Monday, April 25, 2011

เรื่อง “ มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ”

มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง “ มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ”

คำสอนเรื่อง มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข ... เป็นคำสอนที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน
บางคน “เป็น” อย่างที่คนมากมายใฝ่ฝันจะเป็น เช่น เป็นดารา เป็นนักร้อง เป็นผู้มีชื่อเสียง ... แต่เป็นแล้วแทนที่จะมีความสุข กลับมีความทุกข์ ดาราและผู้มีชื่อเสียงหลายคนฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่เงินมีไม่ขาด ชื่อเสียงก็มีมาก แต่มีแล้วทุกข์ เพราะมีไม่เป็น และเป็นไม่ถูก
ชีวิตของมนุษย์นั้นเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หลายอย่างเป็นกฎตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อีกหลายอย่างก็จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น การมีมากและการเป็นมาก ย่อมทำให้เราเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ความเหนื่อยนั้น ไม่ใช่ความทุกข์ คนที่ขาดศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินชีวิต ก็จะพบเจอแต่ความทุกข์และความยุ่งเหยิงของชีวิต แต่ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงทั้งศาสตร์และศิลป์ของชีวิต ชีวิตของเราก็จะสมดุล เหนื่อยแต่ไม่ทุกข์ มีและเป็นแล้วสุข ภาคภูมิใจ
คำสอนเรื่องนี้ จะทำให้เรารู้ว่า ต้อง “มี” และ “เป็น” อย่างไร จึงจะมีความสุข นั่นคือ ต้องมีและเป็นอย่างถูกต้อง

ข้อคิดเกี่ยวกับการมีให้เป็น และเป็นให้ถูก ชีวิตก็จะเป็นสุข
1. “มี” อย่างไรจึงจะเรียกว่า “มีให้เป็น” และมีความสุข
เราจะมีให้เป็น และจะเป็นให้ถูกได้ ก็ต่อเมื่อ เราเป็นผู้ที่เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง
ชีวิตของคนหมุนเวียนไปตามความอยาก เหมือน “ชิงช้าสวรรค์” ที่มีทั้งหมุนขึ้นและหมุนลง
ความอยากในทางที่ดีมันจะหมุนชีวิตของเราไปสู่ทิศทางที่สูงขึ้น
แต่ความอยากในทางที่ต่ำมันก็จะหมุนชีวิตของเราไปสู่ความตกต่ำเช่นกัน
ความอยากในตัวของมันเองนั้น ไม่ได้ถือเป็นความบาป
แต่ความอยากที่เกินตัว เกินความสามารถที่เราจะมีหรือเป็นได้ ... นั่นแหละบาป
ในชีวิตนี้ ไม่ว่าเราจะมีอะไรก็ตาม ถ้ามีแล้วไม่สามารถรักษาไว้ได้ หรือมีแล้วแทนที่จะสุขกลับทุกข์
มีแล้วแทนที่ชีวิตจะสบายกลับกลายเป็นยุ่งยาก มีอย่างนั้น อย่ามีดีกว่า

1ทธ.6:7-10 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
พระวจนะของพระเจ้าเตือนสติมนุษย์ทุกคน ... เราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลก และจะไม่สามารถนำอะไรออกไปได้ด้วย
แต่บ่อยครั้งมนุษย์ลืมตัว คิดว่าตัวเองตายไม่เป็น หรือคิดว่าตายแล้วจะเอาไปได้
จึงมีเกินตัว เป็นเกินตัว ผล คือ มีอะไรก็ทุกข์ เป็นอะไรก็ทุกข์
ความร่ำรวยไม่ได้เป็นความบาป ถ้าเราร่ำรวยแล้วดูแลปกครองมันได้ และไม่ได้ร่ำรวยอย่างผิดกฎหมาย
แต่มันจะกลายเป็นความบาปและนำชีวิตเราสู่ความพินาศ ถ้าความร่ำรวยนั้นปกครองเรา (กลายเป็นทาสเงินทอง)
พระเจ้าจึงสอนให้เรามีความอยากอย่างสมดุล คือ ปรับความอยากให้พอดีกับความสามารถและวุฒิภาวะของเรา
ถ้าเราจะร่ำรวย จงร่ำรวยให้เป็นธรรมชาติ คือ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ มี ค่อยๆ เพิ่มทีละเล็กทีละน้อย
มันจะทำให้เราสามารถแบกน้ำหนักได้ ไม่เกินกำลัง
อะไรก็ตามที่มีและเป็นแล้วเกินกำลัง จะนำเราเข้าสู่ทุกข์ ... มีและเป็นอย่างนั้น ถือว่ามีและเป็นไม่ถูกต้อง
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

