่งผลให้ผู้ยำเกรงนั้น เป็นคนมีวาจาที่เชื่อถือได้ เป็นศัตรูและเป็นปฏิปักษ์ต่อการตลบตะแลง
แม้พระเจ้าจะวัดความยำเกรงที่ภายใน แต่ความยำเกรงที่แท้จริง สามารถส่งผลให้เราเห็นจากการกระทำภายนอกได้ด้วยเช่นกัน
สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญาและซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้
ความยำเกรงพระเจ้านั้น นอกจากทำให้เกิดความประพฤติภายนอกที่เหมาะสมกับพระเจ้าแล้ว
ความยำเกรงพระเจ้า ยังก่อให้เกิดปัญญา ยังก่อให้เกิดความรอบรู้อีกด้วย
คือ คิดได้มากขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น มองทะลุปัญหาได้มากขึ้น
มงคลของชีวิต -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนอื่น “มอง” แต่ “ไม่เห็น” แต่คนที่มีความยำเกรงพระเจ้า มองแล้วจะเห็น เพราะมีสายตาแหลมคมจากพระเจ้า
ความยำเกรงพระเจ้า ทำให้เรารู้จักแยะแยกความถูกผิดและสามารถเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้
ส่งผลให้เราทำอะไรก็ดี ทำอะไรก็เจริญ มีมงคลของชีวิตอยู่กับตัว

นายร้อยโครเนลิอัสมีความยำเกรงพระเจ้า ส่งผลให้ท่านมีคุณลักษณะชีวิต ดังนี้
1.1 ความยำเกรงพระเจ้า ทำให้ท่านเป็นผู้ให้ทานเสมอ
กจ.10:2 ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชนและอธิษฐานพระเจ้าเสมอ ความยำเกรงพระเจ้าของนายร้อยโครเนลิอัส ทำให้ท่านเป็นผู้ที่ให้ทานมากมายแก่ประชาชนเสมอ
คนที่จะให้ทานได้มากมาย ต้องเป็นคนที่มีความเมตตา มีความเอื้ออาทร ... สิ่งนี้คือคุณลักษณะคนของพระเจ้า
ยก.1:27 ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
ธัมมะที่บริสุทธิ์ คือ การช่วยเหลือผู้อื่น หยิบยื่นความเมตตาของเราให้กับผู้อื่น
พระวจนะยกตัวอย่างของการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน
คนที่ยำเกรงพระเจ้า ต้องช่วยเหลือ เมตตา โอบอ้อมอารีต่อคนที่มีความทุกข์ยากลำบากกว่าเรา
กจ.3:6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"
หลักการให้ หลักการช่วยเหลือของคริสเตียนนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้มากมี จึงจะให้ได้มาก
แต่ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน มีแค่ไหน ให้แค่นั้น เริ่มต้นจากการให้สิ่งที่เรามีอยู่ก่อน
จำไว้ว่า “ถ้าเรามีน้อย และไม่สามารถแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ เมื่อเรามีมาก เราก็จะให้ไม่ได้เช่นกัน”
พระวจนะตอนนี้ ขอทานอยากได้เงิน ขอเงินจากเปโตร สิ่งที่เปโตรมี ไม่ใช่เงิน แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
สิ่งที่เปโตรให้พวกเขา เป็นมากกว่าการให้เงิน แต่คือการให้ชีวิต
เราทุกคนมีบางสิ่งที่จะมอบให้ผู้อื่นเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน แต่อาจจะเป็นรอยยิ้ม การหนุนใจ คำปรึกษา
ฝึกที่จะเป็นผู้ให้ในทุกกรณี แล้วการให้นั้น จะกลายเป็นมงคลสวมชีวิตของเรา
มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
มงคลของชีวิต ไม่ได้เป็นเครื่องรางของขลัง แต่เป็นจิตใจที่ดีของเรา เป็นการกระทำที่ดีของเราต่างหาก
ทุกครั้งที่เรายื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น สวรรค์จะยื่นมือมาอวยพรเรา
เมื่อเราทำดี เมื่อเราทำทาน เมื่อเราดูแลผู้อื่น สวรรค์จะดูแลเรา
แต่ท่าทีของเราต้องถูกต้องด้วย ไม่ใช่ทำเพราะอยากได้รับพระพร แต่ต้องทำด้วยใจ ทำจากใจที่ยำเกรงพระเจ้า

