Sunday, April 24, 2011

เรื่อง “ ความยุติธรรมของพระเจ้า ” ตอน 1 จาก “ กท.6:7 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ ความยุติธรรมของพระเจ้า ” ตอน 1 จาก “ กท.6:7 ”

กท.6:7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ แต่เป็นวิญญาณที่มีลักษณะเป็นบุคคล เราเห็นและสัมผัสได้ เช่น
- พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราสัมผัสได้ถึงความรักของพระองค์
- พระเจ้าทรงเป็นองค์ปัญญา เราเห็นถึงพระปัญญาของพระองค์ในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง
- พระเจ้าทรงเป็นองค์นิรันดร์ พระองค์ไม่ตาย เราสัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าได้
- พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงฤทธิ์ เราเห็นถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าท่ามกลางเรา
คำเทศนา และคำพยากรณ์ใดก็ตามที่ขัดกับพระลักษณะของพระเจ้า แสดงว่า เป็นคำเทศนา และคำพยากรณ์ผิด และเมื่อเราเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้า เราก็จะสามารถปรับความคิดให้เหมือนพระองค์ได้

ความยุติธรรม เป็นอีกพระลักษณะหนึ่งของพระเจ้า ... พระเจ้าทรงเป็นความยุติธรรม
เครื่องหมายของตุลาการ คือ ความยุติธรรม และเที่ยงตรง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนมักกล่าวว่า “ความยุติธรรม ไม่มีอยู่ในโลก”
“ดวง” ของคนจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เป็น ด.เด็กของใคร? ว.วิ่งเก่งหรือไม่? และ ง.เงินถึงหรือเปล่า?
แต่พระเจ้าทรงเป็นองค์ยุติธรรม ไม่มีใครที่ตัดสินใจเดินตามพระเจ้า ทำตามพระคัมภีร์แล้วจะไม่ได้ดี หรือไม่ได้รับความยุติธรรม เพียงแต่ความยุติธรรมของพระเจ้า เป็นเหมือนต้นไม้ยืนต้น ไม่ใช่พืชล้มลุก หลายครั้งว่าเราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมนั้น ต้องใช้เวลา และความอดทนเป็นอย่างมาก

1. พระเจ้าทรงเป็นองค์ยุติธรรม
กท.6:7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
พระวจนะตอนนี้ย้ำกับเราว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ยุติธรรม
ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้ พระองค์ไม่เอียง ไม่บิดเบี้ยว แต่ทรงเที่ยงตรงและยุติธรรม
สิ่งที่เห็น หลายครั้งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นเสมอไป เพราะมนุษย์หลอกกันได้
แต่ไม่มีใครสามารถหลอกพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะหว่านอะไรลงไป เราต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้นเสมอ

1.1 มนุษย์หลอกพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์มีหูทิพย์ ตาทิพย์ และทรงเป็นองค์สัพพัญญู
ไม่มีมนุษย์คนใดหลอกพระเจ้าได้
เพราะพระเจ้าทรงมีหูทิพย์ ตาทิพย์ และทรงเป็นองค์สัพพัญญู
สดด.139:1-13 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกลพระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้วพระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึงข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระ องค์ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนผู้ตาย พระองค์ทรงสถิต ที่นั่นถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้นแม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้ถ้าข้าพระองค์จะว่า "ขอเพียงความมืด จงบังข้าไว้ และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน"สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ความมืดเป็นอย่างความสว่างเพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกัน ในครรภ์มารดาของข้าพระองค์
พระวจนะตอนนี้ เป็นความสัพพัญญูของพระเจ้า
ไม่เพียงการกระทำเท่านั้นที่มนุษย์ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้
แม้แต่ “ความคิด” ที่อยู่ในใจของมนุษย์ ก็ไม่สามารถหลอกพระองค์ได้เช่นกัน
มารที่ว่าเก่งนั้น ก็ไม่อาจรู้ความคิดของมนุษย์ได้ ...
ตราบใดที่เราไม่พูดออกมา มารไม่รู้ว่ามนุษย์คิดอะไร
แต่ความคิดของเรา แม้ไม่พูด พระเจ้าก็ทรงทราบ เพราะพระองค์ทรงสัพพัญญู
(ภาษาแปลกๆ จึงช่วยเราในการอธิษฐาน เพราะมารไม่รู้ว่าเราอธิษฐานสิ่งใด แต่พระเจ้าทรงทราบ)
ดังนั้น จึงกล่าวว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะหลอกพระเจ้าได้

