Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ ลายเส้นชีวิต ” จาก “ 1คร.2:14-15 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ลายเส้นชีวิต ” จาก “ 1คร.2:14-15 ”

1คร.2:14-15 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนนั้นได้
จากพระวจนะตอนนี้ มีถ้อยคำที่น่าใจ ทั้งคำว่า “เข้าใจ” “ไม่เข้าใจ” “วิจัยสิ่งสารพัด” “วิจัยใจคน”
เรื่องฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระวิญญาณนั้น มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณสามารถที่จะเข้าใจได้ หนึ่งในเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจไม่ได้ คือ เรื่องของจิตใจคน
คำโบราณว่า “ใจคนยากแท้หยั่งถึง เราหยั่งทะเลลึกได้ แต่ไม่สามารถหยั่งใจคนได้” แต่พระคัมภีร์ยืนยันว่ามนุษย์ฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจใจคนและวิจัยใจคนได้อย่างอัศจรรย์ พระวจนะใช้คำว่า “ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนได้” แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณสามารถวิจัยสิ่งสารพัดได้
ความเข้าใจหรือไม่เข้าใจนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล เหมือนนักเรียนทุกคนเรียนบทเรียนเดียวกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเหมือนกัน ... ทุกคนฟัง แต่น้อยคนเข้าใจ ... ทุกคนมอง แต่น้อยคนเห็น
ดังนั้น คนที่ฟังแล้วเข้าใจ คนที่มองแล้วเห็น คนที่สามารถหยั่งรู้ใจคน เข้าใจชีวิตคน รวมทั้งชีวิตของตัวเองด้วย จึงถือว่าได้รับพระพรมหาศาลจากพระเจ้า การเข้าใจเรื่องวัตถุที่ว่ายากแล้ว การเข้าใจใจคนยิ่งยากกว่านั้น แต่ถ้าเราเข้าใจได้ เราก็มีความสุขในชีวิต หลายคนทุกข์เพราะไม่รู้จักตัวเอง ที่จริงอ่อนแอ แต่กลับคิดว่าตัวเองแข็งแรง ที่จริงโง่ แต่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด ทั้งหมดมีที่มามีที่ไป และผลก็ล้วนมาจากเหตุ
คำเทศนาเรื่อง “ลายเส้นชีวิต” นี้ จะเป็นแนวทางให้มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ เข้าใจคน เข้าใจชีวิตได้อย่างอัศจรรย์

1. มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้
“มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ” คือ คนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิต
คนที่มีพระวิญญาณฯ อยู่ในชีวิต คือ มีองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีพระวจนะของพระเจ้าในชีวิต
พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะอยู่กับคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์
การเจิมของพระวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องเป็นการสั่นเทิ้ม หรือน้ำตาไหลตลอดเวลา
แต่เราจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตผ่านจิตวิญญาณของเรา
“จิตวิญญาณ” สูงกว่า “จิตใจ” สูงกว่า “ความคิด” (สมอง) และเป็นส่วนที่กำหนดความสำเร็จในโลก
มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ สามารถ “วิจัย” สิ่งสารพัดได้
วิจัย คือ แยกแยะ แยกย่อยได้โดยมีปัญญากำกับ (เหมือนใบไม้สามารถสังเคราะห์แสงเป็นอาหารได้)
สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้พบ ถ้าเราสามารถวิจัยได้ เราก็นำมาเป็นประโยชน์ได้
เรื่องของจิตใจคนก็เช่นกัน ถ้าสามารถวิจัยได้ เข้าใจได้ จะมีประโยชน์มหาศาลในชีวิตของเรา

