Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ บุคคลผู้เป็นสุข ” ตอน 9 จาก “ มธ.5:3-11 ”

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -48-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

รื่อง บุคคลผู้เป็นสุข ตอน 9 จาก มธ.5:3-11

                มธ.5:3-11               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลมบุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกบุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบบุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้าบุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตรบุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
                พระวจนะในตอนนี้ เป็นลักษณะของบุคคลผู้เป็นสุข เป็นแนวทาง เป็นเคล็ดลับ เป็นกุญแจ เป็นหนทางที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ โดยมีรายละเอียดทั้งหมด 9 ประการ

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 1 (มธ.5:3) บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 2 (มธ.5:4) บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 3 (มธ.5:5) บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 4 (มธ.5:6) บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 5 (มธ.5:7) บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 6 (มธ.5:8) บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
(สอนรายละเอียดไปแล้วในตอนที่ 1-8)

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 7 (มธ.5:9) บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
ความสุขที่เกิดจากอารมณ์ ก็เป็นเหมือนสายลม เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ไม่ใช่ถาวร
แต่บุคคลผู้เป็นสุขตามที่พระเยซูทรงตรัสนั้น เป็นสุขจากความเข้าใจชีวิต
ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะใด รวยหรือจน ไม่ว่าเราจะรับคำชมเชย หรือคำด่าทอ เรายังคงเป็นสุขได้
ตัวอย่าง เปาโล แม้ถูกเคี่ยวเข็ญก็ยังเป็นสุข แม้ติดคุก (เพราะความชอบธรรม) ก็ยังเป็นสุข
ความสุข เกิดจากสิ่งที่เราสร้าง สิ่งที่เราลงมือปฏิบัติทุกวัน

1. บุคคลผู้ใดสร้างสันติ
มธ.5:9                     บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
ผู้ใด “สร้างสันติ” ได้ ผู้นั้นก็เป็นสุข พระเจ้าจะเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร
ในทางตรงกันข้าม ผู้ใด “สร้างสงคราม” ผู้นั้นก็เป็นทุกข์ มารจะเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร
การนินทา การดูหมิ่น การดูถูก เป็นการสร้างสงคราม มิใช่สร้างสันติ
เราจะสร้างสันติได้ ต้องเข้าใจชีวิต ต้องเห็นก่อน ต้องเห็นมาก ต้องเห็นไกลกว่าผู้อื่น จึงจะเข้าใจและเป็นสุขได้

1.1  สันติสุข หรือสันติภาพ จะเกิดขึ้นได้ เราต้องสร้างมันขึ้นมา
สันติ เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติไม่ได้ มนุษย์ต้องสร้างมันขึ้นมา
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -49-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

การสร้างสันติ คือ การลงทุน (ลงแรง ลงเหงื่อ ลงความอดทน) ที่คุ้มค่าที่สุด
การสร้าง คือ การให้ การสร้าง คือ การไม่ยึดติด
จำไว้ว่า “ยิ่งยึดติด เราจะยิ่งสูญเสีย แต่ยิ่งปล่อยวาง เราจะยิ่งได้มา”
สภษ.11:24              บางคนยิ่งจำหน่าย ยิ่งมั่งคั่ง บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ ยิ่งขัดสนก็มี
อะไรควรยึด อะไรควรปล่อย ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้ความเข้าใจ แต่เราจะได้สันติสุขกลับมา

เราอยากให้ใครทำอย่างไรกับเรา เราต้องทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน
-                    อยากให้ผู้อื่นยิ้มให้ ก็ลองยิ้มให้ผู้อื่น
-                    อยากให้ผู้อื่นทักทาย ก็ลองทักทายผู้อื่นก่อน
-                    สร้างสันติที่ดีที่สุด คือ สร้างสันติกับคนในครอบครัว อย่าละเลยที่จะพูดดีและทำดีกับคนในครอบครัว
(มนุษย์เราแปลกมักจะดีกับคนนอก มากกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน
ทั้งๆ ที่เวลาจะเป็นจะตาย คนที่ช่วยเรา คือ คนในครอบครัว ไม่ใช่คนนอกครอบครัว)

