Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 10

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -64-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 10

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 10 ว่าด้วยเรื่อง สิทธิอำนาจ(ต่อ)
1. ความสำคัญแห่งสิทธิอำนาจ
2. สิทธิอำนาจของพระเจ้าใน 5 สถาบันที่เราต้องเข้าใจและยอมรับ
2.1 สิทธิอำนาจของพระเจ้าในคริสตจักรหรือศาสนจักร
ก. พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ มอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านคริสตจักร
ข. เมื่อโลกนี้สิ้นไป คริสตจักรจะปกครองร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์
(สอนไปแล้วในตอนที่ 9)

ค. ในคริสตจักร ผู้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า คือ ผู้รับใช้ของพระองค์
(1) ผู้รับใช้ สามารถให้คำพรหรือคำสาปได้
มธ.16:19           เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย
พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ มอบสิทธิอำนาจของพระองค์ไว้กับคริสตจักร
ผู้ที่ใช้กุญแจและสิทธิอำนาจนั้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ ผู้รับใช้ที่รับการเจิมจากพระองค์
ไม่ได้หมายถึง ผู้รับใช้จะเป็นมนุษย์ที่สูงส่งกว่าผู้อื่น แต่เรื่องนี้เป็นสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
เป็นการมอบและกระจายอำนาจของพระเจ้ามาถึงประชากรของพระองค์
สำหรับผู้รับใช้นั้น ยิ่งมีอำนาจจากพระเจ้ามาก ก็ยิ่งต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้ามากเช่นกัน
จะใช้อำนาจหรือกุญแจนั้นแบบส่งเดชไม่ได้ แต่ต้องใช้ตามแนวทางของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าเท่านั้น

มธ.10:5-10        สิบสองคนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า จงไปพลางประกาศพลางว่า "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆจงให้เปล่าๆ อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงินหรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน หรือย่ามใช้ตามทาง หรือเสื้อ หรือถือไม้เท้า หรือสวมรองเท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน
พระเยซูทรงส่งสาวก (ผู้รับใช้) ออกไปทำงาน พร้อมทั้งมอบสิทธิอำนาจให้พวกเขาด้วย
โดยให้เขา ประกาศข่าวประเสริฐ รักษาคนเจ็บป่วย และขับผีออก
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -65-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

และในสมัยนั้น ผู้รับใช้มีหน้าที่ทำงานรับใช้พระเจ้าเพียงอย่างเดียว
พระเยซูคริสต์ไม่อนุญาตให้ทำงานอย่างอื่น โดยพระองค์เป็นผู้เลี้ยงดูพวกเขาเอง
แต่ภายหลังในยุคอัครทูตเปาโล พระเจ้าอนุญาตให้ทำงานไปและรับใช้พระเจ้าไปด้วยได้

มธ.10:11-15       เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้น จนกว่าจะจากไปขณะเมื่อขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้นถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของท่านอยู่กับเรือนนั้น แต่ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่ท่านอีกถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย เพื่อแสดงว่าท่านไม่รับผิดชอบต่อไปเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น
พระวจนะตอนนี้สำคัญมาก เล็งถึง สิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้ผู้รับใช้ ในการให้คำพรหรือคำสาป
ผู้รับใช้ ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นผู้แทนพระองค์ และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากพระเจ้า
ต่อผู้ที่มีท่าทีถูกต้อง ผู้รับใช้สามารถให้พรและสันติสุขของพระเจ้าดำรงอยู่กับครัวเรือนนั้นได้
ส่วนผู้ที่มีท่าทีผิดนั้น แม้ผงคลีที่ติดเท้าพระเจ้ายังให้ผู้รับใช้สะบัดออก
และครัวเรือนนั้นจะต้องรับโทษหนักยิ่งกว่าที่เมืองโสโดม (เมืองที่เต็มไปด้วยความบาป) รับเสียอีก

