Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ กุญแจสู่ความดีเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ กุญแจสู่ความดีเลิศ ” จาก “ ฟป.3:12-16 ”
ตอน 2 : ฉวยโอกาส

ฟป.3:12-16 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วยแต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป
ลูกพระเจ้า ต้องมีมาตรฐานที่ดีที่สุด คือ มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
เมื่อเรามีภาพชัดเจนว่าชีวิตต้องมุ่งสู่ความดีเลิศ เพราะความดีเลิศเป็นมาตรฐานชีวิตคริสเตียน และเป็นมาตรฐานของการดำเนินชีวิตทุกเรื่อง เราไม่เพียงเป็นคนดีเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนดีที่พัฒนาด้วย
มนุษย์จะถกเถียงกันในเรื่องหลักข้อเชื่อว่า เชื่ออะไรดีกว่าอะไร แต่ไม่มีใครเถียงเรื่อง “ชีวิตใหม่” ของผู้เชื่อได้ เช่น เคยเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เคยทำร้าย แต่เดี๋ยวนี้ทำดี ... เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเถียงได้
สำหรับพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ มีสามคำที่สำคัญในการนำเรามุ่งไปสู่ความดีเลิศ คือ
1) บากบั่นมุ่งไป
2) ฉวยโอกาส
3) ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสียและโน้มตัวไปข้างหน้า
ในตอนที่ 2 นี้ ขอเน้นเฉพาะกุญแจดอกที่ 2 คือ ฉวยโอกาส ดังนี้

1. ฉวยเอาอย่างที่พระองค์ทรงฉวยเอาข้าพเจ้า
ฟป.3:12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ฉวย ชิง ฉก มีความหมายใกล้เคียงกัน และคล้ายกับการบากบั่นมุ่งไป แต่เป็นการลงรายละเอียดที่ลึกกว่า
เพื่อจะให้เข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น เราต้องเข้าใจที่มาที่ไปจากพระวจนะข้อนี้เสียก่อน ดังนี้

1.1 การที่พระเจ้าทรงฉวยเปาโลไว้ ... ต้องใช้ความอดทนสูง และต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
เปาโล รู้ซึ้งกับคำว่า “ฉวย” นี้ดี เพราะครั้งหนึ่งพระเจ้าเข้ามาฉวยชีวิตของท่านไว้
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงฉวยเปาโลไว้ พระองค์ต้องใช้ความอดทนสูง
คือ อดทนต่อการเคี่ยวเข็ญราวีของเปาโล ที่มีต่อคริสตจักรของพระเจ้า
กจ.9:1-2 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิตประจำการ ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม

เปาโล ข่มเหงและฆ่าคริสเตียน เพราะเข้าใจผิดคิดว่าดูหมิ่นพระเจ้า
พระองค์จึงต้องทรงตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยว เนื่องจากเห็นว่าเปาโลกำลังจะถลำลึกและเลยเถิดตกนรกไป
จึงตัดสินพระทัย “หยุด” เขาไว้ “ฉวย” เขาไว้เป็นของพระองค์
การฉวยของพระเจ้าแรง ... เป็นแสงสว่างส่อง ทำให้ตาบอด จึงจะหยุดเปาโลได้
กจ.9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

กจ.9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส

1.2 พระเยซูเสด็จงมาหยุดเปาโล มาฉวยเปาโลด้วยพระองค์เอง
กจ.9:3-4 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบเซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม"
ในเวลานั้น การฆ่าและข่มเหงคริสเตียนทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ดังนั้น ผู้เดียวที่จะหยุดเปาโลได้ คือ พระเจ้า
พระเจ้าทรงมาหาเปาโล มาฉวยเปาโลด้วยพระองค์เอง กล่าวว่า “เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

