Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ สู่ความเป็นเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ สู่ความเป็นเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”

ฟป.3:12-16 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้วดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วยแต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป
เปาโล มีชีวิตที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ ท่านไม่ถือว่าตัวเองได้บรรลุจุดสุดยอดหรือจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้น รวมถึงในสมัยนี้เอง หาใครเทียบกับท่านเปาโลไม่ได้เลย แต่ยังคงเดินหน้าพัฒนาตนเองต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่คริสเตียนทุกคนควรยึดถือ และปฏิบัติตาม
คำว่า “ดี” “ดีกว่า” และ “ดีเลิศ” คือ มาตรฐานชีวิตคริสเตียน และมาตรฐานในการทำงานทุกด้าน
กิริยาสามช่องในภาษาอังกฤษ ต้องเกิดในชีวิตคริสเตียนอยู่เสมอ คือ ดี ดีขึ้น และดีที่สุด
ชีวิตคริสเตียน ต้องมีความเป็นเลิศทั้งด้าน “ชีวิต” คือ คุณธรรม ศีลธรรม ความคิด ความรู้ และเป็นเลิศทั้งด้าน “การทำงาน” คือ ความสามารถ ปัญญา การบริหารจัดการ
พระวจนะตอนนี้ และชีวิตของเปาโลสอนเรา

ข้อคิดเกี่ยวกับความเป็นเลิศจากพระวจนะของพระเจ้า
1. มธ.22:37 ...จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
แนวคิดของพระเจ้า คือ ถ้าจะรักพระเจ้า ต้องรักให้ “สุด” คือ สุดใจ สุดจิต สุดความคิด
รักพระเจ้าต้องให้สุด ไม่ใช่ส่วน ไม่ใช่เศษ ไม่ใช่ค่อนหนึ่ง
คนของพระเจ้าจะทำอะไรต้องทำให้สุด นี่คือแนวคิดของความเป็นเลิศ

2. มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนดี และไม่เพียงดีเท่านั้น
แต่ต้องดีอย่าง “รอบคอบ” ต้องดีเหมือนพระเจ้า รอบคอบเหมือนพระเจ้า

3. ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"
มนุษย์เป็นพระฉายพระเจ้าของพระเจ้า
พระฉาย คือ ปัญญา และความสามารถ
พระฉาย คือ รูปเหมือน ... เราเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า ต้องเหมือนพระเจ้า (อย่าเหมือนผี)
แต่การเหมือนพระเจ้านั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นพระเจ้า
เราเก่งอย่างพระเจ้า มีปัญญาอย่างพระเจ้า มีความสามารถอย่างพระเจ้า และต้องเป็นเลิศอย่างพระเจ้าด้วย
ดังนั้น คนที่เป็นคริสเตียน ประเทศที่เป็นคริสเตียน จึงเป็นกลุ่มที่พัฒนาโลก



คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

4. ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
พระเจ้าระบายลมปราณให้มนุษย์ เราเป็นผู้มีลมปราณของพระเจ้า
“ลมปราณ” ของพระเจ้า คือ คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมในชีวิตของมนุษย์
ดังนั้น คริสเตียน คุณธรรมต้องสูงกว่าคนนับถือศาสนาทั่วไป
เช่น ทำดีแม้ไม่มีใครเห็น ทำดีแม้ไม่มีใครชม และแม้กระทั่งโดนด่า ยังทำดี
นี่คือ มาตรฐานของคริสเตียน
เราไม่ข่มใคร แต่ตั้งใจดำเนินชีวิตมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ

5. ยน.15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา
ตราตำแหน่งการเป็นคนของพระเจ้า คือ การเกิดผลมาก
เมื่อเราเกิดผลมาก พระเจ้าจึงจะรับพระเกียรติ และเราจึงจะเป็นสาวก
การเกิดผลในที่นี้ ต้องเป็นการเกิดผลทั้งด้านปัญญา ด้านคุณธรรม และด้านความสามารถ

6. อฟ.3:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
เป้าหมายในการตั้งคริสตจักร ในการตั้งผู้รับใช้ของพระเจ้า ก็เพื่อถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่
การเป็นผู้ใหญ่ในทัศนะของพระคัมภีร์ คือ เป็นผู้ใหญ่ใน 3 ระดับ ดังนี้
1) เป็นผู้ใหญ่ 2) เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ 3) เป็นผู้ใหญ่ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์
มาตรฐานของพระเจ้าสูง เป็นผู้ใหญ่ไม่พอ ต้องเป็นผู้ใหญ่ถึงความไพบูลย์ จึงจะเรียกว่าเป็นเลิศ