1.1 สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” ล้วนมีลายเส้นของชีวิต
ขึ้นชื่อว่าเป็นคน หรือเป็นมนุษย์นั้น ทุกชีวิตมีลายเส้น มีลายละเอียดของชีวิตที่แตกต่างกัน
ลายเส้นชีวิตของคนนั้น มีทั้งโค้ง งอ คด ตรง หนา บาง ขรุขระ เรียบ แข็งและอ่อน
กระดูกแข็ง แต่เลือดเหลว ลิ้นนิ่ม แต่ฟันแข็ง เส้นผมมีทั้งตรงและหยิก
ถ้าเราจะแข็ง ต้องแข็งในหลักการ จะเป็นความมั่นคง แต่อย่าแข็งกระด้าง เพราะจะทำให้ร่างแหลกสลาย
ถ้าเราจะอ่อน ก็ขอให้เป็นการอ่อนโยนและอ่อนสุภาพต่อผู้อื่น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

และเพราะมีทั้งหมดที่กล่าวมานั้นแหละ จึงรวมกันเรียกว่า “ชีวิต”
ชีวิตของคนนั้นเป็นที่รวมของทุกศาสตร์ก็ว่าได้ ... ใครที่เข้าใจได้ ก็ได้กำไรชีวิต

1.2 ทุกการปั้นและการวาด จะมีลายเส้นของช่างผู้ชำนาญ ส่งผลให้งานโดดเด่นและมีคุณค่า
ทุกการปั้นและการวาดจากผู้ชำนาญ จะส่งผลให้เกิดลายเส้นที่โดดเด่นและมีคุณค่า
พระเจ้าทรงเป็นช่างผู้ชำนาญการ ปั้นและวาดชีวิตของเราทุกคนแตกต่างกัน อย่างโดดเด่นและมีคุณค่า
พระเยซูคริสต์ทรงทราบดีว่ามีอะไรอยู่ในมนุษย์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าและเป็นผู้สร้างเขา
ยน.2:25 เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
ลีโอนาโด ดาวินชี เกิดมาเพื่อวาดรูป ... ภาพ THE LAST SUPPER และภาพโมนาลิซ่า เป็นตัวอย่าง
ไมเคิล แองเจลโล เกิดมาเพื่องานปั้น ... รูปปั้นเดวิด เป็นตัวอย่าง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดมาเพื่อเป็นนักฟิสิกส์ ... ทฤษฎีสัมพันธภาพ เป็นตัวอย่าง
โทมัส อัลวา เอดิสัน เกิดมาเพื่อเป็นนักประดิษฐ์ ... เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อเขาหนึ่งพันกว่าชิ้น
ถ้าเราเข้าใจ เราจะมองทุกคนอย่างมีคุณค่า รวมทั้งจะมองเห็นคุณค่าของตัวเองด้วย
แต่แม้เราเก่งแค่ไหน จำไว้ว่า เราไม่ได้เป็นทุกสิ่ง เราเป็นเพียงแค่บางสิ่งเท่านั้น
พระเจ้าผู้เดียวที่ทรงเป็นทุกสิ่งของมนุษย์

1.3 “ท่อนไม้” กับ “ไม้แกะสลัก” (จากช่างฝีมือเลิศ) คุณค่าย่อมต่างกัน
ท่อนไม้อันเดียวกัน ท่อนหนึ่งตัดมาไว้เฉยๆ แต่อีกท่อน เอาไปแกะสลักโดยช่างฝีมือเลิศ
คุณค่าของท่อนไม้ทั้ง 2 ท่อน ย่อมแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ถ้าท่อนไม้ที่ไร้ชีวิต ไม่มีค่า แต่เมื่อรับการแกะสลัก คุณค่ามันเพิ่มขึ้น
ชีวิตของคนที่ประเสริฐยิ่งกว่าต้นไม้ รับการแกะสลักจากช่างผู้ชำนาญ จะไม่สวยงามและมีคุณค่ามากกว่านั้นหรือ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะยอมให้นายช่างแกะสลักชีวิตหรือไม่?
และนายช่างที่จะมาแกะสลักชีวิตของเรานั้น มีฝืมือหรือไม่? ต้องคำนึงด้วย
อยากเก่ง ต้องเรียนกับคนเก่ง อยากประสบความสำเร็จ ต้องเรียนกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ
หลายคนขยัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขยันผิดที่ เรียนตลอด แต่ไม่ได้เรียนกับผู้ที่รู้จริง
ดังนั้น ใครจะมาแกะสลักชีวิตของเรา คนนั้นต้องพิสูจน์มาแล้วว่าเขามีฝีมือจริง (ไม่ใช่ดีแต่ฝีปาก)
มีผลงานที่จับต้องมองเห็นได้ มีผลงานเป็นเครื่องการันตีความสามารถ
เช่น พระเยซูคริสต์ ทรงแกะสลักชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นคนพิเศษ โดยใช้เวลาเพียงสามปีครึ่ง
อัครทูตไม่กี่คน ที่ด้อยการศึกษา และฐานะต่ำ สามารถแตะโลกได้
ผู้รับใช้รุ่นต่อมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ก่อขึ้นจากรากฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงวางไว้นั่นแหละ

