Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาล ” จาก “ ปญจ.3:1-15 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาล ” จาก “ ปญจ.3:1-15 ”

ปญจ.3:1-15 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวาะรเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่ มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไร ออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์ อะไรๆซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวง อะไรๆที่ล่วงไปนั้น
พระวจนะของพระเจ้า เป็นธัมมะที่ลึกซึ้งที่สุด โดยในตอนนี้กล่าวถึงความงดงามของสรรพสิ่งตามฤดูกาลของมัน
พระวจนะเริ่มต้นด้วยคำว่า “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง”
ในโลกนี้มีฤดูกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูฝน ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ... ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ต่างมีฤดูกาลสำหรับทุกคน มีฤดูกาลแห่งความสุข ฤดูกาลแห่งความเศร้า ฤดูกาลแห่งความเข้มแข็ง ฤดูกาลแห่งความอ่อนแอ
มีวาระเกิดและมีวาระตายได้ วันนี้ความรักเกิด พรุ่งนี้ความรักอาจจะตายได้ วันนี้เกิดในงานรับใช้พระเจ้า แต่อีกไม่นานอาจจะตายจากงานรับใช้ก็เป็นไปได้
มีวาระร้องไห้และมีวาระหัวเราะ เห็นเขาร้องไห้วันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะหัวเราะได้
ดังนั้น เราไม่ควรบังคับใครหรืออะไรให้เป็นไปตามใจของเราเอง แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามวาระที่พระเจ้าทรงกำหนด ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของชีวิต ถ้าเราคิดได้ ถ้าความคิดของเราเป็นระเบียบ เราจะเข้าใจชีวิตและเข้าใจสรรพสิ่งมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด เราจะมองเห็นสรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน

1. ชีวิตจะงดงาม ต้องเข้าใจและเข้าถึงธรรมชาติของชีวิต
ปญจ.3:1-8 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวาะรเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ
ชีวิตของเราจะงดงาม สรรพสิ่งจะงดงาม ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและเข้าถึงธรรมชาติของชีวิต
การบริหารงานนั้น ต้องใช้ “หัวสมอง” แต่การบริหารชีวิต ต้องใช้ “หัวใจ”
ถ้าเราใช้หัวใจในการบริหารชีวิต ใช้หัวใจในการมองสิ่งต่างๆ เราจะเห็นความงดงามของสิ่งนั้นๆ มากขึ้น

1.1 ทุกๆ ชีวิต มีฤดูกาลและกาลเวลาของตัวเอง
การเข้าใจธรรมชาติของชีวิต คือ ต้องเข้าใจว่าทุกชีวิตมีฤดูกาลและกาลเวลาของตัวเอง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โลกทัศน์ของเราต้องกว้างขึ้น มุมมองในการใช้ชีวิตของเราต้องกว้างขึ้น
เห็นใครโง่วันนี้ อย่าคิดว่าเขาจะโง่ตลอดไป เห็นใครจนวันนี้ อย่าคิดว่าเขาจะจนตลอดไป
เห็นใครร้องไห้วันนี้ อย่าคิดว่าเขาจะหัวเราะไม่ได้ เห็นใครล้มวันนี้ อย่าคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาไม่ได้
คนที่เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง จะไม่ด่วนสรุปคน แต่จะให้โอกาสคน ให้เวลาคนในการเติบโต

คุณตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อคิดเกี่ยวกับกาลเวลาของคน ไว้น่าสนใจว่า
ชีวิตคนเหมือนเข็มนาฬิกา บางคนเป็นเข็มยาว บางคนเป็นเข็มสั้น บางคนเป็นเข็มวินาที
การใช้เวลาแบบเข็มวินาที คือ คนที่ใช้แรงงาน ต้องทำงานกันทุกวินาที
การใช้เวลาแบบเข็มยาว (เข็มนาที) คือ ผู้ที่เป็นหัวหน้างาน
การใช้เวลาแบบเข็มสั้น (เข็มชั่วโมง) คือ ผู้บริหารสูงสุดหรือเจ้าของกิจการ ใช้หัวสมองคิดให้บริษัทก้าวหน้า
ทุกคนมีรูปแบบการใช้เวลาที่ต่างกัน ต่างก็ทำหน้าที่ของมันและหากใครทำผิดหน้าที่จะทำให้เสียงานไปหมด
โดยคุณตัน ยกตัวอย่างที่ลูกสาวลงทุนไปส่งพนักงานและกลับบ้านตีห้า คุณตันถามว่าแล้วพรุ่งนี้จะเอาสมองที่ไหนไปทำงาน
เราเป็นเข็มชั่วโมงแต่ไปทำหน้าเข็มวินาที มันไม่ถูกต้อง
ทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตนและตั้งใจทำหน้าที่ของตนไปเพราะทุกเข็มหมุนบนหมุดปักอันเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจว่าทุกชีวิต มีฤดูกาลและเวลาของตัวเอง เราจะเห็นความงดงามในทุกชีวิตมากขึ้น
ในขณะเดียวกันชีวิตของเราก็จะงดงามมากขึ้นเช่นกัน

1.2 ทุกชีวิต มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เราจะมองเห็นความงดงามของสรรพสิ่ง ถ้าเรายอมรับว่าทุกชีวิตมีความแตกต่าง
สัตว์บางอย่างดำรงอยู่ได้ในอากาศร้อน ถ้าให้มันไปอยู่ในอากาศหนาว มันจะตาย
สัตว์บางอย่างดำรงอยู่ได้ในอากาศหนาว ถ้าให้มันไปอยู่ในอากาศร้อน มันอาจจะตายได้เช่นกัน
มนุษย์ก็เช่นกัน เราทุกคนดำรงชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกัน เราควรให้อิสรภาพกับแต่ละคน
เช่น พ่อแม่ให้อิสรภาพกับลูกในการเลือกเรียนสิ่งที่เขาชอบ สามีภรรยาให้อิสรภาพแก่กันในบางเรื่อง
(เช่น รักกันไม่จำเป็นต้องกินอาหารเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องชอบสีเดียวกัน หรือไม่จำเป็นต้องไปไหนมาไหนด้วยกันทุกที่)
แต่การให้อิสรภาพในที่นี้ ก็มีขอบเขตเช่นกัน คือ เป็นอะไรก็ได้ ชอบอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
และที่สำคัญสิ่งที่เป็นหรือสิ่งที่ชอบนั้น ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิดบาปต่อพระเจ้า
เมื่อเราเห็น “ความต่าง” อย่าตกใจ เราแตกต่างได้ แต่อย่าเป็นตัวประหลาด
ในความหลากหลาย มีความงดงามอย่างอัศจรรย์ ...
เราต้องมองให้เห็น เราต้องเข้าใจชีวิต ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณ
คริสตจักรของพระเจ้า มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองชีวิตของคน
คริสตจักรมีหน้าที่ “เติม” ในสิ่งที่เขา “ขาด” และ “ต่อยอด” ในสิ่งที่เขา “มี”
ดังนั้น การเข้าคริสตจักรและการรับคำสอนจากพระวจนะของพระเจ้าจึงสำคัญมาก
ในการสร้างวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณ เพื่อเราจะเข้าใจชีวิต เข้าใจผู้อื่นและเข้าใจสรรพสิ่งได้มากขึ้น

2. เมื่อเข้าใจชีวิต เราก็จะมีความสุขและมองเห็นความงดงามของสรรพสิ่ง
ปญจ.3:9-10 คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ
พระวจนะในข้อนี้ เตือนให้เรารู้จักคิดในการดำเนินชีวิต ... “คนทำงานได้กำไรอะไรจากงาน?”
กำไรในการทำงาน ไม่ใช่เงินเสมอไป เพราะสิ่งที่มนุษย์ต้องการ มีมากกว่าอาหารหรือเงิน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มนุษย์ต้องการความสุข ต้องการสันติสุข ต้องการคนที่เข้าใจตัวเอง
เราจะมีความสุขมากขึ้น ถ้าเราเข้าใจชีวิตและสรรพสิ่งมากขึ้น