7. 5 สถานภาพของผู้เชื่อ คือ เส้นทางสู่ความเป็นเลิศของชีวิตคริสเตียน
1) เป็นบุตรที่ดี
2) เป็นทายาทที่สง่างาม คนหวังได้ทั้งชีวิต ความคิดและความรู้
3) เป็นเจ้าสาวที่สมเกียรติพระเจ้า
4) เป็นพระกายที่ทำแทนพระเจ้า ปากเรา คือ พระโอษฐ์พระเจ้า มือเรา คือ พระหัตถ์พระเจ้า
5) เป็นสหายที่เคียงคู่พระเจ้า

8. มธ.13:31-32 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช {ตามภาษากรีกว่าเมล็ดผักกาด ซึ่งในประเทศปาเลสไตน์ต้นผักกาดบางต้นขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน} เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"
ชีวิตคริสเตียน เริ่มต้นจากเมล็ดเล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่กว่าต้นทั้งปวงจนนกมาทำรัง
ข้อคิด คือ ตอนเป็นเมล็ดเล็กๆ ก็เป็นอาหารของนก
แต่เมื่อปลูกจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ แม้นกก็ต้องมาอาศัยทำรัง พึ่งพาอาศัย
นี่เป็นคำตอบว่า ทำไมคริสเตียนถึงเจริญ ... ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือชาติไหน แต่เจริญชาตินี้แหละ
คริสเตียนที่ไม่เติบโต แสดงว่า คริสตจักรและพี่เลี้ยงบกพร่อง เลี้ยงไม่ดี

9. มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เห็นการดีที่เราทำ คือ เห็นผลงาน ... เขาจะได้สรรเสริญพระเจ้าพระบิดา
เพราะไม่มีใครเห็นพระเจ้า แต่คนอื่นเห็นเรา เห็นผลงานของเราได้
ถ้าเราบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ถามว่า ใครเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในผลงานของเราบ้าง?

แนวคิดจากพระวจนะในเรื่องความเป็นเลิศนี้ ไม่ได้เป็นคำสอนที่เกินจริง
เป็นแนวทางที่เป็นไปได้ เราทำได้ เราต้องมีกำลังใจที่จะมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศให้ได้

ขบวนการสู่ความเป็นเลิศ
คือ ขบวนการขยายความคิด ขยายความเข้าใจ
ปราศจากความคิดที่ถูกต้อง ความคิดไม่หลากหลาย และความเข้าใจไม่มาก ไม่มีทางไปสู่ความดีเลิศได้
เป็นได้แค่ดี และดีกว่า และดีเลิศ เป็นไม่ได้

1. ต้องเป็นผู้ที่พร้อมจะให้
กจ.3:1-6 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทานฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า "จงดูเราเถิด"คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่านเปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"
พระวจนะตอนนี้ ขอทานมาขอเงินจากอัครทูต ... ตอนนั้นอัครทูตไม่มีเงิน จนเงิน แต่ไม่จนฤทธิ์เดช
ท่านกล่าวว่า เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน ...
ขอทานที่เป็นง่อย ไม่ได้เงินจากอัครทูต แต่เขาได้การหายโรค หายง่อย เดินได้
สิ่งที่เขาได้ มากยิ่งกว่าสิ่งที่เขาขอเสียอีก

พระคำพระเจ้าสอนเรา ... ทุกคนมีที่จะให้ และสิ่งที่เรามี เราจะต้องให้ออกไป
ไม่มีเงิน แต่มีรอยยิ้ม มีความเข้าใจ มีกำลังใจที่จะมอบให้กับผู้อื่น
ไม่ต้องจบสูง ก็สามารถหนุนใจผู้อื่นได้
ถ้าหัวใจเราถูกสร้างให้พร้อมที่จะให้ อยู่ที่ไหนก็เจริญ อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก อยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นเลิศได้