1.3 เซาโล (เปาโล) ตอบสนองการฉวยของพระองค์ ... ทูลตอบว่า “ พระองค์คือผู้ใด? ”
กจ.9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง”
การที่เปาโล ทูลถามพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด”
คือ การยอมจำนนต่ออำนาจ ยอมจำนนต่อพระสุรเสียงและการสำแดงนั้น
เปาโลตอบสนองต่อการฉวยของพระเจ้าอย่างถูกต้อง
จาก “ศัตรูกางเขน” กลายมาเป็น “องครักษ์พิทักษ์กางเขน”
เพราะมีประสบการณ์ในพลังฤทธิ์เดชของพระเจ้าด้วยตัวเอง
เวลานั้น เปาโลเก่งที่สุด มีอำนาจสูงสุดจากรัฐบาลในการข่มเหงคริสเตียน
แต่เวลานั้นท่านได้พบกับอำนาจที่ใหญ่ยิ่งกว่า คือ อำนาจของพระเจ้า
นี่คือ ความหมายของคำว่า “ฉวย” ที่เปาโลกล่าวเอาไว้

กจ.26:9-18 เป็นคำให้การของเปาโลต่อหน้ากษัตริย์อากริปปา
ท่านเคยเกลียดคริสเตียน เพราะท่านรักพระเจ้า คิดว่าพวกนั้นหมิ่นประมาทพระองค์
ท่านเคยขัง ตี ทำโทษ คริสเตียนจำนวนมากมาย
ในขณะที่ท่านทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าคริสเตียน ... พระเจ้าก็ทำทุกวิถีทางที่จะนำเปาโลกลับมา
ท้ายที่สุดท่านจึงไม่อาจที่จะขัดขืนนิมิตจากสวรรค์
กจ.26:19 ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน

หลักชัยและกุญแจสู่ความดีเลิศของคริสตจักร เป็นแนวทางเดียวกับพระเจ้า
คือ นำคนให้รอดมากที่สุด นำคนให้พ้นมารมากที่สุด นำคนให้มีความสุขมากที่สุด
และการฉวยเอาไว้ การฉวยโอกาส ก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้เรามุ่งไปสู่หลักชัยนี่ได้

2. ฉวยเอา คือ ฉวยโอกาส
2.1 โดยเห็นคุณค่าของโอกาส
อฟ.5:15-16 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
พระวจนะในตอนนี้ เตือนสติเราให้ดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา
เมื่อโอกาสมาถึง ทุกคนมอง แต่น้อยคนเห็น ... คนที่เห็น คือ คนที่เห็นคุณค่าของโอกาส

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สภษ.20:12 หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเจ้าทรงสร้างมันทั้งสอง
พระเจ้าทรงสร้าง “ตา” และ “หู” ให้กับมนุษย์ทุกคน
แต่ไม่ใช่ทุกตาที่มองจะ “เห็น” ไม่ใช่ ทุกหูที่ฟังจะ “ได้ยิน”
คนที่จะมองเห็น และฟังได้ยิน คือ คนที่เห็นคุณค่าของโอกาส
เมื่อโอกาสเข้ามา อย่าปล่อยให้ผ่านไป เราต้องฉวยมันไว้ให้ได้

2.2 โดยใช้สติปัญญา
คส.4:5 จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส
เราจะฉวยโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมุ่งไปสู่ความสำเร็จ ก็ต่อเมื่อ ฉวยโอกาสด้วยใช้สติปัญญา
อะไรควรทิ้ง อะไรควรทุ่ม อะไรควรวาง อะไรควรรับไว้เฉยๆ ... ต้องมีการใช้สติปัญญา
โอกาสมาถึง เราต้องฉวยก็จริง ... แต่โอกาสจะมีค่ามากที่สุด เมื่อเราใช้ปัญญา เมื่อเรามีปัญญา
ปัญญาอยู่เหนือความรู้ ... เราเคารพคนมีความรู้ แต่ไม่ได้เป็นอัตโนมัติว่า มีความรู้ จะมีปัญญา
คนไทยส่วนใหญ่จบปริญญาด้วยการท่องจำ มากกว่าความเข้าใจ
สังคมไทยจึงไม่พัฒนาเท่าที่ควร

ก. เราจะได้สติปัญญา ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เปิดใจ เปิดสมอง เรียนรู้ตลอดเวลา
1ปต.3:15 แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ
เตรียมตัวให้พร้อม คือ ตื่นตัวอยู่เสมอ
โอกาสมาถึงเมื่อไร คนที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ ย่อมมองเห็นก่อนผู้อื่น