พระเจ้าทรงสัพพัญญู รู้ตอนจบ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
เราอยู่ที่นี่ ณ วันนี้ วันตายเราเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงทราบแล้ว
ดังนั้น เมื่อพระเจ้าตัดสิน พระองค์ไม่เพียงดูที่วันนี้เท่านั้น พระองค์ทรงมองดูถึงนิรันดร์
วันพิพากษา จึงไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าไม่ยุติธรรม
เราต้องเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า และพระองค์ทรงยุติธรรมกับทุกคน

ไม่ว่าใครจะดี หรือไม่ดี ก็ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้
และจำไว้ว่า สิ่งที่เห็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นเสมอไป
พระเจ้าจึงสอนให้เรา อวยพร อย่าแช่งด่า ตาม รม.12:14
หากพระเจ้าอวยพรใคร อย่าทำอะไรแก่ผู้นั้น เพราะเกรงว่าเราจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า
หลายคนที่เรามองว่าดี แท้จริงอาจจะไม่ดี หลายคนที่เรามองว่าไม่ดี แท้จริงเขาอาจจะดีก็ได้
อย่าตัดสินตามสายตาของมนุษย์ แต่ต้องตัดสินอย่างพระเจ้า
“มาร” เท่านั้นที่ “อธรรม” แต่ “พระเจ้า” ทรง “ยุติธรรม”

1.2 มนุษย์หว่านสิ่งใด ก็เกี่ยวเก็บสิ่งนั้น พระเจ้าให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน
กท.6:7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
หลักการของศาสนา ก็มาจากหลักของพระคัมภีร์ คือ กฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการหว่าน
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้น
แต่ขบวนการในการไปถึงปลายทางหรือบทสรุปนั้น ต้องรอ ต้องใช้เวลา
แต่ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าของเราทรงยุติธรรม มนุษย์จะรับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างแน่นอน ทั้งดีและชั่ว

ยรม.17:10 เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของ เขา
ทุกประเทศมีกฎหมาย แต่คนไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะคนรักษากฎไม่ยุติธรรม
แต่พระเจ้าของเราเป็นผู้ตั้งกฎ แต่พระองค์ทรงยุติธรรม และเต็มไปด้วยความรัก
ดังนั้น เราจึงมีความหวังในพระองค์ได้เสมอ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าตรวจค้นดูมนุษย์ แม้ความคิดจิตใจของเขาที่อยู่ภายใน
ตัวอย่าง อานาเนีย และสัปฟีรา หลอกมนุษย์ได้ แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้
กจ.5:1-5 แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตนและเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า อานาเนีย เหตุไฉนซาตาน หมายความว่า ผู้ขัดขวางจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า" เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
พวกเขาถวายทรัพย์เพื่อเอาหน้า แต่ถวายไม่ครบ ... ไม่มีใครรู้ แต่พระเจ้ารู้ และผลคือ เขาล้มลงถึงตาย
พระเจ้าไม่ได้อยากได้เงินของเขา แต่เพราะเขาหมิ่นพระเจ้า
ทำเหมือนพระองค์หูหนวก ตาบอด ไม่รู้ความจริง
พระเจ้าเต็มไปด้วยความรักก็จริง ในขณะเดียวกันก็เข้มงวด
ยิ่งพระเจ้าให้โอกาสเรามากเท่าไร ผู้นั้น ต้องยิ่งรับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น

1.3 พระเจ้ามีรางวัลให้กับทุกคนตามการกระทำของเขา นี่คือ ความยุติธรรมของพระเจ้า
วว.22:12-13 ดูเถิด เราจะมาในเร็วๆ นี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนการกระทำของทุกคนเราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นปฐมและเป็นอวสาน
พระเจ้าทรงยุติธรรม ให้รางวัลทุกคนตามการกระทำ
ดังนั้น อย่าออกพระนามของพระเจ้าเล่นๆ เช่น การสาบานหรือการสัญญาต่อพระองค์
ถ้าสัญญาแล้ว ต้องรักษาสัญญา สัญญาแล้ว ต้องทำ โดยเฉพาะสัญญากับพระเจ้า
แต่ถ้าทำไม่ได้ อย่าสัญญากับพระองค์
เพราะพระองค์จะตอบแทนเราทุกคนตามการกระทำของเราเอง

