Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ บุคคลผู้เป็นสุข ” ตอน 3 จาก “ มธ.5:3-11 ”

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -10-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

รื่อง บุคคลผู้เป็นสุข ตอน 3 จาก มธ.5:3-11

                มธ.5:3-11               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลมบุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกบุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบบุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้าบุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตรบุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
                พระวจนะในตอนนี้ เป็นลักษณะของบุคคลผู้เป็นสุข เป็นแนวทาง เป็นเคล็ดลับ เป็นกุญแจ เป็นหนทางที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ โดยมีรายละเอียดทั้งหมด 9 ประการ

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 1 (มธ.5:3) บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
(สอนรายละเอียดไปแล้วในตอนที่ 1-2)
ความบกพร่อง คือ การมีสติ รู้สึกตัว
ตรงกับหลักการของพุทธศาสนา คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ถ้าเราจะศึกษาให้ลึกซึ้งจะพบว่า ไม่ว่าปรัชญาของศาสนาใดๆ ก็ไม่ขัดแย้งกับทางของพระเจ้า
คนที่รู้สึกว่าตนเอง “บกพร่อง” แท้จริง คือ คนที่ไม่บกพร่อง

2.6 ผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
มธ.5:3                    บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
ผู้ที่รู้สึกบกพร่อง จะเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
แผ่นดินของพระเจ้า เป็นของเขาตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องรอโลกหน้า
คือ ความสำเร็จ ความสุข ความสงบ ความสะอาด และความสว่าง อยู่กับเขา เป็นของเขา

คำว่า “แผ่นดินสวรรค์” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง สวรรค์ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อจากโลกนี้
แต่เป็นแผ่นดินของพระเจ้าในโลกมนุษย์ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “สวรรค์ในอก” นั่นเอง

คำว่า “แผ่นดินสวรรค์” อธิบายตามพระคัมภีร์ มีดังนี้
ก. รม.14:17            เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
“แผ่นดินของพระเจ้า” คือ “แก่นสารชีวิตของมนุษย์”
เราไม่ได้อยู่เพื่อกิน หรือดื่ม แม้เราต้องกินและดื่ม
เรากินเพื่ออยู่ แต่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ... เพราะหากกระทำดังนั้น มนุษย์ก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์
คนที่แผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา คือ ชีวิตของเขาจะเต็มด้วยความชอบธรรม
เต็มไปด้วยสันติสุข และความชื่นชมยินดีจากพระเจ้าในชีวิต


บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -11-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ข. 1คร.13:4-7         ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
นี่คือ ลักษณะของผู้ที่มีวุฒิภาวะอย่างสมบูรณ์ อยู่ในธรรมขั้นสูง และเป็นผู้ที่บรรลุธรรม
ผู้ที่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา
จะรู้สึกบกพร่อง และอยากพัฒนาตนเองให้ไปสู่จุดนี้ให้ได้

ค. ปฐก.1:26           แล้วพระเจ้าตรัสว่า ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน
แผ่นดินสวรรค์เป็นของผู้ใด คือ พระประสงค์ของพระเจ้าดั้งเดิมในการสร้างมนุษย์เป็นพระฉาย ก็สำเร็จในผู้นั้น
ผู้คนเห็นพระเจ้า เห็นความคิดของพระเจ้า เห็นการกระทำอย่างพระเจ้า ผ่านชีวิตของเรา
แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามคืน เราต้องปรับปรุง ต้องแก้ไขอยู่เสมอ
เพื่อพระฉาย และพระลักษณะของพระเจ้าจะเกิดมากขึ้นในเรา
เมื่อพระลักษณะของพระเจ้ามีมากขึ้น ชีวิตเราก็มีประโยชน์มากขึ้นทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม
นั่นแหละ คือ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 2 (มธ.5:4) บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
โศกเศร้า ไม่ได้หมายถึง อ่อนแอ ขี้แย (เจออะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้)
แต่หมายถึง คนที่เข้มแข็งและมีเมตตา ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น
ความเข็มแข็ง ความเมตตา และภาระใจ ต้องอยู่ในชีวิตของเราเสมอ

โศกเศร้า ไม่ได้หมายถึง การอมทุกข์
ที่จริงแล้วสำหรับคริสเตียน ไม่ควรเรียกว่าความทุกข์ แต่เป็นความเหนื่อยยากจากการทำงานมากกว่า
เหมือนนักกีฬาที่แข่งขันทุกคน ต้องเหนื่อย ต้องหอบ แต่ไม่มีใครทุกข์ ทุกคนมีความสุขที่ได้ลงแข่ง
และมากไปกว่านั้น เขาสุขเพราะได้รับรางวัลจากการแข่งขันนั้น
เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก แม้ลำบาก แม้เหนื่อย แต่พ่อแม่ทุกคนสุขใจได้ที่ได้เลี้ยงลูก