ดังนั้น เมื่อเราต้อนรับผู้รับใช้พระเจ้า ต้องต้อนรับเขาในฐานะตัวแทนของพระเจ้า
ทำอย่างไรกับผู้รับใช้ ก็เท่ากับทำอย่างนั้นกับพระเจ้า
เกาหลีใต้เป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้า ก็เพราะเขาให้เกียรติและเคารพผู้รับใช้พระเจ้า
เพราะถือเป็นเรื่องสิทธิอำนาจของพระองค์

มลค.3:10-12      พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร ด้วยว่าเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ
ผู้รับใช้ สามารถอวยพรเราผ่านการถวายทศางค์อย่างเต็มขนาดในพระนิเวศของพระเจ้า
ทศางค์ คือ สิบลด (10% ของรายได้สุทธิ) เป็นเงินของพระเจ้า ต้องนำมาคืนสู่ท้องพระคลัง
(คือ คริสตจักรท้องถิ่นที่เราเป็นสมาชิกอยู่)
ทศางค์นั้น พระเจ้าอนุญาตให้ใช้ในราชกิจของพระองค์ เพื่อดูแลและสนับสนุนเลวี (ผู้รับใช้)
รวมทั้งขยายอาณาจักรของพระเจ้า (ไม่ใช่มีไว้ฝากเป็นเงินเก็บ แต่ไม่มีผลต่อการนำคนมาถึงพระองค์)
ผู้รับใช้ ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าในการใช้ทศางค์นั้นอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ถวายได้รับพระพร

(2) ผู้รับใช้ ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้าและประชากรของพระองค์

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -66-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

กว่าที่พระเจ้าจะทรงเจิมใช้ผู้ใด พระเจ้าต้องมั่นใจว่าเขาสามารถใช้ได้
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า อำนาจมาก ก็ย่อมต้องรับผิดชอบมากเช่นกัน
พระวจนะของพระเจ้าสมดุล สอนว่าเราต้องให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า
แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงสอนให้ผู้รับใช้มีท่าทีที่ถูกต้อง สมควรกับเกียรตินั้นเช่นกัน

มธ.20:26-28       แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลายถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่านอย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
ผู้รับใช้ ต้องเลียนแบบชีวิตจากพระเจ้า
ไม่ใช่เป็นเจ้านาย แต่เป็นทาสสมัคร มาเพื่อปรนนิบัติ ไม่ใช่รับการปรนนิบัติ
ทำงานพระเจ้า เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่สร้างอาณาจักรของตัวเอง

เปาโล ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ กระทำหมายสำคัญให้คนง่อยลุกขึ้นได้โดยสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
เมื่อผู้คนเห็นก็แห่พากันมานมัสการเปาโลเป็นพระเจ้า
กจ.14:11-15       เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า "พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว"เขาจึงเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส เพราะเปาโลเป็นคนพูดปุโรหิตประจำรูปพระซุสซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงโค และถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชนแต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินดังนั้น จึงฉีกเสื้อผ้าของตนเสียวิ่งเข้าไปท่ามกลางคนทั้งหลายร้องว่าดูก่อนท่านทั้งหลาย เหตุไฉนจึงทำการอย่างนี้ เราเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย และมากล่าวข่าวประเสริฐให้ท่านกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ ให้ท่านมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทะเลและสิ่งสารพัด ซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น
แต่ท่าทีของเปาโล คือ ให้เกียรติพระเจ้า สอนให้คนนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่นมัสการตัวเอง
หลายคนอ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้ แต่แทนที่จะสอนให้คนผูกพันกับพระเจ้า กลับสอนให้คนผูกพันกับตัวเองแทน
ใครที่ใช้คำสอนของพระเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่พระเจ้า วิบัติจะเกิดแก่ผู้นั้น

ผู้รับใช้ที่แท้จริง ชีวิตต้องตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้
สอนให้ใครทำอะไร เป็นอะไร ผู้รับใช้ต้องทำและเป็นให้ได้ก่อน
และต้องไม่ทำหรือเป็นเพื่อเอาหน้า แต่ต้องทำหรือเป็น ... เพราะสิ่งนั้นเป็นชีวิตและจิตวิญญาณของเรา
ผู้รับใช้ที่แท้จริง ต้องมีความรู้ในเรื่องพระคัมภีร์
เข้าใจและสามารถถ่ายทอดพระราชโองการของพระเจ้าถึงประชากรของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
ผู้รับใช้ที่แท้จริง ต้องมีผลงานในการรับใช้เป็นเครื่องยืนยันถึงการเจิม
นำคนได้ สอนคนได้ เลี้ยงคนได้ สร้างคนได้
เหล่านี้ คือ คุณสมบัติของผู้รับใช้ที่จะรับสิทธิอำนาจจากพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -67-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