ข. ทุกสิ่ง ทุกคน ทุกสถานการณ์ที่เราพบ จะสร้าง สอนและให้โอกาสเรา

3. ทัศนคติเกี่ยวกับโอกาส
ยน.4:35-38 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้วคนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกันเพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง คือ "คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว" เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา"
พระเยซูทรงสอนทุกอย่างเป็นนัยยะอยู่เสมอ
จุดเริ่มต้นของการเห็นโอกาส คือ การเงยหน้า ลืมตาดู
สมองต้องเปิด ต้องคิดอยู่เสมอ ถ้าเราไม่เงยหน้าดู เราจะไม่มีวันมองเห็นโอกาส
ยิ่งปัจจุบัน มีวิกฤตมากมาย ยิ่งจะเป็นโอกาสของผู้ที่มองเห็น
ผู้ที่ทำ ผู้ที่ฉวยโอกาส จะไม่เหนื่อยเปล่า
แต่อะไรก็ตามจะได้รับผล ต้องมีคนหว่าน คนเกี่ยว คนลงแรง
- ลำบากตอนหนุ่มสาว ย่อมดีกว่าลำบากตอนแก่ชรา
- ชีวิตเริ่มต้นอย่างไรไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร?
เราต้องมองให้เห็นโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเราเสมอ


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.1 โอกาส คือ อนาคตและความมั่นคง
มธ.13:44-46 แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้นอีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดีและเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
โอกาส คือ ขุมทรัพย์
ทุกสิ่งที่พบ ทุกคนที่เจอ ทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามา ล้วนมีคุณค่าต่อเรา หากเราเห็นคุณค่าของมัน

3.2 ความคิดที่ดีเลิศ ย่อมมาก่อนโอกาสที่ดีเยี่ยม
อฟ.5:15-16 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
สิ่งที่เราต้องสนใจ คือ โอกาสที่จะได้ความคิดที่เป็นเลิศ
ความคิดที่พัฒนา คิดนอกกรอบ ไม่ใช่อยู่ในกรอบตลอดเวลา
ในการทำงานเราต้องอยู่ในกรอบของกติกา แต่ความคิดไม่ขีดจำกัด
ใครคิดก่อน ก็ได้ก่อน ใครทำได้ก่อน ก็สำเร็จก่อน
เช่น ทุกคนเห็นผลไม้หล่นจากต้นสู่พื้น ... แต่มีคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่า “ทำไม” คือ นิวตัน
ความคิดของไอแซค นิวตัน ทำให้เรารู้จักกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก
คนอื่นคิดไม่ได้ แต่เขาคิดได้ โลกได้ประโยชน์มหาศาลจากความคิดของเขา

พระวจนะเตือนแล้วว่า “อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา”
คนมีปัญญา ต้องรู้จัก “คิด” และความคิดที่ดีเลิศ จะนำเราไปสู่โอกาสที่ดีเยี่ยมเสมอ
ต้องรู้จักบริหารเวลา วันๆ เราทำอะไร ... ผลของการใช้เวลานั้นเราได้อะไร
นี่แหละจึงกล่าวว่า “ความคิดที่ดีเลิศ ย่อมมาก่อนโอกาสที่ดีเยี่ยม”

3.3 โอกาส มักเกิดจากปัญหาเสมอ ถ้าเรามองหาโอกาสอันยิ่งใหญ่ ก็จงมองปัญหาที่ยิ่งใหญ่ให้พบ
ทัศนคติที่ถูกต้องอย่างหนึ่งเกี่ยวกับโอกาส คือ มันมักจะเกิดจากปัญหาเสมอ
“โอกาส” เกิดจาก “ปัญหา” ... ปัญหาเปิดให้คนเห็นโอกาส
เช่น มีความป่วยไข้ ก็ต้องผลิตยารักษา, มีอากาศหนาวเหน็บ ก็ต้องผลิตเสื้อผ้าที่อบอุ่น
ดังนั้น หากอยากจะพบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องมองผ่านปัญหาที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างจากพระคัมภีร์
มธ.15:34-38 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน" เขาทูลว่า "มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว" พระองค์จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดินแล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อน และปลาเหล่านั้นมาโมทนาพระคุณแล้ว จึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชนและคนทั้งปวงได้รับประทานอิ่มทุกคน อาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บได้เจ็ดตะกร้าผู้ที่ได้รับประทานอาหารนั้น มีผู้ชายสี่พันคนมิได้นับผู้หญิงและเด็ก
ปัญหาขาดแคลนอาหาร ... ทำให้คนจำนวนมากเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระวจนะตอนนี้สอนเราว่า ... ในการขาดแคลน ก็ยังมีโอกาส
คนที่เป็นเจ้าของขนมปัง ทำให้ช่วยคนเป็นอันมาก และทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระองค์ทำ “สิ่งเล็ก” ให้เป็น “สิ่งใหญ่” ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

