Monday, April 25, 2011

ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี

ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ชีวิตเหนือความสำเร็จ ” ตอน “ ความเป็นกำหนดความมี ”

หลักใหญ่ๆ ของการที่เรามีชีวิตเหนือความสำเร็จ ประกอบด้วย
หลัก 7 ส. คือ สำเร็จ สุข สงบ สะอาด สว่าง สาระ และสร้างสรรค์
เราต้องมี 7 ส. ดังกล่าว จึงจะสามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า “ชีวิตเราอยู่เหนือความสำเร็จ”

หลัก 5 อารักขา คือ อารักขาพระคัมภีร์ อารักขาชีวิต อารักขาเวลา อารักขาความสามารถ และอารักขาทรัพย์สิน
ถ้าเรามีความสามารถในการอารักขา ดังกล่าว ก็สามารถนำชีวิตของตนเองอยู่เหนือความสำเร็จได้

หลัก 3 องค์ประกอบ คือ ความสัมพันธ์ที่เราสร้าง, การตัดสินใจที่เราเลือก และการลงมือปฏิบัติของเรา
ถ้าเราทำองค์ประกอบทั้งสามนี้ให้ถูกต้อง เหมาะสม ชีวิตเราก็อยู่เหนือความสำเร็จเช่นกัน

ชีวิตของเราจะมุ่งไปสู่ 3 หลักข้างต้นได้ ต้องเริ่มต้นที่ “ความคิด” เพราะความคิด กำหนดชีวิต ถ้าเรามีหลักคิดที่ดี ชีวิตของเราก็ดีได้ หลักคิดที่ถูกต้องอีกประการหนึ่ง คือ “ความเป็น” กำหนด “ความมี”
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
เปาโล “เป็น” อย่างที่ท่านเป็นได้ เพราะพระเจ้า และเพราะท่านเป็น ท่านจึงสามารถกำหนดความ “มี” ของตัวเองได้
ชาวโลกพยายามมุ่งสู่ความสำเร็จด้วยตัวเอง แต่เราชาวสวรรค์ มีพระเจ้าช่วยเสริมให้เราสามารถประสบความสำเร็จดั่งที่เราหวังได้ สุดกำลังของเรา เข้าสู่กำลังของพระเจ้า

2คร.5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
เราต้อง “เป็น” คนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งใหม่ๆ จึงจะเกิดขึ้น
“ความเป็น” กำหนด “ความมี” เป็นความจริงอย่างที่สุด
มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะมีความสุข แต่เราจะมีไม่ได้เลย ถ้าเราเป็นคนไม่ดี หรือหลายคนอยากมีวัตถุมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่ขยัน หรือเป็นคนขี้เกียจ เราก็ไม่สามารถมีในทุกอย่างที่เราอยากมีได้
คำสอนนี้ จะทำให้เราไม่เกียจคร้าน ไม่มักง่าย และตระหนักว่า “ทุกอย่างย่อมได้มาด้วยความยากลำบาก”

“ความเป็น” กำหนด “ความมี”
เราต้องเป็นอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่อยู่เหนือความสำเร็จได้
1. การเป็นผู้มีอุปนิสัยดี
อุปนิสัย เป็นตัวกำหนดทุกอย่างในชีวิตของเรา
ต่อให้เรียนเก่ง หรือมีเงินมาก แต่นิสัยไม่ดี ก็ไม่มีคนคบ ไม่มีคนรับเข้าทำงาน
รม.12:2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
คนของพระเจ้าไม่ประพฤติตามอย่างคนในโลกนี้ แต่เราจะรับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยจากพระเจ้า

ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ทำอย่างพระเจ้า ทำอย่างพระคัมภีร์

ที่มาของอุปนิสัย คือ สิ่งที่ทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ทำจนเคยชิน
อุปนิสัยที่ดี ต้องมาจากการบังคับและการฝึกฝน เพราะธรรมชาติของมนุษย์ ชอบความสะดวกสบาย เอาแต่ใจตัวเอง
แต่คนจะมีอุปนิสัยดีได้ ต้องฝึกให้เคารพกฎ กติกา ต้องมีวินัย
จำไว้ว่า นิสัย กำหนดทุกอย่างในชีวิตเรา

