Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ผู้ใหญ่ที่เป็นเด็ก” จาก “1คร.3:1-4, 1คร.13:11”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ผู้ใหญ่ที่เป็นเด็ก” จาก “1คร.3:1-4, 1คร.13:11”

1คร.3:1-4 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังเพราะว่าเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกันท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือและไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล" และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล" ท่านทั้งหลายมิได้เป็นเพียงมนุษย์สามัญหรือ
1คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
เมืองโครินธ์ เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยคนมีการศึกษาและฐานะทางการเงินสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีทั้งพวกที่เชื่อในเวทมนต์คาถา คริสตจักรในเมืองโครินธ์เต็มไปด้วยคนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่มีวุฒิภาวะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเด็กฝ่ายวิญญาณ หรือผู้ที่เป็นเด็กด้านความคิดอยู่ด้วย
ครอบครัวของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เหมือนครอบครัวทั่วไปที่จะต้องมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่อยู่ร่วมกัน ทุกคริสตจักรมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ และในขณะเดียวกันก็มีทั้งผู้ใหญ่ที่ยังเป็นเด็กอยู่ด้วย
แม้ในคนๆ เดียวกัน ก็ยังมีทั้งความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ปะปนกันไป บางเรื่องเป็นผู้ใหญ่ แต่บางเรื่องเป็นเด็ก ผู้ที่รู้ตัวเอง ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ใครที่ไม่รู้ตัวเอง นั่นคือการเป็นเด็ก
เราจะอยู่ร่วมกันในครอบครัวของพระเจ้าอย่างมีความสุข ต้องเข้าใจทุกคนและพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ สอนความจริงเรื่องนี้อย่างชัดเจน

1. อาการของเด็กฝ่ายวิญญาณ
ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกคนมีพระเจ้าเป็นพระบิดา และมีผู้เชื่อคนอื่นๆ เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์
ปัญหาในครอบครัวมักจะเกิดจากคนที่เป็นเด็ก แต่กลับคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ดังนั้น ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ จึงต้องรู้จักแยกแยะ เมื่อรู้ว่าเขาเป็นเด็กก็ต้องพูดกับเขาอย่างเด็ก คิดกับเขาอย่างเด็ก
และช่วยให้เด็กฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณต่อไป

ลักษณะอาการของเด็กฝ่ายวิญญาณ มีดังนี้
1.1 เป็นทารก เรื่องความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิต
ลักษณะประการแรกที่เราจะสามารถแยกเด็กและผู้ใหญ่ออกจากกันนั่นคือ ความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิต
ผู้ที่มีลักษณะเป็นเด็ก จะเป็นทารกเรื่องความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิต
แม้เนื้อหนังหรืออายุฝ่ายร่างกายจะเป็นผู้ใหญ่ ตำแหน่งจะใหญ่โต หรือการศึกษาสูง แต่ความรับผิดชอบต่ำ
เป็นประเภทความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด รับปากง่าย แต่ทำให้สำเร็จตามที่รับปากได้ยาก
รับปากว่าจะทำ ก็ไม่ทำ รับปากว่าจะมา ก็ไม่มา และเมื่อไม่ทำตามที่รับปากก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
เป็นประเภทที่เก่ง สมองดีเป็นเลิศ แต่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เป็นพวกเผด็จการทางความคิด
ไม่เปิดใจรับฟังผู้อื่น ไม่เข้าใจผู้อื่นและทำงานร่วมกับใครไม่ได้
สวยหล่อ ดูดี แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ทั้งด้านคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมและความรอบรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ
คนที่เป็นทารก เรื่องความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิตนี้ แม้คนที่มีการศึกษาดีก็เข้าข่ายนี้ได้
เมื่อเปาโล เขียนจดหมายถึงคริสตจักรเมืองโครินธ์ คริสตจักรที่ผู้คนมีการศึกษาสูง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ท่านยังพูดว่า ไม่อาจจะพูดกับพวกเขาเหมือนพูดกับคนที่มีวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณได้
1คร.3:1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์
นั่นแสดงว่า แม้คนที่มีการศึกษาสูง ก็สามารถเป็นทารกด้านความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิตได้เช่นกัน
ดังนั้น เราต้องระมัดระวังในการสร้างชีวิตของตนเอง อย่าให้พระเจ้าไม่สามารถพูดกับเราอย่างผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้