2.1 จะเข้าใจชีวิตได้ ต้องมีศิลปะในการดำเนินชีวิต
มก.10:29-30 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
เราต้องเข้าใจว่า ชีวิตนั้น มีทั้ง “ชีวิตในโลกนี้” และ “ชีวิตในโลกหน้า”
ชีวิตในโลกนี้ เป็นชีวิตอนิจจัง ชั่วคราว แต่ชีวิตในโลกหน้า เป็นชีวิตที่แท้จริง ถาวรนิรันดร์
1ยน.2:17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
1ทธ.6:19 อย่างนี้ จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
ถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราจะดำเนินชีวิตอย่างมีศิลปะและมีสติมากขึ้น
โลกนี้ ไม่ว่าเราจะรักมันแค่ไหน วันหนึ่งเราก็ต้องจากมันไปอยู่ดี
โลกนี้ ไม่ว่าเราจะมีมากหรือมีน้อย บทสรุป คือ ทุกคนต้องตาย
ดังนั้น เราต้องมีศิลปะในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีน้อย แต่มีความสุข ย่อมดีกว่ามีมาก แต่ปราศจากความสุข
สภษ.15:17 กินผักเป็นอาหารในที่ที่มีความรัก ก็ดีกว่ากินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความเกลียดชังอยู่ด้วย

2.2 ชีวิตจะงดงาม ถ้ารู้จักพอ
1ทธ.6:7-8 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด
นี่คือสัจธรรมของทุกชีวิต เราเอาอะไรเข้ามาในโลกไม่ได้ เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้
ชีวิตของเราในโลกนี้ จะมีความสุขและมีความงดงาม ถ้าเรารู้จักพอ
ฟป.4:11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
มีอะไร เท่าใดก็ให้พอใจในสิ่งนั้น อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองมีไปเทียบกับคนอื่น
มหาตมะ คานธี เคยกล่าวว่า “ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งโลกเพียงพอสำหรับที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก
แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงความโลภของคนเพียงคนเดียว”
ดังนั้น เราจะรู้จักพอได้ สติต้องดีพอ ปัญญาต้องดีพอด้วย
ทต.2:12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
1ปต.4:7 อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน

2.3 ไม่มีความงดงามใดเท่ากับความงดงามของพระเจ้า
ไม่มีความงดงามใด เท่ากับ ความงดงามของพระเจ้า
ความงดงามของพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ ความงดงามด้านจิตวิญญาณ คุณธรรม ความชอบธรรมของมนุษย์
“ที่สุดของความงดงาม” อยู่ที่ “จิตวิญญาณ” ไม่ใช่ “วัตถุ”
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนที่มีเงินมากมาย แต่ไม่มีอิทธิพลชีวิตกับผู้ใด ชีวิตไม่มีประโยชน์กับใคร ไม่ได้ถือว่าเป็นชีวิตที่งดงาม
อิทธิพลหรือบารมีของคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่ขึ้นกับคุณงามความดีที่เขาทำ
ความรัก ความศรัทธา ความเคารพนับถือบังคับกันไม่ได้ แต่มันจะเกิดขึ้น ถ้าชีวิตเรามีบารมีพอ (ชีวิตเราดีพอ)
พระเจ้ากำลังสร้างคนของพระเจ้า ให้มีอิทธิพลชีวิตกับผู้อื่น คนจนวัตถุ ก็สามารถร่ำรวยความงดงามของชีวิตได้
ดังนั้น เราไม่สามารถวัดความงดงามของคนได้จากสิ่งที่เขามี แต่ต้องวัดจากสิ่งที่เขาให้
ทุกคน ทุกชีวิตล้วนมีความงดงามในแบบของตนเอง
แต่คนที่อยู่ในทางของพระเจ้าจะได้เปรียบกว่า เพราะพระเจ้าจะเข้ามาช่วยสร้างความงดงามในชีวิตของเรามากขึ้น