1.4 พระเจ้าทรงยุติธรรม แม้จุดหรือขีดเล็กๆ ก็ไม่พลาด
มธ.5:18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
ความยุติธรรมของพระเจ้านั้น แม้จุดเล็กๆ หรือขีดเล็กๆ ก็ไม่มีผิดพลาด
ถ้อยคำพระเจ้า ทุกคำ ทุกขีด ทุกจุด ทุกอักษร ละเอียดมาก ไม่สูญไปจนกว่าจะเกิดขึ้น
พระเจ้าทรงละเอียด มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่มองอย่างจับผิด
พระเจ้าไม่ได้มองที่จุดเริ่มต้น แต่มองทุกอย่างที่จุดจบ

ดังนั้น อย่าหมิ่นประมาทพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์
พวกที่ชอบสบาย ไปตายเอาดาบหน้า ผลสุดท้าย คือ ได้ตายจริงๆ
วันหนึ่งทุกคนต้องตาย และตายแล้วผู้พิพากษามนุษย์ คือ พระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าใน วว.1:7 ที่ว่า “ดูเถิดพระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวง และคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์ และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์ จะเป็นไปอย่างนั้น อาเมน” จะสำเร็จ
วันหนึ่งทุกคนจะร้องไห้เพราะพระเยซู เพราะผู้นั่งบนบัลลังก์พิพากษา คือ พระเจ้า
ถ้ารู้อย่างนี้ เชื่อตั้งนานแล้ว ... แต่ที่ไม่เชื่อ เพราะไม่รู้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มก.16:15 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
พระวจนะสั้นๆ แต่กินความนิรันดร์
พระเจ้าทรงยุติธรรม พระวจนะบันทึกไว้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น
ดังนั้น เราต้องสำรวจการกระทำของตัวเราเองในโลกนี้ เพื่อที่จะสามารถรับรางวัลจากพระเจ้าได้

1.5 พระลักษณะของพระเจ้า คือ ความยุติธรรม
สดด.19:7-9 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญาข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้งความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น
พระเจ้าทรงยุติธรรม พระวจนะของพระเจ้าก็ทรงยุติธรรม
รอบคอบ, แน่นอน, ถูกต้อง, บริสุทธิ์, หมดจด, ถาวรเป็นนิตย์, สัตย์จริง และชอบธรรม

มาตรฐานของมนุษย์วัดความยุติธรรมไม่ได้
บางที่บอกว่ากินหมูได้ กินเนื้อไม่ได้ บางที่บอกว่ากินเนื้อได้ กินหมูไม่ได้
แล้วสิ่งใดถูก หรือสิ่งใดผิด เราก็ตอบไม่ได้
แต่มาตรฐานของพระเจ้า คือ ความยุติธรรม
ความยุติธรรมต้องมาจากพระเจ้าผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์

2. มนุษย์ส่วนใหญ่ลำเอียง ไม่ยุติธรรม
2.1 มนุษย์ลำเอียง เพราะความใกล้ชิด
ถ้าเป็นความผิดของคนใกล้ชิด เช่น สามี ภรรยา ลูก คนในครอบครัว หรือคนโปรด
เรามักจะมองไม่เห็นความผิดนั้น หรือเห็นแต่ก็เห็นไม่ชัด เพราะปิดตาข้างเดียว
นี่คือ ลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน

2.2 มนุษย์ลำเอียง เพราะทุกคนเป็นคนบาป
รม.3:23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
ความบาป ทำให้มนุษย์ทุกคนไม่มีความยุติธรรม และมักจะเอียงข้างอยู่เสมอ
1คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
ไม่เพียงความบาปเท่านั้น แต่การเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ
การไม่เติบโตในคุณธรรม ในวุฒิภาวะ ก็ส่งผลให้เราทำพฤติกรรมอย่างเด็ก คือ ไม่ยุติธรรม

2.3 เราจะไม่ลำเอียง ก็ต่อเมื่อ เติบโตฝ่ายวิญญาณ
เราจะไม่ลำเอียง ก็ต่อเมื่อเราเติบโต คือ โตด้านคุณธรรม โตด้านพระคัมภีร์
ยิ่งเติบโตมาก ก็ยิ่งมีคุณธรรมมาก ยิ่งยุติธรรมมาก
ความยุติธรรม นำความสงบ และความเจริญมาสู่สังคม
ที่สังคมวุ่นวาย ก็เพราะขาดความยุติธรรมนั่นเอง
คอมมิวนิสต์ล่มสลาย เพราะไม่ยุติธรรม ทำมากหรือทำน้อย ก็ได้เท่านั้น