1.2 ความยำเกรงพระเจ้า ทำให้ท่านเป็นผู้ที่อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ
กจ.10:2 ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชนและอธิษฐานพระเจ้าเสมอ นายร้อยโครเนลิอัส ไม่เพียงเป็นคนที่ให้ทานเสมอเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นผู้ที่อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอด้วย
การอธิษฐาน คือ การพูดคุย สนทนากับพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
ลองนึกถึงคนที่เรารัก โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่รักกันใหม่ๆ จะต้องโทรศัพท์พูดคุยกันทุกวัน
คนที่เคารพ ยำเกรงและรักพระเจ้า ก็ต้องพูดคุย สนทนากับพระเจ้าทุกวันเช่นกัน
เราสามารถโทรศัพท์หาพระเจ้าได้ทุกเวลา ไม่มีปัญหาเรื่องคลื่น ไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ โดยโทรผ่านการอธิษฐานนั่นเอง
พระคัมภีร์ย้ำว่า “เสมอ” ไม่ใช่เป็นการอธิษฐานธรรมดา แต่เป็นการอธิษฐานเสมอ
ในสมัยพันธสัญญาเดิม จะมีเวลาสำหรับการอธิษฐาน แต่สมัยพันธสัญญาใหม่ พระเยซูตรัสให้เราอธิษฐานทุกเวลา
มงคลของชีวิต -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องทำมาหากิน แต่ในใจเราระลึกถึงพระเจ้าเสมอ ตลอดเวลา
และจัดเวลาในช่วงหนึ่งของวัน เพื่อจะพูดคุย อธิษฐานกับพระเจ้าเป็นพิเศษ (การเฝ้าเดี่ยว)
1ธส.5:17 จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
ลก.18:1 พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ
การอธิษฐานเสมอนี้ อย่าทำเป็นกฎเกณฑ์ แต่ต้องทำด้วยใจ ทำจากใจที่รักและยำเกรงพระเจ้า
แล้วมงคลของชีวิต จะอยู่กับเรา พระลักษณะของพระเจ้าจะค่อยๆ ปรากฏชัดในชีวิตของเรามากขึ้นผ่านคำอธิษฐาน

2. ความยำเกรงพระเจ้า ทำให้เห็นการสำแดงของพระเจ้า
มงคลชีวิตของคริสเตียน คือ การที่ได้เห็นการสำแดงจากพระเจ้า
นายร้อยโครเนลิอัส เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า คนที่ยำเกรงพระเจ้า พระองค์จะทรงสำแดงพระองค์เองแก่เขา
กจ.10:3-4 เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าเข้ามาหาตนกล่าวว่า "โครเนลิอัสเอ๋ย" และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า "นี่เป็นประการใดพระเจ้าข้า" ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า "คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึงแล้ว
กจ.10:31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า "โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นพระเจ้าทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงระลึกถึง
ความยำเกรงพระเจ้าเสมอ ให้ทานเสมอ อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ ทำให้รับการสำแดงจากพระเจ้า
ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่โครเนลิอัส และกล่าวว่า คำอธิษฐานและทานของท่านทำให้พระเจ้าระลึกถึง
คำอธิษฐานของท่านไปถึงสวรรค์ พระเจ้าทรงรับฟังคำอธิษฐานนั้น และส่งทูตสวรรค์มาปรากฏ
มธ.5:8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
สดด.91:16 เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา
การส่งทูตสวรรค์มาปรากฏ ถือเป็นการสำแดงจากพระเจ้าที่มีต่อโครเนลิอัส
ผู้เชื่อทุกคนที่ยำเกรงพระเจ้า ก็สามารถที่จะเห็นการสำแดงจากพระเจ้าได้เช่นกันในรูปแบบต่างๆ
เช่น เห็นการช่วยเหลือจากพระเจ้า เห็นคำตอบจากพระเจ้า เห็นการทรงนำจากพระเจ้าในชีวิตของเรา
แต่อย่าลืมว่าผู้ที่จะได้รับการสำแดง ต้องเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าเสมอ
ไม่ใช่ยำเกรงหรืออธิษฐานเฉพาะเวลาอยู่ที่โบสถ์ หรือเวลาที่มีการฟื้นฟูเท่านั้น แต่ต้องยำเกรงทุกเวลา อธิษฐานทุกเวลา
ดร.ยอง กี โช ศิษยาภิบาลคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ประเทศเกาหลีใต้)
เคยกล่าวว่า “คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรม สามารถเคลื่อนพระหัตถ์ของพระเจ้าได้”
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เกาหลีใต้เจริญก้าวหน้า เพราะคริสเตียนที่นั่น อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ
คนที่อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ จึงรับพระพรจากพระองค์ รับมงคลชีวิตจากพระองค์

3. ความยำเกรงพระเจ้า ทำให้ได้รับเกียรติจากพระเจ้า
กจ.10:5-6 บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง ตึกของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล"
ความยำเกรงพระเจ้าของนายร้อยโครเนลิอัส นอกจากจะทำให้ท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้า
โดยการเห็นทูตสวรรค์ปรากฏและพูดกับท่านแล้ว
นายร้อยโครเนลิอัส ยังได้รับเกียรติสูงจากพระเจ้า โดยให้ไปเชิญเปโตรมาที่บ้านของท่าน
เหตุที่กล่าวว่าได้รับเกียรติสูงจากพระเจ้า เพราะเวลานั้น “เปโตร” คือ อัครทูตอันดับหนึ่งของโลก
ในบรรดาอัครทูต 12 คน เปโตรรับเกียรติจากพระเจ้าให้เป็นหัวหน้าของอัครทูตทั้งหมด
มงคลของชีวิต -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

โดยมียากอบและยอห์น เป็นผู้ช่วย และทำงานร่วมกับอัครทูตทั้งหมด ... นี่คือ ลักษณะการทำงานเป็นทีมของพระเจ้า
เปโตรนั้น ไม่ยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวต่างชาตินัก
เพราะเวลานั้นถือว่าพวกต่างชาติ คือ พวกสุนัข เป็นพวกที่ทรยศพระเจ้า
คือ แทนที่จะนมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้าง กลับไปนมัสการสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เช่น การไหว้รูปเคารพ เป็นต้น
วว.22:15 ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม
แต่พระเจ้าทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ นอกจากสำแดงกับโครเนลิอัสแล้ว พระเจ้าสำแดงกับเปโตรด้วย
เพื่อเปโตร จะมาที่บ้านของโครเนลิอัส ซึ่งถือว่าครอบครัวนี้ได้รับเกียรติจากพระเจ้าและรับเกียรติจากผู้รับใช้พระเจ้าอย่างสูง