1.4 ทุกการปั้นแต่งชีวิต ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ
ชีวิตของคน จะเป็นประติมากรรมที่ทรงคุณค่าก็ต่อเมื่อมีการปั้นแต่งจากช่างผู้ชำนาญ
ทุกลายเส้น ทำให้ชีวิตมีลีลา มีอารมณ์ และมีศิลปะ
ทุกรอยปั้น ทำให้ชีวิตมีความอ่อนโยนและความแข็งแร่ง มีความสง่างามอยู่ในความสงบ
แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ย้ำว่า ช่างวาด ช่างปั้น ต้องเป็นระดับฝีมือเลิศเท่านั้น

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าปั้นเราจากคนโง่ให้กลายเป็นปราชญ์ได้ จากคนที่ซอมซ่อเป็นคนที่สง่างามได้
ชีวิตที่ธรรมดาของเราจะกลายเป็นชีวิตที่พิเศษได้ ถ้าเรายอมรับการปั้นแต่งลายเส้นชีวิตจากพระเจ้า

1.5 ทุกลายเส้นที่งดงามนั้น เกิดจากการสร้างสรรค์โดยปัญญา
เส้นชีวิตของเราจะงดงาม ขาดปัญญาไม่ได้เลย และปัญญานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
แต่ปัญญา ได้มาด้วยการค้นคว้า การใช้ความคิดและการใฝ่รู้
ทุกการเรียนรู้ ทำให้เรามีความรู้และก่อให้เกิดประโยชน์
ยิ่งใช้ความคิด ก็ยิ่งคิดได้มาก และยิ่งคิดให้เกิดคุณค่า ความคิดนั้นก็จะกลายเป็นความคิดที่มีคุณค่า
อีกทางที่เราจะรับปัญญาอย่างสร้างสรรค์ คือ กล้ายอมรับคำติชม กล้าปรึกษาหารือ
คำติชม คำแนะนำ คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน คริสตจักร ผู้นำ
ล้วนเป็นของประทานที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเตือนสติและแกะสลักชีวิตของเรา
ถ้าเรายอมรับและจับประเด็นเรื่องนี้ได้ เราก็สามารถวิจัยสิ่งสารพัดได้ และมีลายเส้นชีวิตที่งดงามได้เช่นกัน

2. ทุกลายเส้นของชีวิต มีลายเส้นของความคิด
สภษ.4:11-13 เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรม เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางและถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด จงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
สภษ.4:20-23 บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเราจงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
ลายเส้นของความคิด ได้มาจากปัญญา ความเที่ยงธรรม วินัยชีวิต และคำสอนของพระเจ้า
พระเจ้าสอนเราเรื่องปัญญาและความเที่ยงธรรม
ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยใช้ปัญญา และมีความเที่ยงธรรม ไม่มีใครขัดขวางหรือทำอันตรายเราได้
พระเจ้าสอนให้เรายึดวินัยไว้ เพราะวินัยเป็นชีวิต
วินัย คือ เบรค วินัย คือ พวงมาลัย วินัย คือ หางเสือของชีวิต
ถ้าคนไทยมีวินัย บ้านเมืองเราคงเจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่นี้
คำที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยที่ดีที่สุด คือ การทำตามใจ คือ ไทยแท้
และเพราะทำตามใจตัวเอง ขาดวินัย จึงขาดความเจริญ ขาดลายเส้นของความคิด
พระเจ้าสอนให้เราตั้งใจ จดจ่อ เอียงหูฟังถ้อยคำ ฟังความคิดของพระเจ้าและนำมาเป็นความคิดของตัวเอง
ความคิด กำหนดชีวิตคน ถ้าเราคิดเหลวไหล ชีวิตเราก็เหลวแหลก
วิถีชีวิตของเรา เราเป็นคนกำหนดด้วยความคิดของเราเอง
เราต้องคิดเอง ทำเองในส่วนที่เราทำได้ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาอย่างดี
ส่วนสิ่งที่เราทำไม่ได้ ก็ให้เราขอพรจากพระเจ้า
แล้วพระองค์จะต่อยอดชีวิต ต่อยอดความคิดของเราให้อย่างอัศจรรย์