1.1 เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่อุปนิสัยที่ดี ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา
อุปนิสัยดี ทำให้เราเป็นส่วนที่แก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหา
เช่น พูดผิดโดยไม่ตั้งใจ ทำให้อีกฝ่ายโกรธ ... ต้องรีบขอโทษทันที

1.2 คนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ไม่พอใจมากระทบเรา
ทุกสิ่งที่กระทบเรา จะวัดเรา สร้างเราและสอนเราเสมอ
สิ่งที่เราพอใจ มากระทบเรา ไม่สามารถทำให้เราเปิดเผยตัวจริงได้
แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งไม่พอใจมากระทบเรา เมื่อนั่นแหละตัวตนที่แท้จริงของเราจะเปิดเผย
เราทนได้หรือไม่ ผ่านได้หรือไม่ ยอมได้หรือไม่
ในแต่ละคนมีจุดอ่อนและจุดแข็งเสมอ และเราจะดูได้เมื่อสิ่งที่ไม่พอใจมากระทบ

1.3 มาตรฐานอุปนิสัย สำคัญยิ่งกว่า มาตรฐานทองคำ
ทุกรัฐบาล เมื่อจะมีการพิมพ์ธนบัตรก็ต้องมีทองคำ เป็นหลักประกัน
เพื่อไม่ให้ธนบัตร เป็นเศษกระดาษธรรมดา
โบราณว่า การเลือกคู่ อย่าเลือกด้วยตาเท่านั้น แต่ต้องเลือกด้วยหูด้วย
หมายถึง อย่ามองแค่ความสวยงามภายนอก แต่ให้ฟังว่าคนรอบข้างพูดถึงคู่เราอย่างไร
ดังนั้น คนจะพูดถึงเราในแง่ดี เมื่อเราสร้างตัวเองให้มีนิสัยดี
และนิสัยดีนี่แหละ มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

2. การเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า และมุ่งมั่น
ฟป.3:12-14 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
เราต้องเป็นคนมุ่งมั่น ทำดีที่สุด มุ่งสู่ความดีเลิศ
แต่อย่าทะเยอทะยาน หรือใฝ่สูง (เราต้องใฝ่ดี) อยู่ในความเพียงพอ และพอดี

2.1 มุ่งมั่น ไขว่คว้า หมายถึง ไม่มีความคิดที่จะหยุด
ตรงกับคำว่า KEEP WALKING คือ เดินต่อไป มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
แม้เราสำเร็จในจุดหนึ่งแล้ว แต่ตระหนักเสมอว่า เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่ใช่เห็นว่าสำเร็จแล้ว ก็พอแล้ว หยุดแล้ว เลิกแล้ว
ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ตราบใดมีเวลา มีความคิด มีความสามารถ ตราบนั้นเราจะเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์
มุ่งมั่น ไม่ได้หมายความว่า อวดความเก่งของตนเอง
แต่เป็นการบริหารเวลา ความสามารถให้มีค่าที่สุด (ตรงกันหลักการอารักขา)

2.2 มุ่งมั่น คือ การที่ได้เมล็ดพันธุ์มาแล้ว นำไปเพาะ รดน้ำ พรวนดิน ให้เติบโตเกิดผลต่อไปไม่สิ้นสุด
เราอาจจะเริ่มต้นด้วยมือเปล่า ไม่มีเมล็ดพันธุ์ใดๆ เลย
แต่เมื่อเรามีเมล็ดพันธุ์แล้ว อย่าพอใจเพียงแค่นั้น ต้องทำเมล็ดพันธุ์นั้นให้เกิดผลมากที่สุด
นำไปเพาะ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ให้มันเติบโต เพื่อเกิดดอกออกผลไปยังคนรุ่นหลัง
จึงจะสามารถกล่าวว่าเราเป็นคนที่มุ่งมั่นได้
ยน.15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา

2.3 ความมุ่งมั่น หรือมีความคิดก้าวหน้า
คือ การก้าวอย่างมั่นใจ ก้าวอย่างเข้าใจ โดยใช้สมองและใช้ปัญญา
การมุ่งมั่นนั้น ไม่ได้หมายถึง เพียงการเดินหน้าต่อไปไม่หยุดเท่านั้น
แต่ในการเดินนั้น ทุกย่างเก้าต้องมั่นใจ ต้องเข้าใจ ต้องมีข้อมูล อย่าเดินไปแบบคนโง่
... จะไม่ยอมเสียอะไรดีๆ ไปจนกว่าจะพบสิ่งดีกว่า ...