โศกเศร้า ไม่ได้หมายถึง มีความขมขื่น
ชีวิตเราแม้จะกินยาขม แต่เราต้องไม่รู้สึกขมขื่นกับชีวิต
พคค.3:17-18,21-22,26-28     จิตวิญญาณของข้าพเจ้าขาดความสงบสุขจนข้าพเจ้าลืมความสำราญว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้าลืมความสำราญว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้าจึงว่า ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญไปแล้ว และความหวังในพระเจ้าก็ดับหมด...ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้ ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้นเมื่อคิดได้ ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้นเมื่อคิดได้ว่า ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด...เป็นการดีที่จะหวังใจและรอคอยความรอดจากพระเจ้า เป็นการดีที่คนเราจะแบกแอกในปฐมวัย ให้เขานั่งเงียบๆ อยู่แต่ลำพัง เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง
เราต้องมีความหวังในพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าต้องเผชิญสถานการณ์อย่างไร

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -12-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

1. “โศกเศร้า” หมายถึง ?
1.1 รู้สึกสงสารและทุกข์ใจ เมื่อเห็นคนหลงผิดหรือทำผิด มีใจเมตตา อยากช่วยเหลือ
มธ.9:35-36             พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง
พระเยซูทรงสงสารประชาชนที่ถูกผี ความบาป ความโง่ รังควาน
เมื่อเกิดความสงสาร ก็เกิดภาระใจ ทำให้อยากช่วยเหลือ

ตัวอย่างคริสเตียนที่เด่นที่สุด คือ คริสเตียนเกาหลี
พวกเขาอธิษฐานเผื่อผู้อื่นเสมือนหนึ่งเป็นปัญหาของตัวเอง บ้านเมืองของเขาจึงเจริญ
ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของเรา มีใจสงสารประชาชน ประเทศของเราเจริญไปนานแล้ว
เพราะความสงสาร ผลักดันให้ลงมือช่วยเหลือ
และความเมตตาที่แท้จริง จะแสดงออกด้วยหัวใจ
คือ หัวใจที่เมตตา หัวใจเป็นทุกข์ หัวใจที่โศกเศร้า ... เห็นอก เห็นใจ ทำด้วยใจ

1.2 “ความโศกเศร้า” ไม่ใช่ “ความอ่อนแอ” แต่เป็น “ความรับผิดชอบ” และ “ความผูกพัน”
ตำแหน่งหน้าที่ไม่ใช่สิ่งที่เรานำมาโอ้อวดได้ แต่เป็นความรับผิดชอบ
ยิ่งตำแหน่งสูง ความรับผิดชอบยิ่งต้องสูงด้วย
ความโศกเศร้าต่อผู้อื่น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความรับผิดชอบและเป็นความผูกพันของเราต่อผู้นั้น

ตัวอย่าง
พระเจ้าสร้างมนุษย์จากลมปราณ จากพระฉาย แต่พระเจ้าให้อิสระ และมนุษย์เลือกที่จะฟังมาร แทนที่จะฟังพระเจ้า
พระองค์ทรงทุกข์ ทรงเสียพระทัย
ความรู้สึกเสียใจนั้น ไม่ใช่ความบาป ... คนที่ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใดเลยต่างหากที่ “บาป”
ดังนั้น ความรู้สึกโศกเศร้าต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นความรับผิดชอบของเรา

ก. พระเจ้าทรงโศกเศร้า เพราะมนุษย์
1) พระเจ้าทรงเสียพระทัยและโทมนัสที่ได้สร้างมนุษย์
ปฐก.6:5-6              พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป พระเจ้าจึงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัส
เมื่อมนุษย์ที่ทรงสร้างจากพระฉาย ได้กลายเป็นของมาร สร้างความชั่วช้ามากมาย
ทำให้พระองค์ทรงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้น
แต่การเสียพระทัยของพระเจ้านั้น ไม่ใช่นั่งร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนเสียสติ
เมื่อเสียพระทัยแล้ว พระองค์ทรงหาทางแก้ไขด้วย
พระเจ้ามีแผนการไถ่มนุษย์ โดยพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์ที่เสียไปแล้ว กลับมาดีดังเดิม
ดังนั้น ถ้าเราเพียงเสียใจ เศร้าใจ แต่ไม่หาทางแก้ไข เรายังไม่อยู่ในมาตรฐานของพระคัมภีร์