“ปัญหา” ทำให้เราเห็น “พระพร” อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ อัศจรรย์ ทรงสัพพัญญู
แต่พระเจ้าก็สมดุล พร้อมช่วยและอวยพร เมื่อเราทำสุดกำลังของเรา
ดังนั้น ถ้าอยากรับพระพรจากพระเจ้า อย่าทำอะไรแบบขอไปที ต้องทำสุด

มธ.14:28-29 ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์" พระองค์ตรัสว่า "มาเถิด" เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู
โอกาสเดินบนน้ำของเปโตร
สาวกทุกคนเห็นพระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ
มีเพียงเปโตรเท่านั้นที่พูดกับพระเยซู ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร
เปโตร พูด เพราะเปโตรเห็นโอกาส ... เปโตร จึงรับโอกาสเดินบนน้ำจากพระเยซู
ดังนั้น หากเราอยากเห็นโอกาส เราก็ต้องกล้าที่จะเดินเข้าสู่ปัญหาด้วย

3.4 เมื่อโอกาสมาถึง ต้องทุ่มสุดกำลังคว้าเอาไว้ให้ได้
ยน.9:4 เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้
เราต้องทำทุกอย่างด้วยสุดกำลัง อย่าทำแบบขอไปที
เพราะการทุ่มสุดกำลัง จะทำให้เราสามารถรักษาโอกาสเอาไว้ได้เมื่อมันมาถึง
พระเยซูสอนให้เราทำงานมีมีโอกาส เมื่อหมดโอกาสเราทำไม่ได้
ยังวันอยู่ คือ ยังมีโอกาส ... ยังวันอยู่ ไม่ใช่ยามค่ำคืน
เมื่อมีโอกาสต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้จบ อย่าให้โอกาสมาถึงเราแล้วผ่านเลยไป

3.5 จงดูแลรักษาโอกาสให้ดี แล้วปัญหาจะหมดไป
อฟ.5:15-16 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
เราต้องดูแลรักษาโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราให้ดี
เพราะเป็นหลักการของพระเจ้าที่ว่า “หว่านอะไร เราจะได้เกี่ยวเก็บสิ่งนั้น”
ถ้าเรารักษาไว้ดี เราก็จะได้ของดีเช่นกัน

3.6 ปัญหามีไว้ให้แก้ก็จริง แต่มันมักมาพร้อมโอกาสเสมอ
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องค้นหาสาเหตุ ... ถ้าปัญหานั้นเกิดจากตัวเรา ก็ใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุงตัว
จำไว้ว่า “ทุกปัญหา เป็นโอกาสสำหรับคนของพระเจ้า”
ตัวอย่าง
1ซมอ.17 ดาวิดฆ่าโกลิอัทตาย
โกลิอัท เป็นยอดทหาร สูงหกศอกคืบ ไม่มีใครกล้ารบด้วย
แต่ดาวิดเด็กเลี้ยงแกะ กล้าหาญที่จะรบ
1ซมอ.17:45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหา ท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น
1ซมอ.17:50 ดังนั้นดาวิดก็ชนะคนฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 09 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ปัญหามีไว้แก้ มารมีไว้ชนะ ... ทุกปัญหาเป็นโอกาส
คนส่วนใหญ่เห็นปัญหาเหมือนผี คือ เห็นปัญหา แล้ววิ่งหนี แต่คนที่มีปัญหาแล้วแก้ไข คือ คนที่พัฒนาแล้ว