กจ.10:9-20 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟา แล้วประมาณเวลาเที่ยงวัน เปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่อจะอธิษฐาน ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์ และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง คือสัตว์ที่เดิน ที่เลื้อยคลาน และที่บิน มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า "เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด" ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า "มิได้ พระเจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้าม หรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย" แล้วจึงมีพระสุรเสียงเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า "ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้วอย่าว่าเป็นของต้องห้าม" เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปในนภากาศทันที เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหา และพบตึกของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้วและร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรพักอยู่ที่นั่นหรือไม่ เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า "ดูเถิด ชายสามคนมาหาเจ้า จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา"
พระเจ้าสำแดงนิมิตกับเปโตร ถึง 3 ครั้งในเรื่องของโครเนลิอัส (ตัวแทนของคนต่างชาติ)
เรื่องนี้ทำให้เราได้ข้อคิดว่า ... อะไรก็ตามที่เป็นนิมิตจากพระเจ้า (ไม่ใช่เราคิดเอง) จะชัดเจน ไม่คลุมเครือ
และที่สำคัญ ถ้าเป็นเรื่องของ 2 ฝ่าย นิมิตจากพระเจ้านั้น จะต้องตรงกันด้วย
พระเจ้าสำแดงให้โครเนลิอัส ไปเชิญเปโตรมา และพระเจ้าสำแดงให้เปโตร มากับคนของโครเนลิอัส
การสำแดงสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายตรงกัน จึงไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงสงสัยว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่
( ข้อควรระวัง อย่าให้ใครมาอ้างเรื่องนิมิตของพระเจ้าเล่นๆ ใครมาอ้างว่าพระเจ้าบอกให้เราทำอะไร
สิ่งนั้นต้องอยู่ในใจของเรามาก่อน เช่น มีคนมาบอกว่าพระเจ้าให้เราไปเป็นมิชชันนารีที่ต่างประเทศ
ความคิดของการเป็นมิชชันนารีในประเทศนั้นๆ ต้องเป็นภาระใจของเรามาก่อนแล้ว
แต่ถ้าไม่ ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่านิมิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นความหวังดีของผู้พูดเอง)

เมื่อเปโตร รับนิมิตจากพระเจ้าท่านก็เชื่อฟังและยอมมาที่บ้านของโครเนลิอัส
กจ.10:27-29 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติ หรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่ห้าม แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน เหตุฉะนั้นเมื่อท่านใช้คนไปเชิญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าขอถามว่า ท่านเชิญข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร"
การไปของเปโตร ไม่เพียงทำให้เราเห็นว่าคนที่ยำเกรงพระเจ้าจะรับเกียรติจากพระองค์และจากผู้รับใช้ของพระองค์เท่านั้น
แต่คำพูดของเปโตรที่มีต่อคนในครัวเรือนนั้น สอนแนวคิดใหม่ให้กับเราด้วย
เปโตร เคยรังเกียจพวกต่างชาติ (ชาติที่ไม่ใช่ยิว) แต่พระเยซูมาปฏิวัติความคิดนั้น
พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า “ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน”
พระเจ้าสอนให้เรารู้ว่า “ทุกคนมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า อย่าเรียกใครว่ามลทิน”
มงคลของชีวิต -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

วันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนชนชาติใด ก็มีคุณค่าสำหรับพระเจ้า ไม่มีใครมีคุณค่าสูงกว่าใคร ไม่มีใครบาปกว่าใคร
ทุกคนบาป ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงรักคนบาปในโลกนี้ทุกคน
ขึ้นชื่อว่าคน ทุกคนมีคุณค่า เพราะเป็นพระฉายของพระเจ้า
ดังนั้น คนที่มีความยำเกรงพระเจ้า ต้องมีทัศนคติเดียวกันกับพระเจ้าด้วย คือ ต้องเห็นคุณค่าของคน
เมื่อเราเห็นคุณค่าของคน เราก็จะกลายเป็นคนที่มีคุณค่า (ทั้งต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์)
ทั้งโครเนลิอัสและเปโตร เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า การสำแดงของพระเจ้าจึงนำมาซึ่งพระพรและมงคลของชีวิต

4. การให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า ถือเป็นมงคลของชีวิต
นายร้อยโครเนลิอัสนั้น ท่านได้รับพระพร ไม่เพียงเพราะความยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น
แต่เพราะท่านเป็นผู้ที่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้พระเจ้าด้วย
ดังนั้น การให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า ให้เกียรติตัวแทนของพระเจ้า จึงถือเป็นมงคลของชีวิตอย่างแท้จริง
กจ.10:24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
เมื่อโครเนลิอัส ส่งคนไปเชิญเปโตรมานั้น (ซึ่งในเวลาหลายวัน) ท่านมีท่าทีที่ถูกต้อง คือ คอยรับรองผู้รับใช้พระเจ้า
ไม่เพียงตัวท่านเท่านั้น แต่ครอบครัวของท่านด้วย อีกทั้งยังเชิญญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทมาคอยรับรองด้วย
สิ่งนี้แสดงถึงการให้เกียรติอย่างสูง เตรียมตัวต้อนรับอย่างดีทั้งครัวเรือน