1.2  ผู้ใดจะสร้างสันติได้ ผู้นั้นต้องมีองค์สันติราชในชีวิต
อสย.9:6                  ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่านและท่านจะเรียกนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช”
หนึ่งในพระลักษณะของพระเจ้า คือ พระองค์ทรงเป็นองค์สันติราช
เราจะสร้างสันติได้ เราต้องมีองค์สันติราชในชีวิตเสียก่อน
ถ้าพระเจ้า เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าชีวิตของเรา เราจะไม่ทำสิ่งใดที่ผิดไปจากพระลักษณะของพระเจ้า
ทุกครั้งที่เราสร้าง “สงคราม” แทนที่จะสร้าง “สันติ” พระเจ้าไม่สบายใจ พระเจ้าเสียพระทัย
แต่ถ้าเรายกโทษ เราให้อภัย เราไม่ถือสา พระเจ้าดีพระทัย
เรากลายเป็นคนที่น่ารักทั้งในสายตาของมนุษย์ และในสายพระเนตรของพระเจ้า
และผู้คนก็จะเห็นพระลักษณะของพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตเรา

1.3  เราจะสร้างสันติได้ ต้องมีแบบชีวิต
ก. แบบชีวิตของพระเยซูคริสต์
แบบชีวิตที่ดีที่สุดในการสร้างสันติ คือ พระเยซูคริสต์
มธ.11:29              จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
พระเจ้าตรัสให้เราเลียนแบบชีวิตจากพระองค์ ในเรื่องความอ่อนสุภาพ ในเรื่องใจอ่อนน้อม
แล้วเราจะได้ “พัก” ... ได้นั่งลง ได้หายเมื่อย ได้หายเหนื่อย (เหมือนเรามีที่พักกลางทาง)
เส้นทางที่พระเยซูคริสต์ ทรงเดินผ่าน ล้วนเป็นทางแห่งการสร้างสันติ ไม่ใช่สร้างสงคราม

พระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ไม่ว่าจะเป็น มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น
ล้วนบันทึกถึงเส้นทางในการสร้างสันติของพระเยซูคริสต์
แม้พระองค์ถูกจับ ถูกทำร้าย ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงนิ่ง ไม่โต้ตอบ
ไม่ใช่นิ่งเพราะทำอะไรไม่ได้ แต่พระองค์ทรงนิ่งสงบด้วยความเข้าใจ
กระทั่งมีคนร้องไห้ให้พระเยซู พระองค์ยังตรัสว่าอย่าร้องไห้ให้พระองค์ แต่ร้องไห้ให้กับคนที่กระทำต่อพระองค์
ท้ายที่สุด แม้ก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูคริสต์ ยังตรัสให้พระเจ้าพระบิดายกโทษให้พวกเขาทั้งหมด
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -50-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ลก.23:27-28        มีคนเป็นอันมากตามพระองค์ไป ทั้งพวกผู้หญิงที่พิลาปและคร่ำครวญเพราะพระองค์ พระเยซูจึงหันพระพักตร์มาทางเขาตรัสว่า ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเอง และสงสารลูกทั้งหลายของตนเถิด
ลก.23:34                                ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร...

หากวันนี้ เราเห็นคนสองคนทะเลาะกัน ฝ่ายหนึ่งนิ่ง แต่อีกฝ่ายด่า ... เราจะอยู่ฝ่ายใคร
แน่นอนเราทุกคน รวมทั้งสังคม ย่อมเข้าข้างคนนิ่ง เราเองก็ควรนิ่ง ไม่ตอบโต้ด้วยเช่นกันเดียว

ข. แบบชีวิตของอัครทูต
1คร.4:12-13           เราทำการหนักด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกด่าเราก็อวยพร เมื่อถูกเคี่ยวเข็ญเราก็ทนเอา เมื่อถูกใสร้ายเราก็พยายามปรองดอง เรากลายเป็นเหมือนหยากเยื่อของโลก และเหมือนราคีของสิ่งสารพัดจนถึงบัดนี้
เปาโล ถูกพวกยิวตามล่า ถูกสังคมด่าว่าทรยศต่อศาสนาเดิม
แต่ท่านมีท่าทีเดียวกับพระเยซูคริสต์ คือ ไม่ตอบโต้ พยายามปรองดอง และอดทน