2.1 ความคิด เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา
จุดเริ่มต้นของปัญญา อยู่ที่ความคิด นี่เป็นเหตุให้เราต้องคิด และต้องคิดให้มาก
เพื่อที่จะไม่ต้องคิดมาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บ่อยครั้งเราทำอะไรโดยไม่คิด แล้วท้ายที่สุดก็เลยต้องมานั่งคิดมาก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น

2.2 คนช่างคิด คนช่างสงสัย คือ คนอยากรู้
คนช่างคิด ไม่ได้หมายถึง คนที่คิดมากหรือเรื่องมาก หรือคนเพ้อเจ้อ แต่เป็นคนที่ใช้ความคิด
ถ้าไม่รู้จักคิด ก็ไม่รู้จักการเรียนรู้
คนช่างคิด คนช่างสงสัย คือ คนอยากรู้ แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้
เช่น พี่น้องตระกูลไรท์ สงสัยว่าคนจะบินได้อย่างนกหรือไม่ ความคิดนี้ก่อให้เกิดเครื่องบิน
ดังนั้น คนช่างคิด จึงถือเป็นคนสมองเปิด เมื่อสมองเปิดลายเส้นชีวิต ลายเส้นความคิดก็ยิ่งงดงาม

2.3 ความคิด ทำให้คนค้นหา “แก่นแท้” ไม่ใช่แค่ “เปลือกนอก”
คนที่ไม่สามารถหาแก่นแท้ของชีวิตเจอ ก็เพราะไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ความคิด
บ่อยครั้งสองมือของเราเต็มด้วยเปลือก แต่หาแก่นสารไม่ได้เลย
ตัวอย่าง เนื้อหาของละครไทยที่หลายคนบ่นว่าน้ำเน่า แต่ก็ดูกันต่อไป ติดตามกันต่อไป
ทั้งคนสร้างและคนดูพอกันทั้งคู่ คิดไม่ออก เพราะสมองไม่เปิด

2.4 ความคิดทำให้คนสามารถจับประเด็นได้
การจับประเด็นได้ ถือเป็นพรใหญ่ของชีวิต
เหมือนจับปลาใหญ่ในน้ำลึกได้ ไม่ใช่ตลอดชีวิตจับแต่ปลาเล็กๆ ในน้ำตื้น
สังเกตดูให้ดี บ้านเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ แต่คนไทยกลับยากจนอยู่ในความสมบูรณ์นั้น
ขณะที่ต่างชาติ (ที่เขามีความคิด มีปัญญา) เข้ามาตัวเปล่า แต่สามารถสร้างฐานะให้รุ่งเรืองบนแผ่นดินของเราได้
ที่จริงแล้วพระเจ้าสร้างทุกอย่างดี สร้างชีวิตของเราอย่างดี
หน้าที่ของเรา คือ ต้องหาให้ได้ว่าดีอย่างไร และจะใช้สิ่งดีนั้นอย่างไร
ความคิดนั่นแหละ เป็นคำตอบที่จะทำให้เราจับประเด็นได้