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -13-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

2) พระวิญญาณทรงเสียพระทัย ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อฟ.4:30                  และอย่าทำให้พระวิญญาณาบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเสียพระทัย (โศกเศร้า) ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม
สิ่งที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย คือ อฟ.4:25-29
เช่น การพูดมุสาต่อกัน, การทำบาป, การให้โอกาสแก่มาร, คนที่ทำสิ่งชั่วซ้ำๆ กัน, การกล่าวคำหยาบคาย
พระเจ้าทรงเข้าใจมนุษย์ทุกอย่าง เพราะพระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์
สิ่งที่มนุษย์คิด สิ่งที่มนุษย์ทำ พระเจ้าเข้าใจ แต่พระองค์จะเสียพระทัย ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

3) พระเยซูทรงกันแสง เมื่อลาซารัสตาย
ยน.11:33-36           เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน เขาทูลพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด พระเยซูทรงพระกันแสง พวกยิวจึงกล่าวว่า ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร
มารีย์ทูลกับพระเยซูว่า ถ้าพระองค์ทรงประทับอยู่ที่นั่น น้องชายของเธอต้องไม่ตาย
พระองค์ทรงเห็นความโศกเศร้าของเธอและครอบครัว ก็ทรงโศกเศร้าพระทัยด้วย
ในที่สุด พระเยซูก็ทรงเรียกลาซารัสให้ฟื้นจากความตาย
เพราะพระองค์ทรงรักและผูกพันกับมนุษย์

4) พระเยซูทรงอธิษฐานด้วยทุกข์พระทัย
ลก.22:44                                เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่
ที่พระเยซูทุกข์พระทัย ไม่ได้เพราะกลัวตาย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์
แต่ที่ทุกข์พระทัย ก็เพราะบาป ความสกปรก ความชั่วทั้งหมดของมนุษย์ต้องตกอยู่ที่พระองค์
พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ที่สุด ต้องบาปชั่วที่สุด
พระองค์ทรงทุกข์พระทัย เพราะนั่นเป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับพระเจ้า
แต่พระองค์ยอม เป็นลูกแกะของพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมนุษย์
เล็งถึง ความรับผิดชอบและความผูกพันของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์

5) พระเยซูทรงคร่ำครวญถึงผู้คนที่อยู่ในกรงเยรูซาเล็ม
มธ.23:37                 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ผู้คนในกรุงเยรูซาเล็ม คือ พวกผู้นำ ปัญญาชน หัวหน้า พระชั้นผู้ใหญ นักปราชญ์และขุนนาง
พระเจ้าปรารถนาจะรวบรวมและปกป้องให้พวกเขาอยู่ในความชอบธรรม ในความดี แต่เขาไม่ยอม
ส่งผลให้พระเจ้าโศกเศร้า เสียพระทัย คร่ำครวญถึงพวกเขา

ความโศกเศร้า ไม่ได้เต็มด้วยความทุกข์ แต่เต็มด้วยภาระใจ เต็มด้วยความสงสาร
ถ้าสิ่งนี้อยู่ในใจเรา จะผลักดันให้กายเราขยับ ขาเราเดิน มือเรายื่นไปช่วยเหลือผู้อื่น
ภาระใจของเราต้องสูง ต้องผลิตคนดีให้สังคม สร้างคนดีให้บ้านเมือง
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -14-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

“การศึกษา” ผลิต “หัวสมอง” แต่ไม่ผลิต “หัวใจ”
คนที่โศกเศร้า เพราะปัญหาบ้านเมือง และผู้อื่น จะผลักดันให้เราทำงาน

ข. อัครทูตเปาโล เดินทางเส้นเดียวกับพระเจ้า
ด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความรัก ด้วยความผูกพัน ด้วยเมตตา
ส่งผลให้อัครทูตเปาโล เดินตามเส้นทางเดียวกันกับพระเยซู
จึงไม่แปลกที่ท่านคนเดียว สามารถทำให้งานพระเจ้าแตะโลกได้
สร้างคริสตจักรตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มจรดกรุงโรม
ชีวิตเราก็มีชีวิตเดียวเหมือนท่านเปาโล ขึ้นกับว่าเราจะใช้มันอย่างไร