2.4 จะเป็นคนที่มีความก้าวหน้าได้ ต้องยอมรับการสร้าง
ยอมรับการสร้าง คือ การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เรียนไม่รู้จักจบ รับการฝึก รับการสร้าง รับการสอนอยู่เสมอ
เรียนจากสามัญชน จนเป็นปัญญาชนแล้ว ก็ยังไม่หยุดที่จะรับการสร้าง
แม้มีความคิดร่วมสมัยแล้ว ยังไม่พอ ต้องมีความคิดที่ล้ำสมัยด้วย
สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องรับการสร้าง เก่งอยู่แล้ว จะทำให้เราเก่งขึ้น ดีอยู่แล้ว จะทำให้เราดีขึ้น

3. การเป็นผู้ที่ไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น
เป็นคนไม่วิพากษ์วิจารณ์ หมายรวมถึง ไม่พูดหาเรื่อง หรือนินทาว่าร้ายผู้อื่นด้วย
ระวังวาจาของเราให้ดี เพราะคำพูดคน บ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของคนเสมอ
มธ.12:35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา

คนที่วิจารณ์ผู้อื่นเสมอ แสดงว่า ไม่มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณในการควบคุมลิ้น
เป็นคนที่สักแต่พูด ... เมื่อคุมลิ้นไม่ได้ ก็ไม่สามารถคุมชีวิตของตนเองได้เช่นกัน
ยก.3:2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย

พระวจนะของพระเจ้ามีวิธีในการควบคุมลิ้น ดังนี้
อฟ.4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
1 อย่า คือ อย่าให้คำหยาบคายออกจากปากเรา
5 จง คือ จงกล่าวคำที่ดี จงกล่าวคำที่เป็นประโยชน์ จงกล่าวคำที่เหมาะสม
ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

จงกล่าวให้เหมาะกับความต้องการ และจงกล่าวให้เป็นคุณ
หลายคำเป็นประโยชน์ แต่เขาไม่ต้องการ และฟังแล้วไม่เป็นคุณ ก็ไม่ควรพูดในเวลานั้น
หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะไม่รู้จักควบคุมวาจา
ลิ้นหาเรื่อง ลิ้นสร้างศัตรูอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเหนือความสำเร็จได้

3.1 ความผิดเดียวกัน ของคนอื่นเท่าภูเขา ของเราเองเท่าเส้นผม
มธ.7:4-5 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเองท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
ลักษณะของคนชอบวิจารณ์นั้น มักจะเห็นความผิดของผู้อื่นยิ่งใหญ่กว่าของตนเสมอ ทั้งๆ ที่เป็นความผิดเดียวกัน
การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเสมอ พูดแต่เรื่องคนอื่นเสมอ แสดงว่า ลึกๆ คนนั้นมีปมด้อย หรือไม่ก็ว่างงาน

3.2 หลักที่จะช่วยให้เราไม่วิจารณ์ผู้อื่น คือ ไม่ตามกระแส ไม่แคร์สื่อ แต่ตาต้องดู หูต้องฟัง สมองต้องคิด ปัญญาต้องแยกแยะ
ชีวิตมันมีความขัดแย้งกันตลอดเวลา ในความอ่อนแอ มีความแข็งแรง ในความเรียบร้อย มีความยุ่งเหยิง
ดังนั้น “ความแตกต่าง” เป็นสิ่งที่เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ต่อว่า ไม่ใช่แตกตื่น ไม่ใช่ตระหนก
พระเจ้าก็สอนเราด้วยพระวจนะของพระองค์เอง ให้เราอยู่สงบสุขกับทุกคน
รม.12:18 ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
ถ้าเป็นได้ หมายถึง เท่าที่เราทำได้ (คนอื่นจะทำอย่างไร เราไม่สน แต่เท่าที่เราทำได้ เราต้องทำ)
การอยู่อย่างสงบสุขได้กับทุกคน เล็งถึง วุฒิภาวะและคุณธรรมที่สูงส่งของคนๆ นั้น
เราต้องแยกแยะเรื่องความถูกผิด แต่คนของพระเจ้าต้องคิดเสมอว่า จะทำอย่างไรในการช่วยคนให้พ้นผิด
ไม่ใช่ด่า ไม่ใช่ประจาน แต่ไปนำเขาให้กลับตัว กลับใจใหม่