1.4  ต้องยึดคำสอนของพระเจ้าอย่างจริงจัง และยึดไว้ด้วยชีวิต
1ทธ.4:15                                จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฎแก่คนทั้งปวง
คำสอนของพระเจ้านั้น แม้เราทำได้ไม่หมด แต่ขอให้พยายามทำทีละข้อ ทำให้มากขึ้น ตั้งใจปฏิบัติตามให้ครบทุกข้อ
ให้คนใกล้ตัวเราเห็นว่า ตั้งแต่เราเป็นลูกพระเจ้า เราดีขึ้น อดทนมากขึ้น สะอาดมากขึ้น ถ่อมมากขึ้น
เราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าได้มากขึ้น เมื่อเราเติบโตมากขึ้น
เหมือนดอกไม้บานๆ จากภายใน ในเวลาที่เหมาะสมทั้งปุ๋ย น้ำ และแสงแดด
เมื่อเขายังปฏิบัติไม่ได้ แสดงว่า เขายังไม่โต (ดอกไม้ยังไม่บาน)

หนทางในการยึดคำสอนอย่างจริงจัง คือ ต้องฝึก ต้องลงมือปฏิบัติตามพระคัมภีร์
1ทธ.4:7-8               อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย
ฝึกฝนตัวในทางธรรม ต้องฝึกทุกวัน ต้องทำทุกวัน
และเมื่อเราทำสุดความสามารถของเราแล้ว จะเข้าสู่ความสามารถของพระองค์
ฟป.4:13                  ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
“เราสุดแล้ว พระเจ้าจะเสริมให้ถึงหลักชัย”

ทต.3:2                    อย่าให้เขาว่าร้ายผู้ใด อย่าให้เป็นคนมักทะเลาะวิวาทกัน แต่ให้เป็นคนสุภาพ แสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีงาม
การสร้างสันติ ก็จำเป็นต้องฝึกเช่นเดียวกัน
ฝึกในการไม่ว่าร้ายผู้อื่น ฝึกในการไม่ทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น
ว่าร้าย และการทะเลาะ คือ การสร้างสงคราม ไม่ใช่สร้างสันติ
เราต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระคัมภีร์ และฝึกทำไปเรื่อยๆ

คริสตจักรของพระเจ้า จะต้องมีบุคลิกเป็นผู้ดี ไม่ใช่ผู้ร้าย
ไม่พูดร้าย ไม่กล่าวร้ายผู้อื่น หรือคริสตจักรอื่นให้เสียหาย
อยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ให้ดูว่าเขาสนใจเรื่องอะไร ถ้าสนใจแต่เรื่องร้ายของคน แสดงว่า เป็นคนใจร้าย
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -51-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

หลักการของเรา ไม่เพียงไม่พูดร้ายเท่านั้น แต่ต้องไม่ฟังคนที่พูดร้ายด้วย
สุภาษิตโบราณว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ... ถ้าใครมาเล่าเรื่องไม่ดีให้เราฟัง เราไม่ฟังเสียอย่าง เขาก็เล่าไม่ได้

1ทธ.3:3                  ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนสุภาพ ไม่เป็นคนชอบวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน           
หนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำ (แม้ไม่ใช่ตำแหน่งสูงสุด) คือ ไม่เป็นคนชอบทะเลาะวิวาท
เป็นคนสร้างสันติ ไม่ใช่คนสร้างสงคราม

รม.12:18                 ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
หลักการที่พระเจ้าให้เรายึด คือ อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
เมื่อเรานิ่งทุกอย่างก็นิ่ง เหตุที่ทุกอย่างไม่นิ่ง เพราะเราไม่นิ่ง เราวุ่นวาย ทุกอย่างจึงวุ่นวาย

1.5 การสร้างสันติที่เป็นรูปธรรม คือ ให้อภัย ให้ความเข้าใจ ให้โอกาสและให้สติปัญญา
เราจะเป็นสุขได้ ต้องสร้างสันติที่เป็นรูปธรรม
ให้อภัย ... ต้องให้ไม่มีสิ้นสุด พระเจ้าสอนแล้วว่าแต่ละวันต้องให้อภัย 70 คูณ 70 ครั้ง
การให้อภัย ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้คนทำชั่ว เพราะใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น
แต่คนที่ให้อภัย จะเกิดความสงบ และความสุข

ให้ความเข้าใจ ... เข้าใจคนทุกประเภท ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา
ถ้าเราถือคนบ้า ก็แสดงว่า เราบ้ายิ่งกว่าเขา
เราทุกคนมีทั้งจุดดีและจุดด้อย มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง เราต้องเข้าใจทุกคน