1) รับใช้พระเจ้า รับใช้พี่น้อง ด้วยน้ำตาไหล
กจ.20:19,31            ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า, เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่ และจำไว้ว่าข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน
พระวจนะตอนนี้ เป็นคำปราศัยของเปาโลที่มีต่อผู้ปกครองชาวเอเฟซัส
เป็นการให้โอวาท เป็นการสั่งเสีย เพราะท่านกำลังจะจากไปตั้งคริสตจักรที่อื่น
เปาโล อยู่ที่เมืองเอเฟซัสสามปี จากคนไม่เชื่อ ท่านทำให้เชื่อ จากคนไม่โต ท่านทำให้โต
ท่านทำงานได้สำเร็จ ก็ด้วยใจเมตตาและหัวใจที่รับผิดชอบต่อพระเจ้า
และกว่างานจะสำเร็จนั้น เต็มไปด้วยน้ำตา ... โศกเศร้า แต่ไม่ได้เสียใจ

2) เจ็บปวดเพื่อให้แกะเติบโตขึ้น
กท.4:19                  ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีก จนกว่าพระคริสต์ได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
นอกจากต้องทำงานไปด้วยน้ำตาไหลแล้ว เปาโลยังยอมเจ็บปวดเพื่อลูกแกะอีกด้วย
“เจ็บปวด” เพื่อให้เขาเติบโต แต่ไม่ “เจ็บใจ” ที่เขาไม่ได้ดังใจ
รักแกะ ปรารถนาดีกับแกะ อยากให้เขาได้ดี จึงยอมทน นี่คือ ความรับผิดชอบ

3) ความโศกเศร้าที่มีต่องานพระเจ้า
2คร.11:23-24,28-29               เขาเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนบ้า) ข้าพเจ้าทำงานใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที, และนอกจากนั้นยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวันๆ คือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังด้วย มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุด และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย
กว่าคริสตจักรจะเกิด เกิดแล้วกว่าจะโต โตแล้วกว่าจะเข้มแข็ง
ผู้รับใช้พระเจ้า ผู้นำฝ่ายวิญญาณ ต้องทุกข์ ต้องโศกเศร้า ต้องเสียสละเป็นอย่างมาก
เปาโล ทำงานบุกเบิก ต้องรับใช้พระเจ้าไปด้วย หาเลี้ยงตัวเองไปด้วย
ความกระวนกระวายถึงคริสตจักรต่างๆ ก็บีบคั้นท่าน (เพราะมีร่างเดียว แต่คริสตจักรที่ก่อตั้งมีมาก)
ลูกแกะอ่อนกำลัง ท่านก็อ่อนกำลังไปด้วย ลูกแกะเจ็บ ท่านก็เจ็บด้วย
นี่ คือ ความโศกเศร้าของคนทำงานรับใช้พระเจ้า
ไวต่อความรู้สึก ไวต่อความต้องการของผู้อื่น และพร้อมที่จะช่วยเหลือเขา
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -15-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

4) ยินดีสละแรงทั้งหมดที่มีเพื่อแกะ
2คร.12:15               และข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะสละแรงหมดเพื่อท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้นๆ ท่านจะกลับรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ
เปาโล ยินดีสละแรงทั้งหมด อยู่เพื่อแกะของพระเจ้า อยู่เพื่อสมาชิก
ดังนั้น คริสตจักรใดได้ผู้รับใช้ที่ดี ต้องเห็นคุณค่า ช่วยกันรักษา แบ่งเบาภาระ และอย่าเพิ่มภาระ
เราไม่รู้หรอกว่าผู้รับใช้ต้องโศกเศร้าเพื่อแกะและงานของพระเจ้ามากมายแค่ไหน

2. ผลของการ “โศกเศร้า” เพื่องานพระเจ้าและคนของพระองค์
การโศกเศร้า การเจ็บปวด การร้องไห้ เพื่องานของพระเจ้า และคนของพระองค์
ส่งผลให้เรารับพระพรจากพระเจ้า 7 ประการ ดังนี้

2.1 คทาและธารพระพรอยู่ด้วยในยามวิกฤต
สดด.23:4                แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
ในหุบเขา เงามัจจุราช คือ ในยามวิกฤตของชีวิต
และโลกกำลังวิกฤตขึ้นเรื่อยๆ ตามที่พระคัมภีร์เขียนเอาไว้
แต่ผู้ใดที่ยอมเจ็บปวด ร้องไห้ และโศกเศร้า เพื่องานพระเจ้า พระองค์เองจะทรงดูแลผู้นั้น
ท่ามกลางวิกฤต เราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า