ข้อคิดเกี่ยวกับการให้
1.1 การให้ ... ต้องให้จาก “หัวใจ” มิใช่ “จำยอม”
2คร.9:7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
หลักการให้ที่เป็นเลิศ คือ ให้ด้วยหัวใจ มิใช่จำยอม หรือจำใจต้องให้
คนที่รับของจากเรา สัมผัสได้ว่า เราให้ด้วยใจหรือไม่?
เราทุกคนมีกลิ่นบางกลิ่นเสมอ บางคนมีกลิ่นของความขี้เหนียว บางคนมีกลิ่นของความเมตตา
กลิ่นของเรานั่นแหละ ทำให้คนสัมผัสได้
ใครก็ตามให้ด้วยใจยินดี เขาคนนั้นก็สามารถเดินเข้าสู่ความเป็นเลิศได้

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1.2 การให้ ... ต้องให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ขอบเขต ผู้ให้จึงจะมีความสุข
การตั้งเงื่อนไข เพื่อจะให้ ไม่ใช่การให้ที่แท้จริง
เช่น จะให้ก็ต่อเมื่อเขาทำดีต่อเรา, จะให้ก็ต่อเมื่อเขาไม่นินทาเรา
เงื่อนไขเต็มไปหมด ... ยากสู่การพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศ
พระเจ้าทรงเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด รักเรา โดยปราศจากเงื่อนไข ให้เรา โดยปราศจากเงื่อนไข
การให้เช่นนี้แหละ หัวใจผู้ให้จะเป็นสุขที่สุด

1.3 การให้ ... เมื่อให้แล้วต้อง “อย่าสงสัย”
บางคนให้ไปแล้วยังสงสัยว่า ... เขาจะจำผู้ให้ได้หรือไม่? เขาจะนำไปใช้อย่างถูกต้องหรือไม่?
การให้ด้วยนึกสงสัย ทำให้เราไม่ได้รับพระพร
หลักการให้นั้น เมื่อให้ออกจากมือเราแล้ว ของสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป กลายเป็นของผู้ที่เราให้
ดังนั้น เมื่อเป็นของเขาแล้ว เราอย่าสงสัยเลยว่าเขาจะเอาไปใช้อย่างไร

1.4 การให้ คือ การเปลี่ยนวิถีของโลก
การให้ เปลี่ยนวิถีของโลก เปลี่ยนความคิดอย่างที่เราเคยเป็น
เริ่มจากเปลี่ยนแปลงโลกของเราก่อน สิ่งที่เราเคยเป็น สิ่งที่เราเคยรู้สึก เราต้องเปลี่ยน
แล้วจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกคนอื่น
คนดี คนที่สามารถให้โดยไม่มีเงื่อนไข ให้อย่างถูกต้อง จะเปลี่ยนแปลงโลกของคนอื่นตลอดกาล
แม้ตายไปแล้ว แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลก เช่น
- ข้าวของเครื่องใช้ของมหาตมะ คานธี ยังมีคนประมูลซื้อไปด้วยราคาที่แสนแพง
- ตะปูที่ตอกพระเยซู กางเขนที่ตรึงพระเยซู จอกน้ำองุ่นในพิธีมหาสนิทครั้งสุดท้าย เป็นของที่มีมูลค่าสูง
- แม้กระทั่งผม หรือกระดูกของพระพุทธเจ้า ผู้คนก็เคารพศรัทธา กราบไหว้
สอนเราว่า “ทุกสิ่งของคนดี มีค่าเสมอ”

1.5 จะเป็นผู้ให้ได้ ต้องพร้อมเปลี่ยนวิธีคิด
การคิดอย่างเดิม คิดแบบเก่า ทำให้เราให้ได้บ้าง แต่ก็เป็นการให้อย่างจำกัด
วิธีคิดที่ดีที่สุด คือ คิดอย่างพระเจ้า คิดอย่างพระคัมภีร์
เรามองไม่เห็นพระเจ้า แต่เรามองเห็นพระคัมภีร์ๆ นั่นแหละ คือ พระเจ้า
เราจะให้ได้อย่างไม่จำกัด ต้องเปลี่ยนวิธีคิดไปคิดอย่างพระเจ้า ไม่ใช่คิดอย่างคน

1.6 จะเป็นผู้ให้ได้ ต้องเปิดมุมมองให้กว้างกว่าเดิม
เปิดมุมมองให้กว้างกว่าเดิม คือ ต้องรักโลก รักสิ่งรอบข้าง รักตัวเอง แต่ไม่เห็นแก่ตัว

ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระเจ้าทรงรักโลก คือ รักทั้งโลก รักทุกคน
เราเป็นลูกพระเจ้า ต้องรักคนรอบข้าง รักแม้คนที่ไม่น่ารัก
รวมทั้งรักสิ่งรอบข้าง รักสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มองอะไร เห็นอะไรก็น่ารักหมด แม้คนทำน่าเกลียด ก็ยังมีบางส่วนที่น่ารัก
ถ้าเราเข้าใจ หัวใจเราจะให้อย่างเสรี
ผลการให้อย่างถูกต้อง ตามแนวคิดของพระเจ้า
คือ มีความสุขทั้งผู้ให้ และผู้รับ

2. ต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อ ... เชื่อจึงเห็น เห็นจึงเชื่อ
มก.11:21-24 ฝ่ายเปโตรระลึกขึ้นได้จึงทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ขอทอดพระเนตรต้นมะเดื่อที่พระองค์ได้สาปไว้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว" พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า "จงเชื่อในพระเจ้าเถิดเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงลอยไปลงทะเล" และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริงเหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
คนที่จะมุ่งสู่ความเป็นเลิศได้ ต้องมีความเชื่อ
เพราะนักวิทยาศาสตร์เชื่อในบางอย่าง จึงทำการพิสูจน์ เราจึงมีผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์มากมาย
เพราะโคลัมบัส เชื่อว่ามีทวีปใหม่ จึงเดินทางไปและในที่สุดก็เจอทวีปอเมริกา
เพราะเชื่อ จึงพิสูจน์ ... เพราะคริสเตียนเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เราจึงปฏิบัติตามนั้น
เพราะเชื่อ จึงได้เห็น และ เพราะเห็น จึงได้เชื่อ

พระเยซูตรัสว่า ถ้าเราเชื่อเราจะเคลื่อน “ภูเขา” ได้
ภูเขา คือ ปัญหา อุปสรรคที่ใหญ่เกินกำลังของเรา
ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าที่มองไม่เห็น แต่ปฏิบัติตามถ้อยคำของพระองค์
แม้ปัญหาใหญ่ เราก็สามารถแก้ไขได้
แต่หลักความเชื่อ เราต้องเชื่อในสิ่งที่จริงด้วย ไม่ใช่เชื่อลมๆ แล้งๆ

2.1 ถ้าไม่มี “ความเชื่อ” จะ “เห็น” ก็ลำบาก
ไอน์สไตน์ กล่าวว่า ชีวิตมี 2 แบบ ให้เลือก
แบบหนึ่ง คือ ไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์ อีกแบบ คือ ทุกสิ่งล้วนอัศจรรย์

ชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์ คือ ชีวิตที่ไม่มีความเชื่อ
เมื่อไม่เชื่อ ก็ไม่ค้นหา เมื่อไม่ค้นหา ก็ไม่ทางเจอการอัศจรรย์
ไม่มีความเชื่อ ก็หยุดเปิดตา หยุดการค้นหา หยุดการเติบโต
แต่ชีวิตของไอน์สไตน์ พิสูจน์ถึงความอัศจรรย์ของพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งล้วนอัศจรรย์
เรื่องความเชื่อนี้ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกทาง
เช่น เราเชื่อว่าเราจะเกิดผล เราจึงทำงานทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทำอย่างมีความหวัง
จึงกล่าวว่า “ถ้าไม่มีความเชื่อ การจะมองเห็นก็เป็นเรื่องลำบาก”

2.2 ถ้าไม่มี “ความเชื่อ” ก็ไม่มีความสามารถ
เพราะความไม่เชื่อ จึงทำให้ไม่มีความสามารถ
ไม่สามารถมองเห็นปัญหาได้อย่างถ่องแท้ ไม่สามารถทำความเข้าใจกับปัญหาได้
เมื่อไม่เข้าใจปัญหา ก็เอาชนะปัญหาไม่ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความเชื่อ ทำให้เรามองเห็นหนทาง เมื่อมองเห็นหนทาง จึงลงมือทำงาน เมื่อลงมือชำนาญ จึงมีความชำนาญ
“ไม่มีใครเก่งมาจากท้องแม่ ทุกคนเก่งนอกท้องแม่กันทั้งนั้น”
“เขาก็คน เราก็คน เขาทำได้เราก็ต้องทำได้”
คิดอย่างคนมีความเชื่อ นำเราสู่ชัยชนะของชีวิตได้
ชีวิตมีปัญหา แต่เราไม่ท้อ เพราะเราทำความเข้าใจกับปัญหาได้
เมื่อเราเข้าใจปัญหา เราก็เอาชนะปัญหาได้
เราต้องเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในตัวเอง ... เราทำได้ เราเป็นได้
ความเชื่อ ทำให้เราเข้าใจปัญหา เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย
เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก และไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