1.1 การมีวัตถุ แต่ขาดวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณและความเข้าใจในพระวจนะ จะก่อให้เกิดความทุกข์
ปฐก.1:26-28 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
ตามหลักการของพระวจนะและความเข้าใจของผู้มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณนั้น
พระเจ้าสร้างมนุษย์ เพื่อให้ปกครองสิ่งสารพัด พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งให้มนุษย์ “ครอบครอง”
ถ้าเรามีก็อะไรแล้วเราครอบครองมันได้ ปกครองมันได้ เราก็เป็นสุข และสิ่งที่มีก็เป็นพร
แต่ถ้ามีแล้วมันครอบครองเรา ปกครองเรา เราก็ทุกข์ และสิ่งที่มีนั้นจะเป็นภัยทันที
หลักของการมีให้เป็น คือ มีแล้วครอบครองควบคุมมันได้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันมาควบคุมเรา
และต้องไม่ยอมเป็นทาสวัตถุหรือทุกข์เพราะวัตถุอย่างเด็ดขาด เหนื่อยเพื่อวัตถุ เหนื่อยได้ แต่อย่าทุกข์เพราะมัน
ที่จริงแล้ว ในชีวิตหนึ่งความจำเป็นของคนมีนิดเดียว แต่ความต้องการมีไม่สิ้นสุด
คุณธรรม ความเติบโต การเข้าใจชีวิตและพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้เรารู้จักควบคุมความต้องการของตัวเอง

นอกจากการมีแล้วไม่สามารถปกครองมันได้ทำให้เราทุกข์แล้ว ความทุกข์อีกประการหนึ่งของการมี คือ มีเพื่ออวด
ลักษณะขี้อวด กลายเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย ไม่ว่าจะอวดเก่ง อวดรู้ อวดมี อวดรวย ฯลฯ
พระคัมภีร์ถือว่าการอวดในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับพระเจ้า
ฟป.3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
การมีในลักษณะนี้ คือ มีเพื่ออวด ไม่ใช่มีไว้เพื่อช่วยเหลือ
เขาจะสนใจและจดจ่ออยู่กับวัตถุ เป็นพวกวัตถุนิยม เป็นทาสวัตถุ มีชีวิตติดอยู่กับวัตถุ
ที่จริงวัตถุเรามีได้ ไม่ได้ถือเป็นความบาป แต่เราไม่ควรมีเพื่ออวด
และหนทางในการที่เราจะมีนั้น ต้องไม่ใช้ส่วนที่จำเป็นมาซื้อของฟุ่มเฟือย
ข้าพเจ้าสอนเสมอว่า เราต้องปลูกไม้ยืนต้น เพื่อจะได้ไม้ล้มลุก ...
คือ เราต้องมีฐานหน้าที่การงานที่ดี มีรายได้ดีก่อน แล้วจึงมีของฟุ่มเฟือย
เมื่อเรามีรายได้ดี แหวน เสื้อผ้า ฯลฯ เราก็มีได้ง่ายๆ ไม่ขาดแคลน และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