กจ.10:25 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตรและหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน
พระวจนะข้อนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราเห็นถึงความเคารพยำเกรงพระเจ้าและส่งผลถึงการยำเกรงผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย
โครเนลิอัส ไม่เพียงรอต้อนรับเท่านั้น แต่เมื่อได้เจอเปโตร ท่านหมอบที่เท้ากราบไหว้เปโตรทันที
แสดงถึง การให้เกียรติ เคารพ ยำเกรง ทำกับผู้รับใช้อย่างเดียวกับที่ทำกับพระเจ้า

กจ.10:26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า "จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน"
แต่พระวจนะของพระเจ้าสมดุลที่สุด คนของพระเจ้าต้องให้เกียรติผู้รับใช้ เพราะเป็นตัวแทนของพระองค์
ในขณะเดียวกัน ผู้รับใช้ที่แท้จริง จะไม่หลงอยู่กับเกียรติที่รับจากมนุษย์นั้น ...
เขาได้รับเกียรติเพราะเป็นตัวแทนของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความเก่ง ความสามารถของตัวเอง
เปโตร พูดชัดเจนเป็นจุดยืนที่แสดงถึงความถ่อมและการให้เกียรติพระเจ้า “ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”

กจ.10:33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัด ซึ่งพระองค์ได้ตรัสสั่งท่านไว้"
ท่าทีประการสุดท้ายของโครเนลิอัส จากพระวจนะในตอนนี้ คือ การให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้าเหมือนให้เกียรติพระเจ้า
เขาอยู่ต่อหน้าเปโตร แต่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า”
เป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุด ต้อนรับ ปรนนิบัติและปฏิบัติต่อผู้รับใช้เหมือนปฏิบัติกับพระเจ้า
ท่าทีที่ถูกต้องทั้งหมดของโครเนลิอัส ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวต้อนรับอย่างดี การกราบที่เท้าเปโตร
และกล่าวว่าอยู่ต่อหน้าพระเจ้าทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าเปโตร เป็นเหตุให้ท่านได้รับมงคลของชีวิตจากพระเจ้า

การให้เกียรติผู้ใหญ่ พ่อแม่ ผู้รับใช้พระเจ้า เป็นมงคลของผู้ที่ให้เกียรตินั้น
คนที่ไม่มีมงคล ก็เพราะไม่ให้เกียรติพ่อแม่ ไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่
มงคลของชีวิต -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คริสเตียนที่ไม่มีมงคล ก็เพราะไม่ให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า
จำไว้อย่างหนึ่งเลยว่า “พรและภัย ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียนนั้น ขึ้นกับว่าเราทำอย่างไรกับผู้รับใช้พระเจ้า”
ผู้รับใช้พระเจ้า เป็นตัวแทนของพระองค์ เราให้เกียรติพระเจ้าอย่างไร ต้องให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้าอย่างนั้นด้วย

มธ.10:40-41 ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา ผู้ที่รับผู้เผยพระวจนะ เพราะเป็นผู้เผยพระวจนะ ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ผู้เผยพระวจนะพึงได้รับ และผู้ที่รับผู้ชอบธรรมเพราะเป็นผู้ชอบธรรม ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ผู้ชอบธรรมพึงได้รับ
สดด.105:15 ว่า "อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายแก่ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรา"
ฮบ.13:17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน
1ธส.5:12-13 พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้นับถือคนที่ทำงานอยู่ในพวกท่าน ซึ่งปกครองท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า และตักเตือนท่านจงเคารพและรักเขาให้มากเพราะงานที่เขาได้กระทำ จงอยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน

ถ้าเรามีชีวิตที่ถูกต้องต่อพระเจ้า คือ ยำเกรงพระเจ้า เป็นผู้ให้ทานเสมอ เป็นผู้ที่อธิษฐานเสมอ
และปฏิบัติต่อผู้รับใช้พระเจ้าอย่างถูกต้อง มงคลของชีวิตจะเกิดขึ้นอย่างที่เกิดขึ้นกับนายร้อยโครเนลิอัส
เราจะเห็นการสำแดงจากพระเจ้า เราจะรับเกียรติจากพระเจ้า และชีวิตของเราจะมีมงคลตลอดไป

เรื่อง “ การอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ ”

ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ การอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ ”

อฟ.6:12-19 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้
พระวจนะตอนนี้ พระเจ้าสอนให้เรารู้ว่า เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด คือ เราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เรากำลังต่อสู้กับมารซาตานซึ่งชักใยอยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายทั้งปวงของมนุษย์ เบื้องหลังของความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเย่อหยิ่ง และการร้ายทั้งปวง คือ มารซาตานและวิญญาณชั่ว มนุษย์จะเอาชนะในสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ได้ ต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเท่านั้น และหนึ่งในยุทธภัณฑ์นั้น คือ “การอธิษฐาน” (อฟ.6:18-19)
การอธิษฐานนั้น ต้องเป็นการอธิษฐานวิงวอน ต้องเป็นการอธิษฐานขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ต้องเป็นการอธิษฐานด้วยความเพียร ต้องเป็นการอธิษฐานเผื่อธรรมิกชน และต้องเป็นการอธิษฐานเผื่อผู้รับใช้พระเจ้า จึงจะเอาชนะมารได้
มารซาตานรู้ดีว่า การอธิษฐานมีพลังในการทำลายงานของพวกมันได้ มารซาตานจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้เราอธิษฐานกับพระเจ้า ถ้าเราจะสังเกตให้ดีจะพบว่า เราใช้เวลาในการพูดคุยสนทนาเรื่องทั่วไปได้เป็นเวลานาน แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องอธิษฐาน เรากลับอธิษฐานได้เพียงนิดเดียว เราอาจจะอ่านพระคัมภีร์ได้นาน นมัสการได้นาน แต่เมื่อถึงเวลาอธิษฐาน จะมีความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน นั่นเพราะ เรากำลังอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณ

ดังนั้น ในการอธิษฐาน พระเจ้าจึงเข้ามาช่วยเหลือเราอีกทาง โดยประทานภาษาแปลกๆ หรือภาษาสวรรค์ให้กับผู้เชื่อ เพื่อเราจะสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้นานขึ้น ทรงพลังขึ้น ทะลุทะลวงปัญหาได้มากขึ้น
มก.16:17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
การอธิษฐาน เป็นการที่มนุษย์สนทนากับพระเจ้า ... หากปราศจากภาษาที่ใช้สื่อ เราก็ไม่สามารถอธิษฐานได้
การอธิษฐาน เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ ผูกพันกันจนไม่สามารถแยกกันออกได้ ในการนมัสการ จะมีการอธิษฐาน และในการอธิษฐาน อาจจะมีการนมัสการด้วย
ดังนั้น ภาษาและการสื่อสารจึงสำคัญมาก และการอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ หรือภาษาสวรรค์ เป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้เชื่อต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องเกิดผล


1. ภาพรวมของการอธิษฐาน
1.1 การอธิษฐาน เป็นความล้ำลึกของผู้เชื่อที่มีกับพระเจ้า
การอธิษฐานอย่างถูกต้องเป็นความล้ำลึกที่เรามีกับพระเจ้า เป็นภาพของการคลอเคลียระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว พ่อแม่กับลูก
สถานภาพของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หรือสถานภาพของพ่อแม่กับลูก
เป็นความผูกพันที่ล้ำลึก เพราะถือเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
พระคริสต์เป็นเจ้าบ่าวและผู้เชื่อเป็นเจ้าสาว พระคริสต์เป็นพ่อแม่และผู้เชื่อเป็นลูก
ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

วว.19:7-8 ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและเต้นโลดถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ได้เตรียมพร้อมแล้ว" ทรงโปรดให้เจ้าสาวสวมผ้าป่านเนื้อละเอียดใสบริสุทธิ์ เพราะผ้าป่านเนื้อดีนั้นได้แก่ การประพฤติอันชอบธรรมของพวกธรรมิกชน"
ยน.1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า

1.2 พระคัมภีร์ เป็นคู่มือของการอธิษฐาน
เราสามารถเรียนรู้การอธิษฐานได้จากพระคัมภีร์
ยน.4:23-24 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
พระวจนะตอนนี้ พระเยซูทรงสอนเรื่องการอธิษฐานที่ลึกซึ้ง
พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และมนุษย์มีวิญญาณจากพระเจ้า ...
ทุกครั้งที่เราออกพระนามของพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย นี่เป็นความอัศจรรย์และความล้ำลึกของพระเจ้า
ดังนั้น เราจึงต้องนมัสการ (อธิษฐาน) ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ตามพระคัมภีร์) เพราะพระเจ้าแสวงหาคนเช่นนั้น
เมื่อเราอธิษฐานถูกต้องตามพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นคู่มือของการอธิษฐาน เราก็จะรับพระพรและรับพลังจากสวรรค์

ยน.6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
พระวจนะตอนนี้ พระเจ้าเตือนให้เรารู้ว่า จิตวิญญาณเป็นที่ให้ชีวิต
การอธิษฐาน การนมัสการเป็นงานหลักฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นที่ให้มีชีวิตแก่มนุษย์ทุกคน
“จิตวิญญาณเป็นที่ให้ชีวิต” หมายถึง จิตวิญญาณเป็นที่ให้ความสุข ให้ความสงบ ให้พระพร
“จิตวิญญาณ” เป็นส่วนที่ควบคุม “จิตใจ” และ “จิตใจ” เป็นส่วนที่ควบคุม “ร่างกาย”
เมื่อจิตวิญญาณดี ก็ส่งผลให้จิตใจดี และจิตใจดี ก็ส่งผลให้ร่างกายดีด้วย
การอธิษฐาน เป็นการเข้าไปถึงแก่นภายในจิตวิญญาณ เมื่อจิตดี ทำอะไรก็สบาย กินก็ง่าย นอนก็หลับ
แต่หากจิตวิญญาณไม่ดี ก็ส่งผลให้จิตใจและร่างกาย ไม่ดีไปด้วย

รม.14:17 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวจนะตอนนี้ สอนเราเรื่องแก่นสารของชีวิต
“แผ่นดินของพระเจ้า” คือ “แก่นสารของชีวิตมนุษย์”
แก่นชีวิตของคนเรา ไม่ใช่เรื่องวัตถุ ไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่คือ สันติสุขและความชื่นชมยินดี
ภายในจิตวิญญาณของเราต้องมีบ่อน้ำพุของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีในชีวิต
และเราสามารถรับสิ่งเหล่านี้จากสวรรค์ได้ ผ่านการอธิษฐานกับพระเจ้า
ถ้าเราเข้าใจเรื่องการอธิษฐานอย่างถูกต้อง การอธิษฐานจะเป็นโอกาสและสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้าพระเจ้า
การอธิษฐานจะไม่ใช่ยาขม หรือสิ่งที่เราจำทนต้องทำอีกต่อไป