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

คนไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน เมื่อคนไม่โต สังคมจึงไม่โตไปด้วย

ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เราได้รับความยุติธรรมจากพระองค์
พระเจ้าให้เราสร้างสันติ พระเจ้าให้เราเมตตา พระเจ้าให้เราให้โอกาส
พระเจ้าให้โอกาสเรา เราต้องให้โอกาสผู้ที่ทำผิด เริ่มชีวิตใหม่
พระเจ้ายกโทษให้เรา เราต้องยกโทษให้ผู้อื่นด้วย
วิถีทางของพระเจ้านำชัยชนะสู่ชีวิตของเราเสมอ
พระเจ้าทรงเป็นองค์ยุติธรรม เราเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์จะทรงดูความยุติธรรมของเราด้วย

3. ความยุติธรรมของพระเจ้าแก่มนุษย์ทุกคน
แม้มนุษย์จะไม่มีความยุติธรรม แต่พระเจ้าทรงเป็นองค์ยุติธรรม
ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม
พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรมให้แก่มนุษย์ทุกคน

3.1 แม้มนุษย์ที่ไม่เชื่อก็รับความยุติธรรมจากพระเจ้า
กท.6:7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
พระเจ้าทรงย้ำว่า “ทุกคนต้องรับในสิ่งที่ตนเองหว่าน ทั้งเรื่องดีและไม่ดี”
ใครก็ตามที่ทำตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ผู้นั้นก็รับความยุติธรรมจากพระองค์ แม้เขาจะไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม
เพราะคนไม่เชื่อก็มาจากพระเจ้า มนุษย์ทุกคนมาจากพระเจ้า
แต่สิ่งที่เราต้องตระหนักและแยกแยะให้ได้ คือ พระพร และความรอด เป็นคนละเรื่องกัน
ผู้ไม่เชื่อ แม้จะรับพระพรจากพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้รับความรอด
เพราะความรอด เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่พระพร เป็นเรื่องของการกระทำ

ตัวอย่าง
ก. คนกตัญญูต่อบิดามารดา ย่อมได้รับพระพร
อฟ.6:1-2 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูกจงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วยเพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก
เรื่องความกตัญญู แม้ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ทำตาม ก็รับพระพรจากพระองค์
คือ การไปดีมาดี และมีอายุยืนยาวบนแผ่นดินโลก
ลูกกตัญญู ไม่ว่าเป็นใคร เชื่อถืออะไร ก็ได้ดีแน่นอน
ลูกที่ดีนั้น แม้มีพ่อแม่ไม่ดี ก็ต้องเคารพ และกตัญญูต่อท่าน
อย่ารอให้ท่านจากไปแล้วจึงค่อยเห็นคุณค่า
หลักของพระเจ้า คือ ลูกกตัญญู ได้ดีทุกคน สวรรค์ประทับตรา

ในขณะที่ลูกอกตัญญู แม้เก่ง ฉลาด มีความสามารถ แต่ท้ายที่สุดจะมีอันเป็นไป ไปไม่ดี มาไม่ดี และอายุสั้น
สภษ.30:17 นัยน์ตาที่เยาะเย้ยบิดา และดูถูกไม่ฟังมารดาจะถูกกาแห่งหุบเขาจิกออก และแร้งจะกินเสีย
“นัยน์ตา” คือ อนาคต
คนอกตัญญู คือ คนที่ไม่มีอนาคต ไม่มีความก้าวหน้า เป็นกฎของสวรรค์ กฎของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ข. คนที่เมตตากรุณาต่อผู้อื่น พระเจ้าจะเมตตากรุณาต่อผู้นั้น
มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
มูลนิธิ องค์กรและหน่วยงานการกุศลต่างๆ จะมีผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนอยู่เสมอ
เพราะเข้าเงื่อนไขของพระเจ้า คือ มีใจกรุณา ผู้นั้นก็รับพระกรุณาตอบ
สวรรค์จะดูแลผู้ที่ทำตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า
สภษ.14:31 บุคคลผู้บีบบังคับคนยากจน ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่บุคคลที่เอ็นดูต่อคนขัดสนก็ถวายเกียรติแด่พระองค์
สภษ.19:17 บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืมและพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา
ช่วยเหลือคนยากจน ก็เหมือนให้พระเจ้ายืม ... และให้พระเจ้ายืมนั้น ได้ดอกเบี้ยคืนจากพระองค์มาก
แต่ต้องเป็นการทำบุญแบบไม่เอาหน้า หรือทำตามกระแส
แต่ต้องทำด้วยใจที่ปรารถนาจะช่วยเหลือผู้อื่น
หลักการให้นั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้มีมาก แต่ที่มีอยู่นั้น ควรให้ออกไป แล้วเราจะรับพระพรจากพระเจ้า