3.7 ทุกๆ ปัญหา เป็นโอกาสของปัญญา
ทุกปัญหา เป็นโอกาสที่เราจะใช้ปัญญา ใช้เชาว์ไหวพริบแก้ปัญหา
ตัวอย่าง
มีคน 3 คน กำลังก่ออิฐ
คนแรก ก่ออิฐ เพราะต้องทำมาหากิน ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ... ก็ก่ออิฐพอผ่านๆ
คนที่สอง ก่ออิฐ เพราะตระหนักว่าเป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่การงาน ... ก็ก่ออิฐได้ดีกว่าคนแรก
คนที่สาม ก่ออิฐ เพื่อจะสร้างเป็นอนุสาวรีย์ สร้างคุณงามความดีให้สังคม ... จึงก่ออิฐอย่างดีที่สุด
ก่ออิฐเหมือนกัน แต่ทัศนคติในการก่อต่างกัน
คนหนึ่งทำเพื่อทำมาหากิน คนหนึ่งทำเพื่องาน อีกคนหนึ่งทำเพื่อสร้างความดีให้สังคม
ผลที่ได้ออกมาย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทัศนคติ ความคิดอยู่ในสมองซึ่งเล็กมาก เมื่อเทียบกับร่างกาย
แต่ผลลัพธ์กลับยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างคำกล่าวที่ว่า “ปรัชญาชีวิตถูกต้อง ก็บริหารชีวิตได้ถูกต้อง”
ปัญหาจะสร้างให้เราเกิดปัญหา และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้กับชีวิตของเรา

3.8 จงฉวยเอาไว้เป็นของตน เหมือนพระเจ้าฉวยเอาไว้เป็นของพระองค์
หมายถึง ให้ทำดีที่สุด ทำสุดกำลัง ทำอย่างถวายหัว ทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน
บุคคลที่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด อย่างละเอียดที่ถ้วนคนหนึ่งของโลก คือ ไมเคิล แองเจลโล
เขาใช้เวลาเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการทำงานอยู่เสมอ จนผู้ช่วยของเขาต้องประหลาดใจ
และถามว่า “ทำไมท่านเสียเวลา ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยมากขนาดนี้”
ไมเคิล แองเจลโล กล่าวตอบว่า
“รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้แหละ ที่ทำให้งานสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ และข้าจะเป็นที่จดจำหรือไม่?”

3.9 คริสเตียนเป็นบุตร เป็นทายาท เป็นเจ้าสาว เป็นพระกาย เป็นสหายของพระเจ้า
ไม่ว่าจะทำอะไรจงทำอย่างดีเลิศที่สุด ถวายเกียรติที่สุด
วว.19:8 ทรงโปรดให้เจ้าสาวสวมผ้าป่านเนื้อละเอียดใสบริสุทธิ์ เพราะผ้าป่านเนื้อดีนั้นได้แก่ การประพฤติอันชอบธรรมของพวกธรรมิกชน
เจ้าสาวของพระคริสต์ ต้องสวมผ้าป่านเนื้อละเอียด คือ ทำดีที่สุด พิถีพิถันมากที่สุด
- แม้งานกวาดถนน ก็ทำอย่างละเอียดที่สุดเหมือนอย่างไมเคิล แองเจิลโล วาดภาพ
- หากเป็นนักร้อง นักดนตรี จงเป็นอย่างดีที่สุด เหมือนบีโธเฟน
- หากเป็นนักเทศน์ นักกฎหมาย ทนาย อัยการ ก็ทำให้ดีที่สุดเหมือน เช็คสเปียร์แต่งบทกวี
ลูกพระเจ้า ต้องฝึกทำดีเลิศอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นนิสัยติดตัว
เป็นอะไร ทำอะไร จงทำให้โลกและทูตสวรรค์หยุดคำนับเรา เพราะงานที่เราทำ
และให้พระเจ้าได้รับเกียรติยศในชีวิตของเรา
1คร.4:9 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งเราผู้เป็นอัครทูตไว้ในที่สุด เหมือนผู้ที่ได้ถูกปรับโทษให้ถึงตาย เพราะว่าจักรวาลคือทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์ มองดูเราด้วยความพิศวง

No comments:

Post a Comment