1.2 ยิ่งอยู่นาน ยิ่งแตกแยก ยิ่งทะเลาะกัน
1คร.3:2-4 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ ด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะว่าเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ และไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล" และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล" ท่านทั้งหลายมิได้เป็นเพียงมนุษย์สามัญหรือ
ลักษณะของผู้ใหญ่ที่เป็นเด็กนั้น ยิ่งเชื่อพระเจ้านาน แทนที่จะเติบโต กลับยิ่งเด็กลง
ต้องเลี้ยงดูกันด้วยน้ำนมตลอดเวลา ไม่สามารถทานอาหารแข็งได้
ผู้ที่เป็นเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ จะไม่ชอบเรื่องการตำหนิ ติเตียน ชอบเฉพาะคำชมเชยหรือการเอาเอกเอาใจเท่านั้น
โรคขี้สะดุดที่เกิดขึ้นในคริสตจักรนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ แต่เกิดขึ้นกับเด็กฝ่ายวิญญาณ
เตือนไม่ได้ แตะไม่ได้ สอนไม่ได้ สร้างไม่ได้ แนะไม่ได้ ... สะดุด ไม่มาโบสถ์ นี่คือเด็ก
หนทางที่ทำให้คนล้มเหลวมี 2 ทาง (1) ฟังทุกคน ฟังทุกเสียง (2) ไม่ฟังใครเลย
ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า “เราต้องฟังทุกเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกเสียง”
คำเตือน คำติเราต้องฟังด้วย เพื่อเป็นการสำรวจชีวิตของตนเอง อย่ามัวแต่ฟังคำชมอย่างเดียว
พวกที่เป็นเด็กนั้น ไม่เพียงชอบแต่อาหารน้ำนมเท่านั้น ยังชอบสร้างความแตกแยกอีกด้วย
โอ้อวดกันว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์คนโน่น อาจารย์คนนี้
ทั้งๆ ที่อาจารย์ทุกคนเราควรที่จะขอบคุณเขา เพราะพวกเขาสอนให้เรารักพระเจ้าและทำให้เราเติบโตขึ้น
คุณธรรมของผู้เชื่อต้องสูง เราต้องเอาชนะความอิจฉา ความขัดเคืองใจและความแตกแยกให้ได้

1.3 ไม่รู้จักแยกแยะ ไม่เข้าใจวาระของชีวิต
ผู้ที่เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ จะไม่รู้จักแยกแยะ ไม่เข้าใจวาระต่างๆ ของชีวิต
ปญจ.3:1-11 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูดมีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติคนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขาข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่ มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
พระวจนะตอนนี้ กล่าวถึงวาระต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์
หน้าร้อน ย่อมร้อนเป็นธรรมดา หน้าหนาว ย่อมหนาวเป็นธรรมดา ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต
มนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีวาระของตัวเอง แต่คนที่เป็นเด็กจะไม่สามารถแยกแยะได้
ถ้ารักใครชอบใคร เด็กจะถือว่าดีหมด ถูกหมด แต่ถ้าเกลียดใคร ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ผิดไปหมด
แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ จะคิดอย่างพระเจ้า คือ ตราบใดเป็นมนุษย์ ไม่มีใครดี 100% หรือเลว 100%
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ในความดี ย่อมมีความเลว ในความเลว ย่อมมีความดี
พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือเลว แต่ใครหว่านสิ่งใดย่อมได้เกี่ยวกับสิ่งนั้น