ให้โอกาส ... อย่าคิดว่าทุกอย่างจบแล้ว เพราะแม้แต่พระเจ้ายังให้โอกาสเรา
ตราบใดเรามีลมหายใจ ตราบนั้นเรามีโอกาสจากพระเจ้า เราต้องคิดเช่นนั้นกับผู้อื่นด้วย

ให้สติและให้ปัญญา ... ไม่มีใครสมบูรณ์ แต่เรากำลังก้าวไปสู่ความสมบูรณ์
เราจะสมบูรณ์ได้ ก็ด้วยสติ และปัญญา
เราอยู่คริสตจักรใด คริสตจักรนั้นต้องทำ 5 พันธกิจแก่เราได้ คือ เลี้ยง สร้าง นำ ปกป้องและปกครอง

หลักการสร้างสันติ
ก. อย่าให้เหตุผลกับคนโง่ และคนดื้อ
คนที่ปิดหู ปิดตา ปิดใจ ปิดสมอง เราไม่ควรเสียเวลาให้เหตุผลกับเขา
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าโง่ และดื้ออย่าไปเสียเวลา

ข. อยากสงบ ต้องออกจากตลาดสด ไปขึ้นภูเขาสูง
“ตลาดสด” เล็งถึง ความวุ่นวาย สับสน เสียงดัง สกปรก ฯลฯ
หลายครั้ง แม้ในบ้านของเราเองยังเป็นตลาดสด ... เราจะหาความสงบไม่ได้เลย
“ภูเขาสูง” เล็งถึง การใช้เวลาสงบอยู่กับพระเจ้า เช่น การอ่านพระคัมภีร์ การนมัสการ

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -52-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ค. อธิษฐานเผื่อ อวยพร รักเขาให้มาก แม้ไม่เห็นด้วยกับเขา
นี่เป็นหลักของการสร้างสันติ อธิษฐานเผื่อ แต่อย่ายกตนข่มท่าน
รม.12:18-21           ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน ดูก่อนท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
เราต้องไม่ตอบแทน ไม่ตอบโต้ ไม่เอาชนะ ปล่อยวางทุกอย่างไว้กับพระเจ้า
ความดีอย่างหนึ่งที่เราพึงกระทำ คือ การไม่ตอบโต้
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่รังเกียจเขาด้วย แต่ไม่ทำตามในสิ่งที่เขาทำ หรือในสิ่งที่เขาเป็น

1ปต.4:8                  ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
รักกันให้มาก เป็นการตัดสินใจรัก ... รักแม้เขาไม่น่ารัก เป็นการเหยียดสุดตัว ฝืนตัวเอง เหมือนนักกีฬาวิ่งเข้าเส้นชัย
รักเขา แต่ไม่ทำตามเขา ไม่เป็นอย่างเขา
พระเจ้ารักเขา พระเจ้ารักทุกคน เราเป็นใครจะไม่รัก

มธ.5:43-47             ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ

ง. ใช้ความชอบธรรมเป็นอาวุธ
2คร.6:4-8               แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ได้กระทำตัวให้เป็นที่ชอบในการทั้งปวง โดยความเพียรอดทนเป็นอันมาก ในความทุกข์ยาก ในความขัดสน ในเหตุวิบัติ ในการถูกเฆี่ยน ในการที่ถูกจำคุก ในการวุ่นวายในการงานต่างๆ ในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร โดยความบริสุทธิ์ โดยความรู้ โดยการไม่โกรธเร็ว โดยใจกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรกแท้ โดยถ้อยคำสัตย์จริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ใช้เครื่องอาวุธแห่งความชอบธรรมด้วยมือขวาและมือซ้าย ทั้งเวลามียศและเวลาอัปยศ ทั้งเวลาลือกันว่าชั่วและเวลาลือกันว่าดี ถูกเขาหาว่าเป็นคนที่ล่อลวงเขาให้หลง แต่ยังเป็นคนสัตย์ซื่อ
แนวคิด แนวปฏิบัติในฐานะคนรับใช้พระเจ้า ต้องแตกต่างจากคนที่ไม่ได้รับใช้พระเจ้า
ไม่ว่าเจอเหตุการณ์อะไร เราต้องเพียรอดทนเป็นอันมาก
อดทนด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยความขมขื่น
แล้วพระเจ้าจะเรียกเราว่าเป็นบุตรที่รัก สมกับเป็นลูกพระเจ้า
การลงทุนสูง เหนื่อยมาก แต่ก็จะทำให้เรารับบำเหน็จมาก และรับความสุขมากเช่นกัน

No comments:

Post a Comment