2.3 ความเชื่อศรัทธา ทำให้เราสามารถต่อยอดและต่อให้ติด
ความเชื่อศรัทธา ทำให้เราสามารถต่อยอดจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วให้มีมากขึ้น
ต่อยอดสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ให้ดีมากขึ้น และให้ดีที่สุด
ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการต่อยอดเท่านั้น
แต่เรายังมีความสามารถให้การต่อให้ติดอีกด้วย
นำสิ่งที่รู้มากขึ้น มาเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น ส่งผลให้ชีวิตของเราก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด

2.4 ความเชื่อศรัทธา ทำให้เรามีความเข้าใจ ไม่ดันทุรังทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และไม่ถนัด
เมื่อมีความเชื่อ ก็เกิดการมองเห็น เมื่อเกิดการมองเห็น ก็เกิดความเข้าใจ
ความเชื่อจะพาเราไปสู่ความเข้าใจในทุกเรื่อง
การดันทุรังทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และไม่ถนัด ผล คือ เสียความรู้สึก และเสียเวลา
ความรู้สึกดีๆ และเป็นเวลา เป็นของมีค่า เราไม่ควรเสียมันไปเพราะความไม่เข้าใจและความไม่เชื่อ

2.5 มีความเชื่อศรัทธา จะทำอะไรให้สำเร็จก็ทำได้
มก.11:24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น

3. ต้องเป็นผู้ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เราเคารพคนดี แต่ดีอย่างเดียว ไม่พัฒนา ก็ไม่เกิดประโยชน์
ชีวิตเราจะก้าวไปสู่ความเป็นเลิศได้ ต้องพัฒนา และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3.1 คนที่พัฒนาอยู่เสมอ จะก้าวไปไกลกว่าคนอื่น
พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความดีเลิศ
ลูกของพระเจ้าควรเป็นคนแห่งความดีเลิศด้วย
และความดีเลิศนี่แหละ นำให้เราก้าวไปไกลกว่าคนอื่น

3.2 นิยามของการพัฒนา คือ มีความฝันที่จะก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 8 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เราจะพัฒนาได้ ต้องมีความฝัน ... แต่เป็นฝันที่ต้องลงมือกระทำ
เราจะก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เมื่อเราเปิดหัวใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก
การยอมรับ ไม่ได้หมายถึง เดินตามทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ขวางทุกเรื่อง
รถแรง จำเป็นต้องมีเบรคดี ... แต่ถ้าเหยียบเบรกอยู่ตลอดเวลา รถก็เดินหน้าไม่ได้

การยอมรับ คือ ยอมรับในสิ่งที่ดี ยอมรับในสิ่งที่เราเห็น และยอมรับในสิ่งที่มันเป็น
คนมีปัญญา จะฟังทุกเสียง แต่ไม่ทำตามทุกเสียง

3.3 คนที่พัฒนาจะไม่หยุดอยู่กับที่ จะไม่คิดว่าตนถึงจุดสุดยอดแล้ว
เปาโล เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
ฟป.3:12-13 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้วดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
ไม่ได้ถือว่าข้าพเจ้าได้แล้ว ... แม้ได้มามากแล้วก็ตาม
ไม่ได้ถือว่าข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว ... แม้สำเร็จมาหลายเรื่องแล้วก็ตาม
แต่บากบั่น มุ่งไปสู่ความสำเร็จมากขึ้น สู่ความดี และดีเลิศมากขึ้น
เพราะโลกเป็นตำราเล่มใหญ่ มีเรื่องให้เรียน ให้รู้ ให้ค้นหา ให้ไขว่คว้าไม่รู้จบ
จักรวาลและความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
เรียน คือ คิด ไม่ใช่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
เรียน คือ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสังเกต

ผู้เชื่อเป็นเกลือและแสงสว่างของโลก แม้พัฒนามาตลอดแล้ว ยังต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุด
เพื่อจะเป็นประโยชน์ของโลก และถวายเกียรติพระเจ้า
มธ.5:13-16 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

No comments:

Post a Comment