1.4 ยึดความถูกใจ ตามใจ คือ ความถูกต้อง
เด็กจะขึ้นชื่อเรื่องการเอาแต่ใจตัวเอง ยึดความถูกใจ ตามใจ คือ ความถูกต้อง
อะไรที่ตนเองถูกใจ จะถือว่าสิ่งนั้นถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงวินัยชีวิต
เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ถูกใจหลายอย่างในชีวิตของเรา อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เหมือนอาหารอร่อยๆ หลายอย่างไม่มีประโยชน์ แต่อาหารที่มีประโยชน์ กลับไม่ค่อยอร่อย เป็นต้น
สภษ.4:11-13 เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรมเมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางและถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุดจงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
พระเจ้าสอนให้เรา “ยึดวินัย” เพราะวินัยนั้นจะรักษาชีวิตของเราให้ราบรื่น
เหตุที่คนขาดวินัย ก็เพราะขาดความเข้าใจชีวิต แต่สิ่งนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นกับลูกของพระเจ้า
เนื่องจากพระวจนะของพระองค์ สอนให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น

1.5 เห็นแก่ได้ กอบโกย ไม่ให้ใคร (แม้มันจะเสียของหรือเสียเปล่าก็ตาม)
เด็กจะคิดถึงแต่ตัวเอง มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตลอดชีวิตจึงคิดแต่กอบ โกย กำ ให้ตัวเอง
ทั้งๆ ที่ตนเองมีมากแล้ว มีพอแล้ว ก็ยังอยากได้อีก และมีมากแล้วก็ไม่ยอมแบ่งปัน
เก็บไว้กับตัว ไม่ยอมให้ใคร แม้ของสิ่งนั้นจะต้องเสียเปล่าก็ตาม
แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ผู้ใหญ่ จะมีเพื่อให้ และไม่ต้องรอให้มีมาก แม้มีน้อย แต่อะไรที่มีอยู่ก็จะให้ออกไป
ใช้หลักการเดียวกับท่านเปโตร คือ ที่เรามี เราจะให้ ... จำไว้ว่า เราทุกคนมีบางอย่างที่จะให้ผู้อื่นเสมอ
กจ.3:6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"
นิยามของคน “มั่งมี” นั้น ไม่ได้หมายถึงคนมีมาก แต่หมายถึงคนที่ให้ได้มากต่างหาก
เรามีอะไร เราต้องให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่น เราแข็งแรง ก็เพื่อจะอุ้มคนอ่อนแอ
เรามีเงิน ก็เพื่อจะช่วยเหลือคนที่ไม่มี ... เราต้องหาเงินให้มากที่สุด เพื่อจะให้ได้มากที่สุด (ไม่ใช่หาเพื่อตัวเอง)
ผู้ที่ให้ออกไป จะได้รับความอิ่มเอิบ ได้รับการเติมให้เต็มจากสวรรค์