3.2 สำหรับผู้เชื่อ ความยุติธรรมจากพระเจ้ายิ่งชัดเจน
ก. สละเพื่อพระเจ้า จะรับพรทั้งโลกนี้และโลกหน้า
มก.10:29-30 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
“สละ” เป็นมากกว่าการให้
แต่การสละที่เป็นพร คือ การสละเพื่อพระเจ้าและข่าวประเสริฐของพระองค์
หลายคนที่เราเห็นว่า “สละ” มากมาย แต่ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า
นั่นเพราะลึกๆ เขาไม่ได้สละเพื่อพระเจ้า แต่สละเพื่อตัวเอง
อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมองทะลุจิตใจคน และพระเจ้ายุติธรรมตอบแทนตามการกระทำของเรา
ดังนั้น เงินที่เราถวาย แรงที่เราถวาย ปัญญาที่เราถวาย ต้องเพื่อพระเจ้า และข่าวประเสริฐ
ถ้าเรามีภาพตรงนี้ในหัว พระพรของพระเจ้าจะไหลมาเทมาในชีวิตของเรา

ข. พระพรและความยุติธรรมของพระเจ้ามั่นคง
กจ.5:38-39 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเองแต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า
มีบ่อยครั้งที่เราสับสนว่าการใดมาจากพระเจ้า การใดมาจากมนุษย์
พระวจนะตอนนี้สอนเรา สิ่งใดที่มาจากมนุษย์จะล้มหายตายจากไปเอง
ในขณะที่สิ่งที่มาจากพระเจ้าจะมั่นคง ดำรงอยู่เป็นนิตย์
เราจะสงบนิ่งได้ เมื่อเราเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า

สิ่งใดที่เราทำ เพราะเห็นแก่พระเจ้า ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เราจะรับพระพรจากพระองค์
และจำไว้ว่า งานทุกอย่างที่เราลงมือกระทำ จะมีคนยื่นหน้ามาวิพากษ์วิจารณ์แน่
แต่เราเชื่อว่าพระเจ้ายุติธรรม และมองเราทะลุถึงภายใน เราจะรับพระพรจากพระองค์

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 “รอบบ่าย” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ฮบ.6:10 เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรม ที่จะทรงลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น ดังที่ท่านยังรับใช้อยู่

3.3 พระเจ้ายุติธรรม ทำตามเงื่อนไขของพระสัญญา ก็รับพระพร
พระเจ้าทรงยุติธรรม มีพระสัญญาที่สัญญากับเราทุกคน
แต่ในขณะเดียวกัน ทุกพระสัญญาก็มีเงื่อนไข ถ้าใครทำตามเงื่อนไข ก็รับพระพรตามพระสัญญานั้น
มลค.3:10 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
พระเจ้าทรงท้าให้เราพิสูจน์ ... จงลองดูพระองค์
พระเจ้าใส่รหัสไว้เรียบร้อยแล้ว วางเงื่อนไขไว้แล้ว
ถ้าทำตาม พระพรของพระเจ้าก็เป็นของเรา

เราสามารถลองดูพระเจ้าได้ในทุกเรื่อง พระองค์พร้อมพิสูจน์
ถ้าเรายำเกรงพระเจ้า เรารับพระพร เพราะพระองค์ทรงยุติธรรม
ดังนั้น เราไม่ควรทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือ ทำตามพระคัมภีร์นั่นเอง
คิดน้อยใจเมื่อไร อย่าลืมคิดถึงความยุติธรรมของพระเจ้า เราจะรับกำลังในจากพระองค์เสมอ

No comments:

Post a Comment