3.3 การวิจารณ์คนอื่นเสมอ เป็นการปิดกั้นตัวเองไม่ให้ก้าวหน้า
อย่าปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยการวิจารณ์ผู้อื่น
“ไม่พูด” แต่ “ทำ” และ “พูด” แต่ “ไม่ทำ” แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การวิจารณ์ผู้อื่น ไม่เพียงปิดกั้นความเจริญของตัวเราเองเท่านั้น
ยังนำไปสู่ความบาดหมาง และปัญหาที่จะตามมาภายหลังด้วย

ไม่ว่าใครจะทำอย่างไรกับเรา วิธีแก้ไขด้วยแนวทางของพระเจ้า คือ ไม่ตอบโต้ ไม่แก้แค้น
รม.12:19-21 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
นิ่ง ไม่โต้ตอบ แต่ถ้าต้องพูด ก็ให้พูดด้วยการชี้แจง
ให้เราเอาชนะความชั่ว ด้วยความดี ถือเป็นชัยชนะที่แท้จริง

3.4 แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ให้พิสูจน์ด้วยผลงานที่เราทำให้ดีขึ้น
เส้นทางมนุษย์มีเพียง 2 เส้น เท่านั้น คือ เส้นเริ่มต้น กับ เส้นชัย
ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ส่วนระหว่างทางนั้น เป็นเพียงการทำหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกัน
บางคนล้มลุกคลุกคลานตลอดเส้นทาง แต่ถึงหลักชัย ในขณะที่บางคนตลอดเส้นทางมีแต่เสียงชื่นชม แต่กลับไปไม่ถึงเส้นชัย
ใครเป็นผู้ที่มีชีวิตเหนือความสำเร็จกว่ากัน?
กลางทางชีวิตของคน ผิดพลาดได้ ล้มเหลวได้ แต่ต้องแก้ไข
ชีวิตมันก็ไม่ต่างกับภาพยนตร์ เราดูกันที่ตอนจบ ไม่ใช่ตอนเริ่มต้น หรือกลางทาง
การใช้ชีวิตมันยากพออยู่แล้ว อย่าให้การวิพากษ์วิจารณ์ มาทำให้เราเสียปัญญา เสียเวลา
เสียพลังงาน เสียเพื่อน และเสียบรรยากาศเลย

3.5 การชื่นชมยินดีต่อผู้อื่น เท่ากับ แสดงคุณค่าของเราเอง
น้ำใจนักกีฬาที่แท้จริง คือ การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
การชื่นชมยินดีต่อผู้ชนะ แม้เราเป็นผู้แพ้ ก็แสดงถึงคุณค่าและสปิริตที่แท้จริงในชีวิตเรา
คนไทยมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ คือ กีฬาแพ้ แต่คนไม่แพ้ (ที่จริงแพ้เต็มประตู อับอายขายหน้าทั้งนักกีฬาและกองเชียร์)
การไม่รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในชีวิตเรา
จำไว้ว่า ชีวิตของเราก็มีค่าได้เช่นกัน ถ้าเรารู้จักยินดีกับผู้ที่ได้รับชัยชนะ

4. การเป็นคนมีวินัย
“วินัย” เป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตที่เหนือความสำเร็จ
คำที่สวยงามและสง่าที่สุด ในการก้าวไปสู่ความสำเร็จขั้นสูง คือ คำว่า “วินัย”
ผู้ใดที่ปรารถนาจะมีชีวิตเหนือความสำเร็จ ต้องสร้างตัวเองให้เป็นคนที่มีวินัย