1.6 เด็กจะคิดตื้น ผู้ใหญ่จะคิดลึก
การหยั่งรู้และความสามารถในการคิดของเด็กจะตื้น แคบ เล็ก ใกล้
ในขณะที่ผู้ใหญ่จะมีความสามารถในการคิด ... คิดได้ลึก คิดได้กว้าง คิดได้ใหญ่ และคิดได้ไกล
คนที่เห็นใกล้ อนาคตก็สั้น แต่คนที่มองเห็นไกล มองการณ์ไกล อนาคตก็ไกลไปด้วย
เด็กรู้และคิดได้เท่าที่เห็น แต่ลึกกว่านั้นเข้าใจไม่ได้ เพราะไม่ได้รับการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้านวิญญาณและโลกนิรันดร์
สังเกตให้ดี คนที่มีพระวจนะเป็นพื้นฐานชีวิต ประเทศที่เป็นคริสเตียน จะมองการณ์ไกล
สหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยป่าไม้ แต่เขาจะไม่ตัดไม้ของเขาเอง เขาจะใช้ไม้ของต่างประเทศให้หมดก่อน
ประเทศไทย ไม้ชนิดไหนขายได้ราคาดี เราตัดทิ้งทันทีโดยไม่ต้องคิด
ผลของการคิดตื้นเป็นอย่างไร เราคงเข้าใจและรับผลนั้นได้เป็นอย่างดี
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1.7 ไม่ระวังคำพูด
เด็กฝ่ายวิญญาณ มักจะเป็นพวกที่ไม่ระมัดระวังคำพูด พูดก่อนคิด แทนที่จะคิดก่อนพูด
เป็นพวกพูดมาก และเรื่องที่พูดมากนั้น ส่วนใหญ่ไร้สาระ เป็นเรื่องของผู้อื่นทั้งสิ้น
2ทธ.2:16-17 จงหลีกเสียจากคำสอนที่ไร้คุณธรรม เพราะคำอย่างนั้นจะนำคนไปสู่อธรรมมากยิ่งขึ้น และคำพูดของเขาจะแพร่ออกไปเหมือนแผลเนื้อร้าย ในพวกนั้นมีฮีเมเนอัสกับฟีเลทัสเป็นต้น
เปาโล จึงเตือนทิโมธี ให้สอนคนของพระเจ้าให้ถูกต้อง คือ ต้องหลีกเลี่ยงจากคำสอนที่ไร้สาระ ไร้ธัมมะ
คนเข้าคริสตจักร เข้าหาพระเจ้า เพราะเขาต้องการสาระด้านธัมมะและด้านจิตวิญญาณ
เราต้องสามารถตอบสนองความต้องการของเขาให้ได้
เรื่องคำพูดของคนเป็นเรื่องใหญ่ เราแยกแยะความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ได้ด้วย “คำพูด”
อฟ.4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
คนของพระเจ้า ไม่ควรมีคำพูดหยาบคาย เพราะคำพูดเหล่านั้น เป็นคำพูดของคนระดับต่ำ
แต่ไม่เพียงคำหยาบเท่านั้นที่เราไม่ควรพูด แม้เรื่องไม่หยาบ แต่ไม่มีประโยชน์และเป็นเรื่องแง่ลบ เราก็ไม่พูด
จะพูดอะไร สิ่งใด เราต้องดูด้วยว่าเป็นประโยชน์และเหมาะสมหรือไม่
ยก.1:26 ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธัมมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์
พระวจนะตอนนี้ ก็สอนเรื่องความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คือ ผู้ใหญ่นั้นต้องรู้จักสงบปากคำ
และเมื่อมีใครพูดถึงเราในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปให้ความสนใจนัก
เพราะชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่บนฟองน้ำลายของใคร แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่เราทำ
ห้ามปากคนไม่ให้พูดนั้นห้ามไม่ได้ แต่ห้ามใจของเราไม่ให้สะเทือนนั้น ห้ามได้

2. สาเหตุของการเป็นเด็กทางจริยธรรม ความรับผิดชอบและสติปัญญา
ในข้อแรกนั้น เราได้ทราบถึงอาการต่างๆ ของคนที่เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณไปแล้ว
ในข้อสองนี้ เราจะได้ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกของพระเจ้าเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ
คือ เด็กทั้งทางด้านจริยธรรม ความรับผิดชอบและสติปัญญา

2.1 ไม่ฟังความจริง ไม่สนใจสาระของชีวิต
1คร.3:1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์
เปาโลนั้น มีคำสอนที่ลึกซึ้งจากพระเจ้า แต่ไม่สามารถแบ่งปันกับพี่น้องในคริสตจักรเมืองโครินธ์ได้
เพราะเขายังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ พวกเขาไม่สนใจที่จะฟังสาระของชีวิต และที่สำคัญพวกเขาไม่กล้าที่จะยอมรับฟังความจริง
เมื่อไม่ยอมรับฟังความจริงและไม่สนใจสาระของชีวิต พระเจ้าจึงไม่สามารถสร้างชีวิตเขาให้เติบโตได้
นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดเด็กฝ่ายวิญญาณขึ้นในครอบครัวของพระเจ้า

2.2 ชอบอาหารที่เป็นน้ำนม คำสอนที่เป็นพื้นฐาน
1คร.3:2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ
“น้ำนมฝ่ายวิญญาณ” เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องดื่ม ... แต่ไม่มีใครดื่มน้ำนมตลอดกาล
เมื่อเราเติบโตขึ้นระยะหนึ่ง เราจำเป็นต้องกินอาหารแข็งด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่เด็กฝ่ายวิญญาณนั้น จะชอบอาหารที่เป็นน้ำนม คำสอนที่เป็นพื้นฐานเท่านั้น ไม่ชอบอาหารแข็ง
นี่เป็นเหตุให้เขาไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ เป็นเด็กตลอดกาล