1.3 การอธิษฐานทำให้เราได้รับกำลัง
ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

กจ.1:8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
การอธิษฐานทำให้เราได้รับกำลังจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาอยู่เหนือเรา เมื่อเราอธิษฐาน
และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่เหนือเรา เราจะรับฤทธิ์เดช กำลังและพลังฝ่ายวิญญาณ
ดังนั้น การเข้าไปสู่พลังและการเจิมของพระเจ้า จึงเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียน

1.4 การอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง ทำให้คำอธิษฐานของเราไปถึงพระเจ้า
กจ.10:4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า นี่เป็นประการใดพระเจ้าข้า ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึงแล้ว
การอธิษฐานด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คำอธิษฐานนั้นไปถึงพระเจ้า
และพระองค์จะทรงตอบเรา อย่างที่ตอบโครเนลิอัส
เมื่อเราไม่ได้อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องด้วยความเข้าใจ ทำให้คำอธิษฐานของเราไปไม่ถึงพระเจ้า
วว.8:4 และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
การอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง คำอธิษฐานนั้นจะลอยไปเป็นควันหอมต่อพระพักตร์พระเจ้า
แต่ต้องเป็นคำอธิษฐานที่ถูกต้อง ด้วยการเข้าใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้าและการอธิษฐานนั้นเป็นสิทธิพิเศษจากสวรรค์
เมื่ออธิษฐาน ร่างกายของเราอยู่ในโลก แต่จิตวิญญาณของเราไปถึงพระเจ้า เป็นพลังมหาศาล

1.5 มารจะพยายามขัดขวางการอธิษฐานของเรา
มารไม่อยากให้ใครอธิษฐานกับพระเจ้า เพราะเมื่อเกิดการอธิษฐานจะเป็นเหมือนการเปิดสวิตซ์ไฟต่อกับพระเจ้า
เป็นการชาร์ตแบตเตอร์รี่ เป็นการรับกำลังฝ่ายวิญญาณ
ดนล.10:13 เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน แต่มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมา ช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่นั่นให้อยู่กับเจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย
อย่างที่พระธรรมเอเฟซัสได้กล่าวแล้วว่า เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่เราต่อสู้กับเทพผู้ครอง ฯลฯ
เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย เป็นวิญญาณที่ครอบครองอยู่เหนืออาณาจักรเปอร์เซียได้ยับยั้งคำอธิษฐานของดาเนียล
พระเจ้าต้องส่งทูตสวรรค์มีคาเอลไปช่วย
ในยุคนี้พระเจ้าอยู่กับเราทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราอธิษฐานแม้จะเจอการขัดขวางของมารซาตาน
แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้เราชนะสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ โดยการอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ ซึ่งเป็นภาษาใจ
ร่วมกับการอธิษฐานด้วยภาษาความคิด คือ ภาษาต่างๆ ของมนุษย์

2. ภาพรวมของภาษาแปลกๆ หรือภาษาสวรรค์
2.1 ภาษาแปลกๆ เป็นหมายสำคัญอย่างหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานให้เมื่อเกิดความเชื่อ
มก.16:17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
การอธิษฐานด้วยภาษาของมนุษย์ (ภาษาความคิด) ร่วมกับภาษาแปลกๆ (ภาษาใจ)
รวมกับจิตใจที่แสวงหาพระเจ้า คำอธิษฐานนั้นจะทะลุทะลวงมารซาตาน รวมทั้งทะลุทะลวงเนื้อหนังของเราด้วย
เราจะสามารถเอาชนะมาร และเอาชนะตัวเองได้

ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

2.2 ภาษาแปลกๆ เป็นภาษาฝ่ายวิญญาณ เป็นภาษาสวรรค์
1คร.14:2 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใด ที่พูดภาษาแปลกๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายพระวิญญาณ
ภาษาแปลกๆ เป็นภาษาฝ่ายวิญญาณ เป็นภาษาสวรรค์
เมื่อมีการพูดภาษาแปลกๆ ไม่ได้เป็นการพูดกับมนุษย์ แต่เป็นการพูดกับพระเจ้า
ภาษาแปลกๆ ไม่มีคำแปล ไม่มีดิกชันนารีเล่มไหนสามารถแปลเป็นภาษาของมนุษย์ได้
พระเจ้าประทานภาษาแปลกๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการอธิษฐานของคริสเตียน
เนื่องจากภาษาแปลกๆ นี้ มนุษย์ด้วยกันไม่สามารถฟังได้รู้เรื่อง และที่สำคัญมารซาตานก็ฟังไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน
เมื่อเราจะอธิษฐานเผื่อใคร เกี่ยวกับเรื่องไม่ดีในตัวเขาก็ให้ใช้ภาษาแปลกๆ (เพราะผู้นั้นจะไม่เข้าใจ)
เมื่อเราจะอธิษฐานบางเรื่องที่ไม่อยากให้มารรู้และไม่สามารถขัดขวางในเรื่องนั้นๆ ได้ ให้ใช้ภาษาแปลกๆ
ภาษาแปลกๆ เป็นภาษาสวรรค์ เป็นภาษาใจที่พระเจ้าเท่านั้นสามารถรับรู้ได้ว่าหมายความว่าอย่างไร