4.1 วินัยไม่ได้มีกันง่ายๆ แต่จำเป็นมากต่อความสำเร็จและความสุข
วินัย ไม่ใช่เรื่องที่จะมีกันได้ง่ายๆ แต่ต้องมีการฝึกฝน จึงจะได้มา
แต่มีแล้วก็สามารถกำหนดความสำเร็จและความสุขในชีวิตของเราได้
คนมีวินัย จะเคารพกฎ กติกา มารยาท หลายอย่างไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับ

4.2 กฎของคนที่อยากมีชีวิตเหนือความสำเร็จ
ก. พูดให้น้อย
ข. ฟังให้มาก
ค. ไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ง. ฟัง แต่อย่าเชื่อคนง่าย
จ. เคารพผู้ที่เราควรเคารพ
เราต้องไม่เย่อหยิ่ง ฟังทุกเสียง ฟังทุกคน แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกคน
เราต้องมีวินัยแก่ตัวเอง ถ้าเรามีวินัย ในเรื่องดังกล่าว จะสามารถนำชีวิตตนเองไปสู่ความสำเร็จได้
อย่าลืมว่า อนาคตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่บนฟองน้ำลายของใคร (คำพูดของคน)
แต่อยู่ที่การกระทำ และการตัดสินใจของเราเอง

4.3 ความสำเร็จและความสุขของชีวิต เป็นผลจากความมีวินัย
การเลือกและการตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ยาก แต่หากเรามีวินัย เราก็สามารถทำได้
ชีวิตเหนือความสำเร็จ ตอน ความเป็นกำหนดความมี -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความสำเร็จ และความสุข ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ทุกอย่างล้วนเป็นผลจากวินัยชีวิตที่เรามี

4.4 สละความสุขชั่วคราว เพื่อความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
วินัยอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยสมควรฝึกฝน คือ การกล้าสละความสุขชั่วคราว เพื่อความสุขที่ยั่งยืน
ส่วนใหญ่เราหาเช้ากินค่ำ ไม่มีการหาไว้ล่วงหน้า
ส่วนใหญ่เราเลือกที่จะสบายในวันนี้ แต่ลำบากวันหน้า
กิน เที่ยว ดื่ม เล่นในช่วงวัยรุ่น แต่ลำบากในวัยชรา เป็นปัญหาทั้งตัวเอง ครอบครัวและสังคม
นั่นเพราะเราดำเนินชีวิตปราศจากวินัย

4.5 การมุ่งมั่น ทำตัวให้เป็นประโยชน์ จริงใจในการช่วยเหลือผู้อื่น คือ กุญแจในการนำเราสู่การพัฒนาตัวเอง
หน้าที่ของคริสตจักรและคริสเตียน คือ เติมในส่วนที่ผู้อื่นขาด และต่อยอดในส่วนที่ผู้อื่นมี
เราจะทำหน้าที่นั้นสำเร็จได้ ต้องมุ่งมั่น พัฒนาตลอด จริงใจช่วยเหลือตลอด

4.6 ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ดวงดาว แต่อยู่ที่ตัวเราและพระเจ้า
คนที่กำหนดความสำเร็จในชีวิต คือ ตัวเราเอง และพระเจ้าเท่านั้น
ดวงดาวที่ดูแสนไกล เราสามารถเอื้อมคว้ามาได้ ถ้าเรามีวินัยพอ
ก. ต้องกำจัดจุดบกพร่องของตัวเอง
ข. ต้องปรับปรุงตัวเองให้มีวินัยมากขึ้น
ค. ต้องพอใจในสิ่งที่เราเป็น
พอใจในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ดับไฟความกระตือรือร้นในชีวิต
แต่หมายถึง พระเจ้าทรงให้เราเป็นอย่างไร ก็พอใจที่จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าเราสามารถ “เป็น” ในหัวข้อดังที่กล่าวมาได้
เราก็สามารถ “มี” ในสิ่งที่เราปรารถนา รวมถึงชีวิตที่เหนือความสำเร็จด้วย

No comments:

Post a Comment