2.2 พระเจ้าจะทรงตอบ พระองค์จะอยู่ด้วยในยามยาก ช่วยให้พ้นและให้เกียรติเขา
สดด.91:15              เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามยากลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา
พระหัตถ์พระเจ้าจะรองรับเราอยู่เสมอ แม้ในยามยากลำบาก
เมื่อเราเสียเหงื่อ เสียน้ำตา เพราะงานของพระเจ้า สวรรค์จะดูแลเรา พระเจ้าจะอยู่ด้วย
จะช่วยให้เราพ้นจากความยากจน จากความตาย จากภาระที่เราต้องแบก
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องถามตัวเอง คือ วันต่อวัน เดือนต่อเดือน เราเหนื่อยเพราะพระเจ้า
หรือเราเหนื่อยเพราะตัวเอง เพราะงานของเรา

2.3 ผู้หว่านด้วยน้ำตา จะเกี่ยวเก็บความชื่นบาน
สดด.126:5-6          ขอให้บรรดาผู้หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย
น้ำตาที่บริสุทธิ์ จากใจที่สะอาด หยดลงเพื่องานพระเจ้า
เพื่อคนที่อ่อนแอ จะเข็มแข้งขึ้น เพื่อคนที่สกปรก จะสะอาดขึ้น
“น้ำตา” จะกลายเป็นเพชรเม็ดงามของผู้นั้นเอง

4.2 พระเจ้าจะเป็นผู้เล้าโลมเรา
อสย.51:3,12           เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเล้าโลมศิโยน พระองค์จะทรงเล้าโลมที่ทิ้งร้างทั้งสิ้นของเธอ และจะทำถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดน และทะเลทรายของเธอเหมือนอุทยานของพระเจ้า จะพบความชื่นบานและความยินดีในเธอ ทั้งการ
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -16-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

โมทนาและเสียงเพลง, เรา คือ เราเองผู้เล้าโลมเจ้า เจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่กลัวมนุษย์ผู้ซึ่งต้องตาย คือกลัวบุตรของมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า
รางวัลของผู้ที่โศกเศร้าเพื่องานพระเจ้าสูงมาก คือ พระเจ้าเองเป็นผู้เล้าโลม
ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกลัวมนุษย์ ผู้ที่ต้องตายเช่นเดียวกันกับเรา

4.5 พระหัตถ์พระเจ้าอยู่ด้วย และต่อสู้ศัตรูให้เรา
อสย.66:13-14         ดั่งผู้ที่มารดาของตนเล้าโลม เราจะเล้าโลมเจ้าเช่นนั้น และเจ้าจะรับการเล้าโลมในเยรูซาเล็ม เจ้าจะเห็นและใจของเจ้าจะเปรมปรีดิ์ กระดูกของเจ้าจะกระชุ่มกระชวยอย่างหญ้าอ่อน และเขาจะรู้กันว่าหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์ และความพิโรธต่อสู้ศัตรูของพระองค์

4.6 รับพรในโลกหน้าเป็นนิตย์นิรันดร์
ดนล.12:3               และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์
พระพรของพระเจ้าทุกอย่างมีเงื่อนไข ถ้าทำได้ก็รับพรตามพระสัญญา
เราทำให้กี่คนมาถึงความชอบธรรม เราทำให้กี่คนเข้มแข็งในทางพระเจ้า
คนที่อยู่เพื่อพระเจ้า ทำเพื่อพระเจ้า รับพรในโลกนี้อย่างมากมายว่าดีแล้ว
แต่ดีที่สุด คือ รับพรในสวรรค์ เพราะที่นั่นคงอยู่นิรันดร์กาล

4.7 เป็นสุขนิรันดร์ เพราะการงานที่ได้กระทำติดตามเขาไป
วว.14:13                 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งว่า จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป คนทั้งหลายที่ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข และพระวิญญาณตรัสว่า จริงอย่างนั้น เขาได้หยุดพักจากการงานของเขา เพราะการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป
ผู้ที่ตายเพื่อพระเจ้า ผู้ที่เจ็บปวดเพื่อพระเจ้า ผู้ที่เสียสละเพื่อพระเจ้า ผู้ที่โศกเศร้าเพื่อพระเจ้า เขาจะเป็นสุข
เพราะการงานที่ได้กระทำในโลกนี้นั้น ติดตามเขาไปถึงโลกหน้า
และการงานนั้นจะคงอยู่นิรันดร์กาล





No comments:

Post a Comment