1คร.14:14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆใจของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์
ภาษาแปลกๆ เป็นภาษาใจ ไม่ใช่ภาษาความคิด
ภาษาความคิด คือ ต้องคิดก่อนจึงจะเปล่งคำพูดออกมาได้
การอธิษฐานโดยภาษาความคิด คือ การอธิษฐานโดยภาษาต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ไทย จีน อังกฤษ เกาหลี เป็นต้น
แต่ภาษาแปลกๆ เป็นการใช้ใจอธิษฐาน ... เป็นภาษา มีเสียง แต่ความคิดไม่มีประโยชน์อะไรในช่วงเวลานี้
เป็นความล้ำลึกที่เราทูลต่อพระเจ้า

2คร.12:2-4 ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม
เมื่อเปาโล ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ทั้งๆ ที่เป็นอยู่ ทำให้เห็นว่าบนสวรรค์ก็ใช้ภาษาสวรรค์ ไม่ใช่ภาษาของโลกนี้
เป็นภาษาที่มีเสียง เปาโลได้ยิน แต่พูดเป็นคำไม่ได้

การพูดภาษาแปลกๆ ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์นี้ ก็มีข้อควรระวังในการใช้เช่นเดียวกัน
คือ เราควรพูดเป็นภาษาแปลกๆ ในเวลาส่วนตัว ไม่ใช่พูดภาษาแปลกๆ ในที่ประชุม
1คร.14:18-19 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆมากกว่าท่านทั้งหลายอีก แต่ว่าในคริสตจักรข้าพเจ้าพอใจที่จะพูดสักห้าคำด้วยความคิด เพื่อเป็นคติแก่คนอื่นดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ
เปาโล พูดภาษาแปลกๆ เพื่อรับกำลังจากพระเจ้าในการอธิษฐานส่วนตัว
แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูดในที่ประชุม ท่านใช้คำพูดภาษาความคิด คือ พูดภาษาต่างๆ ในโลกเพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้

3. องค์ประกอบในการพูดภาษาแปลกๆ
การพูดภาษาแปลกๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รับกำลังฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า
ถึงกระนั้น การที่เราจะพูดหรืออธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ ได้ก็จำเป็นต้องมีองค์ประกอบต่างๆ ด้วย
3.1 ต้องพูดด้วยความเชื่อ
มก.16:17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มีคนเชื่อที่ไหน มีความเชื่อที่ไหน หมายสำคัญจะเกิดขึ้น ทั้งการขับผีออกได้ และการพูดภาษาแปลกๆ
ความเชื่อในที่นี้ หมายถึง การเชื่อฟังพระเจ้า และพูดด้วยความเชื่อของเขา
สิ่งที่ต้องเน้น คือ ประสบการณ์ในการพูดภาษาแปลกๆ ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
เราไม่สามารถนำประสบการณ์ของใครมาเป็นมาตรฐานในการพูดภาษาแปลกๆ ได้
เมื่อใดที่เรามีความเชื่อในพระเจ้า และกล้าที่จะพูดด้วยความเชื่อ เมื่อนั้นเราจะมีประสบการณ์เป็นของตัวเอง

3.2 ต้องพูดด้วยความเข้าใจ
1คร.14:2 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใด ที่พูดภาษาแปลกๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายพระวิญญาณ
1คร.14:14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆใจของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์
เป็นการพูดด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด เพราะไม่ใช่ภาษาคิด
เราทุกคนคงมีประสบการณ์ที่อยากจะอธิษฐานและอยู่กับพระเจ้านานๆ แต่หมดคำพูดในภาษาของมนุษย์
เมื่อนั้นแหละที่เราต้องพึ่งพาภาษาแปลกๆ ภาษาใจ เพื่อจะอยู่กับพระเจ้าได้นานขึ้น
เมื่อเราพูดภาษาแปลกๆ พระเจ้าจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

3.3 เมื่อพูดภาษาแปลกๆ ต้องนึกถึงพระลักษณะของพระเจ้า
การอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ เป็นภาษาสวรรค์ ดังนั้น เมื่ออธิษฐานภาษาสวรรค์ เราต้องนึกถึงเจ้าของสวรรค์ คือ พระเจ้า
อธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ และในใจนึกถึงพระลักษณะอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่เรานึกถึงนั้น จะอยู่กับเราและตอบต่อคำอธิษฐานของเรา
ตัวอย่างพระลักษณะของพระเจ้าจากพระวจนะ
1ทธ.6:15-16 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควรพระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
พระเจ้าผู้เสวยสุข, พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด, พระเจ้าผู้ทรงเป็นมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง และพระเจ้าผู้ทรงอมตะ ... นี่คือพระลักษณะพระเจ้า

กจ.17:24-26 พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้ พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
นี่เป็นพระวจนะอีกตอนที่ทำให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า