2.4 การเข้าถึงพระคัมภีร์อย่างแจ่มชัด ทำให้เรามองชีวิตสวยงามมากขึ้น
พระคัมภีร์ คือ มาตรฐานในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนไม่เพียงแต่คริสเตียนเท่านั้น
การเข้าถึงพระคัมภีร์อย่างแจ่มชัด จะทำให้เรามองชีวิตสวยงามมากขึ้น เห็นความสวยงามของชีวิตมากขึ้น
พระคัมภีร์ให้ภาพความแตกต่างของแต่ละคนที่พระเจ้าทรงเรียก
แต่พระองค์ถือว่าทุกคนมีคุณค่า และทุกชีวิตงดงามจำเพาะพระพักตร์ของพระองค์
ก. ความแตกต่างระหว่าง “อับราฮัม” กับ “เอลียาห์”
คนหนึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย (อับราฮัม ปฐก.12-17) แต่อีกคนเป็นนักบวชที่ไม่มีอะไรเลย (เอลียาห์ 1พกษ.17-19)
แต่ทั้งสองเป็นผู้รับใช้ที่รับเกียรติจากพระเจ้าเหมือนกัน
ข. ความแตกต่างระหว่าง “เปโตร” กับ “เปาโล”
กท.2:7-8 แต่ตรงกันข้ามเมื่อเขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้น ที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต (เพราะว่าพระองค์ผู้ได้ทรงดลใจเปโตรให้เป็นทูต ไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต ก็ได้ทรงดลใจข้าพเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติเหมือนกัน)
เปโตร ถูกเรียกให้ประกาศข่าวประเสริฐกับยิว เป็นอัครทูตระดับประเทศ
เปาโล ถูกเรียกให้ประกาศข่าวประเสริฐกับคนทั้งโลก เป็นอัครทูตระดับโลก
แต่ทั้งสองเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงภาคภูมิใจ แต่เรียกใช้แตกต่างกัน
ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่เคยสอนให้มนุษย์ตัดสินใคร ผู้ตัดสินมนุษย์มีผู้เดียว คือ พระเจ้า
ถ้าเราจะตัดสินใครหรืออะไร ให้เราตัดสินตามมาตรฐานของพระคัมภีร์เท่านั้น
มนุษย์ทุกคนรับการสร้างอย่างแตกต่างกันจากพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าสร้างให้เราเป็นอย่างไรขอให้ภูมิใจแบบนั้น
และใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างดีที่สุด เราก็สามารถมีชีวิตที่งดงามได้ ไม่ต่างจากผู้รับใช้ที่กล่าวมาเลย
จำไว้ว่า “ถ้าเราเข้าใจคิด ชีวิตของเราจะงดงาม”

3. นิรันดร์กาลสำคัญที่สุด
ปญจ.3:11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่ มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
พระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมปัญญาจารย์ นอกจากจะทำให้เราเห็นความงดงามของสรรพสิ่งในมุมต่างๆ แล้ว
พระวจนะของพระเจ้ายังย้ำให้เราเห็นความสำคัญของนิรันดร์กาล “นิรันดร์กาลสำคัญที่สุด”
พระเจ้าทรงบรรจุดนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ ... แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะมองเห็น
ใครที่มองเห็นนิรันดร์กาล ชีวิตของผู้นั้นก็มีความสุขและมีความงดงามทั้งโลกนี้และโลกหน้า