1.2 ต้อง “มี” อย่างไร จึงจะไม่ทุกข์
ก. ต้องมีเพื่อให้ ไม่ใช่มีเพื่ออวด
2คร.9:8-9 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
หลักการของพระวจนะ จะทำให้เรามีอย่างเป็นสุข คือ มีให้เพียงพอสำหรับตัวเอง (ในส่วนของความจำเป็น ไม่ใช่ความต้องการ)
และส่วนที่เหลือจากตัวเอง ต้องใช้เพื่อการกระทำความดี แต่เราจะมีเหลือ มีพอได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักประหยัดและอดออม
หลักการมีเพื่อให้นั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้มีมาก จึงค่อยให้ ... เราต้องเริ่มให้ตั้งแต่เรามีน้อย
เราจึงจะมีความสามารถในการให้ได้มาก เมื่อเรามีมาก
ฝึกที่จะเป็นผู้ให้ ให้เป็นนิสัย แล้วพระพรของพระเจ้าจะเทลงมาในชีวิตของเรา
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เมื่อเรายิ่งให้ เราก็จะยิ่งได้รับการอวยพรจากพระเจ้าและจะได้ความรักความนับถือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

ข. มีแล้วไม่ยึดติด
1คร.7:29-31 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าหมายความว่า ยุคนี้ก็สั้นมากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปให้คนเหล่านั้นที่มีภรรยาดำเนินชีวิต เหมือนกับไม่มีภรรยา และให้คนที่เศร้าโศกดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้เศร้าโศก และผู้ที่ชื่นชมยินดี ดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้ชื่นชมยินดี และผู้ที่ซื้อก็ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับว่าเขาไม่มีกรรมสิทธิ์เหนืออะไรเลย และคนที่ใช้ของโลกนี้ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับมิได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะระบอบของโลกนี้กำลังล่วงไป
พระวจนะของพระเจ้าแฝงไว้ซึ่งนัยยะ ไม่ได้ตีความตามตัวอักษร โดยรวมแล้วสอนให้เราไม่ยึดติดในสิ่งที่มี
“ดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่มี” ไม่ได้หมายความว่า มีครอบครัวแล้วจะไม่รับผิดชอบครอบครัว
แต่หมายความว่า พระเจ้าต้องมาก่อนครอบครัวของเรา ไม่เป็นทาสครอบครัว แต่ต้องดูแลครอบครัวอย่างดีที่สุด
เราต้องมีวุฒิภาวะพอในการปกครองสิ่งที่เรามี ถ้าปกครองครอบครัวไม่ได้ จะปกครองสังคมได้อย่างไร

ส่วนด้านความเศร้าโศกเสียใจนั้น เราเสียใจต่อบางเรื่องได้ แต่หลังจากนั้น ต้องลุกขึ้นมาทำงานต่อ ดำเนินชีวิตต่อไป
เช่น ลูกอาจจะเสียใจที่พ่อแม่จากไป แต่พ่อแม่จะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าการจากไปของท่านทำให้เราเสียคน เสียงาน
พระวจนะของพระเจ้าได้สอนเราว่าทุกอย่างมีเวลาและวาระของมัน
ปญจ.3:1-8 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้งมีวารฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้นมีวารร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำมีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอดมีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไปมีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ
หลักการไม่ยึดติดอีกอย่าง คือ คิดเสียว่าเราตายไปแล้ว
คนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาด่าใครได้ เวลาเขาด่ามา เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาด่าตอบ
คิดได้อย่างนี้จะทำให้เรารู้จักปล่อยวาง และลด ละ สิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางความสุขในชีวิตได้มาก

ค. ยอมรับสัจธรรมของชีวิต
สัจธรรมของชีวิต คือ มีมาก ก็ต้องรับผิดชอบมากเป็นธรรมดา
มีปัญญามาก มีความรู้มาก มีความสามารถมาก ก็จะยุ่งยากมาก และเหนื่อยมาก เป็นธรรมดา
แต่สำหรับคริสเตียนต้องท่องไว้ว่า “ยิ่งยาก ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งยาก ยิ่งภาคภูมิใจ”
1ธส.2:9 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
เมื่อเปาโล มีปัญญามาก มีการเจิมมากกว่าผู้รับใช้ท่านอื่น ท่านจึงต้องมีภาระและหน้าที่การงานหนักกว่าผู้อื่น
แต่ท่านภาคภูมิใจในความเหนื่อยยากที่ได้ทำเพื่อพระเจ้า
สิ่งที่เราหว่านเพื่อพระเจ้านั้น จะส่งผลให้เราได้รับพระพรเสมอ
กจ.20:34-35 ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
ส่วนใหญ่เรามักจะหยิบยกเฉพาะข้อ 35 มาพูด คือ คำว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
แต่ในข้อ 34 เราจะเห็นถึงแบบอย่างชีวิตของเปาโล ท่านให้ก่อน ท่านจึงมีความสุขก่อน
มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