ตัวอย่างคำสอนที่เป็นน้ำนม
ก. ฮบ.6:1-3 เหตุฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักธรรมเบื้องต้นแห่งคริสตศาสนา ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย เรื่องความเชื่อในพระเจ้า และคำสอนว่าด้วยพิธีล้างชำระ และพิธีวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น ถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะได้ก้าวหน้าไปอย่างนี้
ฮบ.5:12-14 ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีก ในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว
คำสอนที่เป็นน้ำนม จากพระธรรมฮิบรูทั้งสองบทนี้ อธิบายให้เข้าใจง่าย คือ คำสอนประเภทอย่าขโมย อย่าพูดหยาบ
หรือเป็นเพียงหลักคุณธรรมเบื้องต้นที่เราจำเป็นต้องมีเท่านั้น
เป็นคำสอนที่ดี แต่ถือว่าเป็นพื้นฐานมาก ถ้าเราต้องกินอาหารอย่างนี้ตลอดชีวิต เราจะโตได้อย่างไร
ผู้ใหญ่ ต้องรับอาหารแข็ง จิตวิญญาณจึงจะเติบโต นั่นคือเรื่องของการเข้าใจชีวิต
เรื่องคุณธรรม เรื่องความเป็นประโยชน์ เรื่องคุณค่าชีวิต เรื่องโลกนิรันดร์
เราจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าเรารับอะไรเข้าไปในชีวิต ดังคำว่า YOU ARE WHAT YOU EAT
คำสอนที่เป็นพื้นฐานนั้น ใช่ว่าจะไม่ดี แต่ชีวิตของเราต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ติดอยู่ที่ฐานเท่านั้น

ข. คำสอนที่ว่าด้วยพระสัญญา การอภัยโทษหรือความรักของพระเจ้า
เรื่องพระสัญญา เรื่องการให้อภัย เรื่องการยกโทษ เรื่องความรักของพระเจ้า
คริสเตียนฟังกี่ครั้งก็ “อาเมน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กฝ่ายวิญญาณ
พระเจ้ารักเรา ไม่ทิ้งเรา ... ชอบมาก ... แต่ถ้าพระเจ้าเน้นเรื่องวินัย ไม่ทำตามใจตัวเอง ... ไม่ชอบ
พระเจ้ายกโทษให้เราเสมอ ... ชอบมาก ... แต่ถ้าทำผิดตลอดและให้พระเจ้ายกโทษตลอด ก็ไม่ใช่ลูกพระเจ้าที่ดี
เมื่อพระเจ้าให้โอกาสเรา เราต้องใช้โอกาสนั้นเต็มที่ คือ ใช้โอกาสนั้นเพื่อจะทำดีให้มากขึ้น
จำไว้ว่า พระเจ้าทรงเป็นความรักก็จริง แต่ในขณะเดียวกันวินัยของพระองค์ก็เข้มข้นมาก
คนของพระเจ้านั้น “น้ำใจต้องมี แต่วินัยต้องเข้ม” ทั้งวินัยและน้ำใจ ต้องไปด้วยกัน
คนที่ไม่มีน้ำใจ คือ คนที่ไม่มีพระเจ้าแต่คนที่ไม่มีวินัย คือ คนที่ไม่โตในทางของพระองค์
ชีวิตไม่มีแรงดึงดูดให้ผู้คนสนในเข้ามาหาพระเจ้า
พระเจ้าจะไม่ยอมให้ลูกของพระองค์เสียคน เพราะถูกตามใจด้วยคำสอนที่เป็นน้ำนมตลอดชีวิต
คนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องยอมรับการสร้างชีวิต ยอมถูกขัดใจ เพื่อให้พระเจ้าขัดชีวิตของเราให้สวยงาม
ยน.15:2 แขนงทุกแขนงในเรา ที่ไม่ออกผลพระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น
ถ้าเรายอมให้พระเจ้าตกแต่งชีวิต เราจะมีชีวิตที่เข้าสนิทกับพระเจ้า
เป็นชีวิตที่สวยงามและทรงคุณค่า ทั้งต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์