2.5 ความคิดและปัญญา สามารถทำให้เราแยกแยะได้
หากเราอยากรู้ว่าใครมีปัญญา มีความคิดหรือไม่ ให้ดูที่ว่าเขาสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่
คนขี้สะดุด แสดงถึงการไม่รู้จักแยกแยะ ลึกๆ คือ ขาดความคิดและขาดปัญญา
ตัวอย่างมีดังนี้
ก. โมเสส เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่โมเสส ไม่ใช่พระเจ้า
เราแยกแยะได้หรือไม่? โมเสส เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าเจิม
แต่โมเสส ไม่ได้เป็นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเหมือนเรา
ดังนั้น ท่าที การให้เกียรติต้องแตกต่างกว่าการให้เกียรติพระเจ้า
เราให้ความเคารพผู้นำ ผู้รับใช้พระเจ้า แต่อย่าถึงขั้นลัทธิบ้าหรือบูชาผู้นำ (คือ ผู้นำทำอะไรถูกต้องทั้งหมด ไม่มีผิด)

ข. แม้รูปเคารพดูน่าเกรงขาม แต่ให้ปัญญาและคำแนะนำไม่ได้
รูปเคารพมากมายที่เกิดขึ้นในสังคม ดูดี ดูขลัง ดูน่าเกรงขาม ผู้คนมากมายพากันซื้อบูชากราบไหว้
แต่ถามว่า รูปเคารพเหล่านั้นให้ปัญญาเราได้หรือ? ให้คำปรึกษาเราได้หรือ? ให้คำแนะนำเราได้หรือ?

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระวจนะให้คำว่า มีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ฟังไม่ได้ยิน มีปากแต่พูดไม่ได้
แล้วทำไมเราต้องทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบูชารูปเคารพ
ทั้งหมดก็เพราะขาดปัญญา เลยไม่มีความสามารถในการแยกแยะ

2.6 ความคิดทำให้เราโตขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้นและมีวุฒิภาวะมากขึ้น
ร่างกายของเราเติบโตได้ด้วยอาหารฉันใด จิตใจและจิตวิญญาณเราเติบโตได้ด้วยความคิดฉันนั้น
เมื่อเรากินอาหารทำให้เราโตขึ้น เมื่อเรากินความคิดของพระเจ้า ก็ทำให้จิตวิญญาณของเราเติบโตขึ้นเช่นกัน
เมื่อเราโตขึ้น เราก็เข้าใจชีวิตมากขึ้น ทั้งชีวิตของตัวเองและผู้อื่น และมีวุฒิภาวะมากขึ้น
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราได้กินความคิดของพระเจ้าหรือไม่ เราได้รับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่
เราได้รับความคิดจากนักปราชญ์หรือผู้ประสบความสำเร็จของชีวิตหรือไม่
ยิ่งเราสะสมความคิดมากขึ้นเท่าไร ชีวิตของเราก็เติบโตมากขึ้นเท่านั้น
พระเจ้าจึงสอนไว้ในพระธรรมสุภาษิตที่กล่าวมาแล้วว่า เราต้องยึด รักษาและจดจ่ออยู่กับพระวจนะของพระเจ้า

ยน.8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
พระวจนะเป็นความจริง และเมื่อเรารู้จักความจริง เราก็เป็นไท เป็นอิสระอย่างแท้จริง
เราจะรู้จักความจริงได้ ความคิดเราต้องได้สัจจะ (พระวจนะของพระเจ้า) เป็นอาหาร
ผลที่ได้รับจากการเติบโตด้านความคิด คือ เป็นอิสระ เป็นไทต่อตัวเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
เป็นอิสระจากความเกลียดชัง จากอคติ และจากความเห็นแก่ตัว
ไม่เป็นคนหลงตัวเอง เพราะในความดี มีความด้อย ในความแข็งแรง มีความอ่อนแอ
แต่คนที่รู้ตัวว่าอ่อนแอ แล้วกล้าปรับปรุง ก็แข็งแรงขึ้นได้
ถ้าเราไม่เติบโตขึ้น เราไม่มีทางก้าวพ้นปัญญาได้
ต้นไม้เมื่อยังเป็นต้นเล็ก หนามย่อมสามารถปกคลุมได้
ชีวิตที่ความคิดยังไม่เติบโต หนามย่อมคลุมเราได้เช่นกัน เช่น ความอ่อนแอ ความจำกัด ความไร้ค่า ฯลฯ
แต่เมื่อต้นไม้หรือชีวิตนั้นเติบโตขึ้น สูงขึ้น หนามก็ไม่สามารถปกคลุมได้อีกต่อไป
คนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ต้องมองไกลอย่างนกอินทรี ไม่ใช่มองใกล้อย่างนกกระจิบ
มีความฝัน และใฝ่ฝันได้ แต่ไม่เพ้อฝัน พระวิญญาณสามารถทำให้สิ่งที่เราคิดเป็นจริงได้