3.4 เมื่อพูดภาษาแปลกๆ ต้องคิดถึงพระสัญญาของพระเจ้า
การอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ใช่อธิษฐานอย่างเพ้อเจ้อ และไม่เพียงต้องนึกถึงพระลักษณะของพระเจ้าเท่านั้น
แต่เรายังต้องคิดถึงบรรดาพระสัญญาต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อด้วย
ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในชีวิตของเรา ต้องอธิษฐานด้วยการอ้างพระสัญญา
ตัวอย่างพระสัญญาของพระเจ้า
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเราเกิดความกลัวว่าจะผิดพลาด ล้มเหลว หรือพินาศ
ต้องอ้างสัญญา เพราะพระเจ้าสัญญาว่าแกะของพระเจ้าจะไม่พินาศเลย
สดด.23:4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระ องค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
เมื่อเราต้องเดินอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช เต็มไปด้วยปัญหา
ต้องอ้างสัญญา เพราะพระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงสถิตอยู่ด้วย และจะช่วยเราเสมอ

3.5 เราสามารถพูดภาษาแปลกๆ ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์
เราสามารถใช้ภาษาแปลกๆ ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่และทุกสถานการณ์
ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคที่จะขัดขวางการอธิษฐานของเราได้
เพียงแต่เราจะใช้ภาษาแปลกๆ ได้ง่ายที่สุด คือ ใช้ในการนมัสการและการอธิษฐาน
เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีคำแปล แต่เป็นคำที่พระเจ้าสามารถเข้าใจเราได้
1ธส.5:17 จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ

3.6 การพูดภาษาแปลกๆ ในการนมัสการ เป็นการแสดงถึงความผูกพันกับพระเจ้า
การผูกพันกับพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ การที่เราอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอทุกเวลา
ไม่ใช่เวลาที่อยู่โบสถ์เท่านั้น แต่เวลาส่วนตัวเราต้องจัดให้กับพระเจ้าด้วย
สดด.91:14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
การผูกพันกับพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์และความรู้สึก แต่ต้องเป็นพฤติกรรมที่แสดงออก
ความรักที่ไม่แสดงออก ถือเป็นการฆาตกรรม
ความรักของเราต้องแสดงออก เป็นการใส่ใจความรู้สึก เป็นการพูดคุย
รักพระเจ้า ต้องพูดคุยกับพระเจ้า ต้องสนทนากับพระเจ้า
พระพรของการผูกพันตัวกับพระเจ้า มี 8 ประการ
สดด.91:14-16 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา
(1) พระเจ้าจะช่วยกู้เรา
(2) พระเจ้าจะป้องกันเรา
(3) เมื่อเราร้องทูลพระเจ้าจะตอบ
(4) พระเจ้าจะอยู่กับเราในยามยากลำบาก
(5) พระเจ้าจะช่วยเราให้พ้น
(6) พระเจ้าจะให้เกียรติเรา
(7) พระเจ้าจะให้เราอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว
(8) พระเจ้าจะสำแดงความรอดแก่เรา

3.7 เมื่ออธิษฐานต่อเนื่อง คำอธิษฐานของเราจะไปถึงพระเจ้า
กจ.10:4,30-31 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า "นี่เป็นประการใดพระเจ้าข้า" ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า "คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึงแล้ว, โครเนลิอัสจึงตอบว่า "สี่วันมาแล้ว

ภาษาแปลกๆ ภาษาสวรรค์ -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในตึกของข้าพเจ้า ราวเวลานี้เอง คือบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับผู้นั้นได้กล่าวว่า "โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นพระเจ้าทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงระลึกถึง
การอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นเวลานานด้วยความรักและผูกพันกับพระเจ้า
คำอธิษฐานนั้นจะไปถึงพระเจ้า และเป็นเหตุให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา
เรื่องของการอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง ต้องยกให้ประเทศเกาหลีใต้ เขามีภูเขาอธิษฐานที่ผู้เชื่อเวียนกันมาอธิษฐาน
ตลอดวันตลอดคืนไม่หยุดหย่อน ... ถ้าเราเป็นพระเจ้าเราก็ต้องตอบเขา
ด้วยเหตุนี้ เกาหลีใต้จึงมีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้านอย่างรวดเร็ว เพราะคำอธิษฐานของเขาไปถึงพระเจ้า

3.8 การอธิษฐาน ทำให้ชีวิตเราจะมีพลัง
การอธิษฐาน ทำให้ชีวิตเรามีพลัง สามารถเอาชนะในสงครามฝ่ายวิญญาณได้
อฟ.3:20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา
การอธิษฐาน ทำให้เราได้มากกว่าที่เราขอหรือคิดได้
พระเจ้าจะกระทำงานของพระองค์ผ่านคำอธิษฐานของเรา
ยน.14:20 ในวันนั้นท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน
สิ่งเดียวที่พาเราไปอยู่ในพระเจ้าได้ คือ การอธิษฐาน
การนมัสการและอธิษฐานตลอดเวลา จะทำให้เราอยู่ในพระเยซูและพระเยซูอยู่ในเรา

ทั้งหมดเป็นเพียงภาพรวมแบบกว้างๆ เท่านั้น ที่ทำให้เรามองภาพของการอธิษฐานและภาษาแปลกๆ ได้เข้าใจขึ้น
ยังมีเรื่องราวของพระเจ้าอีกมากมายให้เราต้องเรียนรู้ทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องภาษาแปลกๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสเตียน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อได้อ่านแล้วเราจะเข้าใจมากขึ้น เพราะการเข้าใจมากขึ้น ทำให้เราเข้าถึงพระเจ้าได้มากขึ้นเช่นกัน