3. ผลเสียของการเป็นทารก
1คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
กท.4:1-3 ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวงแต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์ จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้ฝ่ายเราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับของภูตผีปิศาจแห่งสากลจักรวาล
ผลเสียของการเป็นเด็ก เป็นทารกฝ่ายวิญญาณ คือ ขาดความเข้าใจชีวิต
คิดอย่างเด็ก ทำอย่างเด็ก ก็จะรับพระพรได้อย่างเด็กเท่านั้น
เด็กก็ไม่ต่างจากทาส แม้พ่อแม่มีมรดกมากมาย แต่ตราบใดไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัตินั้น
ลูกของพระเจ้านั้น ต่อให้เป็นเด็กพระองค์ก็ทรงรักเสมอ แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถประทานพระพรที่ยิ่งใหญ่ให้ได้
เพราะเด็กไม่มีความสามารถในการดูแลของเหล่านั้น เด็กได้รับพระพรจำกัด และไม่มีสิทธิ์ในการปกครองดูแลร่วมกับพระเจ้า
ให้พระพรมาก ก็จะเป็นการฆ่าเขา แทนที่จะช่วยเหลือ และบ่อยครั้งที่เด็กอธิษฐานแล้วจะได้รับคำตอบจากพระเจ้า
พระเจ้ารักเราเหมือนพ่อแม่รักเรา ...
คงไม่มีพ่อแม่คนไหนให้เงินวันละพันบาทหรือให้สร้อยทองหรือให้มอเตอร์ไซด์กับลูกที่ยังอยู่อนุบาล
เพราะแทนที่จะเป็นพร มันจะกลายเป็นภัยมาสู่ลูกของเราเอง
คนที่ไม่ยอมรับการสร้างจากพระเจ้าให้ชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
วันหนึ่งเมื่อพระเจ้าเสด็จกลับมา เขาจะต้องเสียใจที่จะมีชีวิตเป็นเด็กทารกตลอดกาล

4. ทุกครอบครัวมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เด็ก น่ารัก มีคุณค่า แต่ไม่มีประโยชน์ ในขณะที่ผู้ใหญ่ มีคุณค่า มีประโยชน์และให้ความอบอุ่น
ขึ้นชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้าแล้วนั้น พระองค์ทรงรักทุกคน
และเราต้องยอมรับว่าในครอบครัวของพระองค์นั้น มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
อฟ.2:9 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า
แต่เด็กและผู้ใหญ่นั้น มีความแตกต่างกันทางด้านคุณค่าของชีวิต
เด็กอยู่ในครอบครัวใด ก็ดูน่ารัก ให้ความชื่นใจ แต่เด็กไม่มีประโยชน์ ช่วยงานครอบครัวไม่ได้
ในขณะที่ครอบครัวใดมีผู้ใหญ่ ครอบครัวนั้นก็อบอุ่น เพราะผู้ใหญ่ทำประโยชน์และมีคุณค่า
ครอบครัวของพระเจ้านั้น จะทรงคุณค่าและทำประโยชน์ต่อโลกได้ ต้องมีผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
พ่อแม่บ้านใดมีลูกหลานไม่เป็นภัยต่อใคร เราก็ดีใจ แต่ถ้าชีวิตของลูกหลานไม่เป็นพรต่อใคร เราก็อวดไม่ได้
ความสุขของพ่อแม่ คือ การเห็นลูกของตนเองเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ความสุขของพระเจ้า คือ การเห็นลูกของพระเจ้าเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
วว.4:4 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ
พระพรสูงสุด การเป็นผู้ใหญ่ในทางพระเจ้า คือ ได้อยู่รอบพระที่นั่งของพระองค์
ชีวิตเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ความถูกต้อง ความชอบธรรม ความสง่างามอย่างพระเจ้า
ในที่สุดวันหนึ่ง ธรรมิกชนจะปกครองโลกร่วมกันพระเจ้า
เราจะสามารถปกครองร่วมกับพระเจ้าได้ ต้องรับการสร้างชีวิตจากพระเจ้าให้เป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเด็กตลอดกาล
หวังว่าคำสอนในเรื่องนี้จะช่วยให้ท่านสามารถแยกแยะความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณออกจากกันได้
และหวังมากกว่านั้นที่เราทุกคนจะสร้างชีวิตของเราให้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

No comments:

Post a Comment