หลายคนอยากมีความสุข แต่ไม่ยอมให้กับผู้อื่น ... จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะมันผิดหลักการของพระเจ้า
สัจธรรมของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ คือ การให้นั้นมีความสุขยิ่งกว่าการรับ

2. “เป็น” อย่างไร จึงจะเรียกว่าเป็นให้ถูก และมีความสุข
ความสุขของชีวิต ไม่เพียงเกิดจากการมีให้เป็นเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการเป็นให้ถูกด้วย ดังนี้
2.1 เป็นตามพระคุณของพระเจ้า
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
เปาโล เป็นตามที่พระคุณของพระเจ้าให้เป็น เป็นได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า
1คร.3:5 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้
เราแต่ละคนเป็นตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ไม่ได้ถือว่าใครเก่งกว่าใคร แต่ทุกคนเป็นตามพระคุณของพระเจ้าให้เป็น
ถ้าเราเป็นได้อย่างนี้ แม้เราเหนื่อย เราก็ไมทุกข์ เพราะเรารู้จักตัวเองดี และที่สำคัญพระเจ้ารู้จักเราดีที่สุด
รม.12:3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
พระเจ้าสอนไม่ให้เราคิดถือตัวเกินกว่าที่เราจะเป็นได้ ... แต่ต้องเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เราเป็น
คริสเตียนนั้น ต้องเป็นคนที่ไม่มีปม ไม่ว่าจะเป็นปมเด่น หรือปมด้อยก็ตาม
ชีวิตที่มีปมนั้น เป็นชีวิตที่อึดอัด เป็นทาส ไม่มีอิสระ
แต่ชีวิตที่ไม่มีปมนั้น ทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ แต่ไม่อวดตัว ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ทุกอย่างเป็นเพราะพระคุณ ถ้าเราเก่ง ก็เพราะพระคุณพระเจ้า
แต่ถ้ามีคนเก่งกว่า ก็ยินดีกับเขาด้วย เพราะพระคุณพระเจ้าเช่นกัน

2.2 ไม่มุ่งหาเกียรติ แต่มุ่งถวายเกียรติ
อฟ.3:20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา
เราจะเป็นอย่างถูกต้องและเป็นอย่างมีความสุข ต้องไม่มุ่งหาเกียรติให้ตัวเอง แต่มุ่งถวายเกียรติพระเจ้า
เป็นอะไรก็ตาม ไม่ใช่ขอให้เราได้รับเกียรติ แต่ขอพระเกียรติจงมีแด่พระเจ้า
เป็นอะไรก็ตาม เป็นให้ดีที่สุด เพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ

ผลของการไม่มุ่งหาเกียรติ แต่มุ่งถวายเกียรติพระเจ้า
ก. เราไม่ยึดติด ไม่เป็นทาส และไม่หงุดหงิด
ทำดี เป็นดี ไม่มีใครเห็น ไม่มีคนชม เราก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าเราได้ทำเพื่อพระเจ้า
ข. เราจะทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด
เมื่อมุ่งถวายเกียรติพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราจึงต้องทำและเป็นทุกอย่างอย่างดีที่สุดให้พระเจ้ารับเกียรติสูงสุด
ค. เป็นเพื่อรับใช้คนทั้งปวง
1คร.9:19-23 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรม

มีให้เป็น เป็นให้ถูก ชีวิตก็เป็นสุข -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
เปาโล ไม่ได้เป็นทาสใครเลย แต่ท่านยอมตัวเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
ยอม คือ เต็มใจ สมัครใจที่จะเป็นทาสของคนทั้งปวง
เป็นทาส คือ เป็นมากกว่ารับใช้ ทำมากกว่าที่เขาขอ ให้มากกว่าที่เขาคิด
เพราะท่านตระหนักว่าภาระและหน้าที่ที่ท่านเป็นนั้น มาจากพระเจ้า จึงควรจะเป็นให้ดีที่สุด
และเป็นอย่างพระเจ้า คือ เป็นเพื่อรับใช้คนทั้งปวง

2.3 เป็นไม่ถูก ส่งผลให้เป็นทุกข์นั้น เป็นอย่างไร
มีหลายกรณีที่เป็นแล้ว เป็นไม่ถูก ก็ส่งผลให้เกิดความทุกข์แก่ชีวิต
เช่น เป็นคนดัง ที่ยึดติดความดังของตัวเอง ไปในบางที่ที่ไม่มีคนชื่นชมหรือไม่เป็นที่รู้จัก ก็ทุกข์
เป็นพ่อแม่ไม่ถูก คือ ไม่รู้หน้าที่ของตน ก็ทุกข์ เพราะสอนลูกไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟัง
เป็นสามีภรรยา ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง สามีไม่ปกป้องภรรยา ภรรยาก็ไม่ยอมให้สามีปกครอง ก็ส่งผลให้ครอบครัวทุกข์
ดังนั้น มีอะไร เป็นอะไรก็ตาม อย่าให้ความมีและความเป็นนั้น ทำร้ายเรา
แต่ความมีและความเป็นนั้น ต้องเป็นพรต่อเราและผู้อื่นเสมอ

3. เราจะมีให้เป็น และเป็นให้ถูกได้อย่างไร
จะมีให้เป็น และจะเป็นให้ถูกได้ ต้องแสวงหาเมล็ดพันธุ์ ปัญญาและความเข้าใจ
มธ.6:33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระวจนะสอนให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน
แผ่นดินของพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ ปัญญา ความรู้ คุณธรรม ความชอบธรรมของพระเจ้า
เราต้องมีเมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างสรรค์ที่ถูกต้อง มีไม่เป็น และเป็นไม่ถูก ก็เพราะขาดเมล็ดพันธุ์ ขาดทัศนคติที่ถูกต้อง
แนวคิดที่ถูกต้องที่สุด คือ พระวจนะของพระเจ้า
เราเกิดมาตัวเปล่า จากไปตัวเปล่าก็จริง แต่เราก็ควรทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ให้โลกนี้ชื่นชม
การมีให้เป็น และเป็นให้ถูก จึงสำคัญมาก
แนวคิดที่ถูกต้อง นอกจากจะหาได้จากพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เรายังหาได้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ
อยากประสบความสำเร็จ ต้องเรียนจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ อยากเป็นปราชญ์ ก็ต้องคบกับปราชญ์
สภษ.13:20 บุคคลที่เดินกับปราชญ์ก็กลายเป็นคนฉลาดแต่เพื่อนฝูงของคนโง่จะรับภยันตราย
แม้โทมัน อัลวา เอดิสัน ผู้หนึ่งในปราชญ์ของโลก ยังกล่าวว่า “สิ่งประดิษฐ์ของเขามีมากกว่า 60% ที่ต่อยอดจากผู้อื่น”
ถ้าวันนี้เรายังคิดเองไม่ได้ ก็ให้เอาความคิดที่ถูกต้องของผู้อื่นมาต่อยอด
จุดเริ่มต้นของการเป็นต้นแบบ คือ เริ่มต้นจากลอกแบบ เลียนแบบ แล้วเราจึงจะสามารถเป็นต้นแบบได้
ข้อคิดเกี่ยวกับการมีให้เป็น และการเป็นให้ถูกนี้ ถ้าเราสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของเราได้
ไม่ว่าเราจะมีอะไร ก็มีความสุขและไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็เป็นพระพรทั้งต่อตัวเอง ผู้อื่นและงานของพระเจ้า

No comments:

Post a Comment