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เปโตร สาวกชาวประมงที่เริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย เป็นยิ่งกว่าเลขศูนย์
แต่ชีวิตของเปโตร จบลงด้วยการเป็นเซนต์ปีเตอร์ (St.Peter) ที่ผู้เชื่อทั่วโลกให้ความเคารพศรัทธา
เริ่มต้นอย่างไร้ค่า แต่จบลงอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีในนิรันดร์กาล
ข้าพเจ้าจึงสอนเสมอว่า “คนที่เข้มข้นในโลกนิรันดร์กาล จะเกิดผลในโลกอนิจจัง”
พระเจ้าเป็นนิรันดร์ จิตวิญญาณเป็นนิรันดร์ สวรรค์เป็นนิรันดร์และนรกก็เป็นนิรันดร์เช่นกัน
ดังนั้น แม้เราจะใช้ชีวิตในโลกอนิจจัง แต่อย่าลืมว่าโลกที่แท้จริงของเรา คือ นิรันดร์กาล
ถ้าเราทุ่มเทให้สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นนิรันดร์ ชีวิตของเราก็จะสุขเป็นนิรันดร์เช่นกัน
อสย.57:15 องค์ผู้สูงเด่น คือผู้อยู่ในนิรันดร์กาล...
ยน.1:1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พระเจ้าดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล คือ ในนิรันดร์กาล
เมื่อพระเจ้าเป็นนิรันดร์ และเราต้องมีชีวิตอยู่นิรันดร์ ความคิดและทัศนคติของเราต้องยาวไกลนิรันดร์ด้วย
ฮบ.9:27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด
มนุษย์มีกำหนดว่าต้องตาย แม้ไม่อยากตายก็ไม่มีใครหนีความตายพ้น
มากกว่านั้นหลังความตายยังมีการพิพากษา เราหนีความตายไม่พ้นฉันใด เราหนีการพิพากษาไม่พ้นฉันนั้น
โลกหลังความตายหรือโลกนิรันดร์นั้น เราจะสุขหรือทุกข์นิรันดร์ ขึ้นกับเราเชื่ออะไรหรือสิ่งใดในโลกนี้
ความตายลดฐานะทุกคนลงเท่ากัน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ตายแล้วก็เปื่อยเน่า
แต่ความตาย ก็กำหนดบทบาททุกคนแตกต่างกัน ตามความเชื่อศรัทธาของแต่ละคนในโลกนี้
ในโลกนี้เราเชื่อสิ่งใด เราก็ต้องจากไปอยู่กับสิ่งนั้น เชื่อพระเจ้าจากไปก็อยู่กับพระเจ้า

4. ความสุขในโลกนี้
ปญจ.3:12-13 ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา
พระวจนะตอนนี้ กล่าวถึงความสุขในโลกนี้ของมนุษย์ด้วย
เราสามารถเปรมปรีดิ์และร่าเริง เราสามารถกินดื่มและเพลิดเพลินในผลของการงานได้
ตราบใดที่สิ่งนั้น ไม่ทำร้ายหรือทำลายผู้อื่น และไม่ผิดต่อพระเจ้า เราต้องมองทุกอย่างให้สวยงามอย่างที่พระเจ้ามอง
คนของพระเจ้ามีเงินมากไม่ได้ถือเป็นเรื่องบาป แต่การตกเป็นทาสเงินนั่นแหละบาป
เราต้องมีมาก เพื่อจะสามารถให้ได้มาก ถ้าเรามีน้อย เราจะให้มากได้อย่างไร
2คร.9:8-9 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
เราต้องมองโลกและมองชีวิตอย่างที่พระเจ้ามอง อย่าใช้ทัศนคติของตัวเองหรือของมนุษย์ทั่วไป
แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้นในการใช้ชีวิตในโลกใบนี้

5. การยอมรับกฎของพระเจ้า ทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาล
ปญจ.3:14-15 ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์ อะไรๆซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวง อะไรๆที่ล่วงไปนั้น
พระวจนะของพระเจ้าทิ้งท้ายไว้ด้วย “กฎของพระเจ้า”
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 2 ม.ค. 11 (รอบเช้า) -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คือ มนุษย์ไม่สามารถเพิ่มเติมอะไรเข้าไปได้ และมนุษย์ไม่สามารถชัดอะไรออกเสียได้
สรรพสิ่งจะงดงามตามฤดูกาลและชีวิตของเราจะงดงามตามฤดูกาล ก็ต่อเมื่อเรายอมรับกฎของพระเจ้า
เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ พระเจ้าวางกฎหรือกำหนดไว้อย่างไรสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามนั้น
ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างเข้าใจและยอมรับกฎของพระเจ้า ชีวิตของเราจะงดงามไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดๆ ก็ตาม

No comments:

Post a Comment