3. ลายเส้นของชีวิต
เราจะเข้าใจชีวิตของมนุษย์ ต้องเข้าใจลายเส้นชีวิต
3.1 เส้นชีวิตของคนมี 2 เส้น คือ เส้นเริ่มต้นและเส้นหลักชัย
เส้นชีวิตหลักของมนุษย์มีเพียง 2 เส้น เท่านั้น คือ เส้นเริ่มต้น และเส้นหลักชัย
ส่วนระหว่างทางนั้น จะล้มลุกคลุกคลาน จะมีเสียงปรบมือหรือโห่ร้องก็ไม่สำคัญ
เพราะบทสรุปของทุกชีวิต วัดกันที่ตอนจบ วัดกันที่เส้นหลักชัย
เริ่มต้นอย่างไรนั้น ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร ... ชีวิตเป็นกีฬามาราธอนที่ต้องวัดผลกันที่ตอนจบ
บางคนออกตัวดี แต่ไปไม่ถึงหลักชัย บางคนออกตัวช้า แต่ถึงเส้นชัยก็มี
ดังนั้น ระหว่างทางอย่ามัวแต่สนใจคนมอง คนพูด เพราะอาจจะทำให้เราไม่ถึงหลักชัยได้
และสุดท้ายจำไว้ว่า พระเจ้าเชียร์ให้เราถึงเส้นหลักชัยทุกคน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.2 ชีวิตของคนมีเรื่องมากมายที่เราไม่อยากทำ แต่เราต้องทำฝืนทำเพื่อความอยู่รอด
แต่ถ้าเราแลกศักดิ์ศรีเพื่อความอยู่รอดตลอดไป ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดไปทำไม
เพราะเกียรติศักดิ์ศรีของคนไม่ได้ทำเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่ทำให้คนอื่นอยู่รอดไปด้วย
ในข้อนี้ เป็นเรื่องระหว่างทาง ระหว่างเส้นเริ่มต้นกับเส้นหลักชัย
บางช่วงเราต้องทำเพื่อความอยู่รอด ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาได้ พระเจ้าไม่ซ้ำเติม
แต่มนุษย์มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีจากพระเจ้า ถ้าเราจะทำเพื่อความอยู่รอดตลอดไปโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของชีวิต
... เราก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์ แต่เกียรติของเรา ศักดิ์ศรีของเราอยู่ที่การทำให้ผู้อื่นอยู่รอดไปด้วยต่างหาก
ทางพระเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้ใครโตบนความตายของผู้อื่น
ทางพระเจ้าสนับสนุนให้เราทำเพื่อส่วนรวม แล้วส่วนตัวเราจะได้รับไปด้วย
หน้าที่ของเรา คือ ต้องสร้างตัวเองให้เติบโตขึ้นวันต่อวันรองรับงานของพระเจ้า
1คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย

3.3 ในช่วงที่ชีวิตต้องหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอด เรายังสามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้
แม้ความสามารถ เงินทอง ความรู้ไม่เท่ากัน แต่ทุกคนสามารถช่วยเหลือส่วนรวมได้บ้างไม่มากก็น้อย
การช่วยเหลือเอื้ออาทร การทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้ขึ้นกับทรัพย์สินที่มี
แต่ขึ้นกับน้ำใจที่มี สิ่งที่ทุกคนมี คือ น้ำใจและชีวิต
นี่คือ ลายเส้นชีวิตที่ทรงคุณค่าและมีเกียรติสูงทั้งในสายพระเนตรพระเจ้าและสายตาของมนุษย์

No comments:

Post a Comment