(3) เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า
เราต้องร่วมกันสร้างสถาบันของพระเจ้าให้เข้มแข็ง เริ่มต้นจากการมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้
เขาควรรับเกียรติ เพราะเขาทำงานที่มีเกียรติเพื่อพระเจ้า
ถ้าสถาบันของพระเจ้าเข้มแข็ง คนดี คนเก่ง ก็อยากจะทำงานรับใช้พระองค์
ถ้าได้คนดี คนเก่งมาทำงาน ราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ขยายได้ง่ายขึ้น
แต่ทุกวันนี้ที่คนดีๆ ไม่ค่อยอยากรับใช้ เพราะประชากรส่วนมากมีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง
เห็นผู้รับใช้ เป็นยิ่งกว่าทาส ทั้งสะดุด ทั้งติฉินนินทา ใครจะมีกำลังใจในการรับใช้
เราเรียนเรื่องสิทธิอำนาจ ก็เพื่อที่จะให้พระเจ้าอวยพรตัวเรา
อวยพรงานพระเจ้าและอวยพรคริสตจักรของพระองค์ผ่านความเข้าใจที่ถูกต้องของเรา

มธ.10:40           ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา
พระเยซูสอนท่าทีต่อผู้รับใช้พระเจ้าอย่างชัดเจน
ต้อนรับผู้รับใช้ ก็เท่ากับต้อนรับพระเจ้า ปฏิบัติกับผู้รับใช้อย่างไร ก็เท่ากับปฏิบัติกับพระเจ้าอย่างนั้น
ผู้รับใช้สมควรได้รับเกียรติ เพราะเขารับมอบหน้าที่จากพระเจ้าให้ดูแลลูกๆ ของพระองค์
ดูแลด้วยการสอน ด้วยการแนะนำ ด้วยการปรับปรุงแก้ไข และด้วยการเสริมสร้างชีวิต
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตผู้เชื่อต้องผ่านการวางมือจากผู้รับใช้
แรกเกิด ก็นำไปถวายบุตร ให้ผู้รับใช้อธิษฐานเผื่อ
แต่งงาน ก็ให้ผู้รับใช้ วางมืออธิษฐานเผื่ออีกเช่นกัน
และเมื่อต้องตายจากโลกนี้ ผู้ที่อธิษฐานเผื่อเป็นคนสุดท้ายก็ไม่พ้นผู้รับใช้พระเจ้า
นี่ยังไม่รวมการอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วย หรือช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ ปราศจากผู้รับใช้พระเจ้าไม่ได้เลย
ดังนั้น สมควรที่เราจะให้เกียรติ มีท่าทีและปฏิบัติต่อผู้รับใช้อย่างถูกต้อง

มธ.25:40           แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"
การทำดีต่อพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน ยังไม่ขาดบำเหน็จพระพรจากพระเจ้า
การทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์ จะรับบำเหน็จและพระพรมากขนาดไหน

ตัวอย่างท่าทีที่ถูกต้อง
กจ.16:13-15       มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังเราชื่อลิเดีย มาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วง เป็นคนที่ถือพระเจ้า หญิงนั้นได้ฟังเรา และพระเจ้าได้ทรงเปิดใจของเขาให้สนใจในถ้อยคำซึ่งเปาโลได้กล่าว เมื่อหญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเขาได้รับบัพติศมาแล้ว จึงอ้อนวอนเราว่า "ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในตึกของข้าพเจ้าเถิด" และเขาได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้
นางลิเดีย หญิงที่มีฐานะร่ำรวย ปฏิบัติต่อผู้รับใช้อย่างถูกต้อง

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -68-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ให้เกียรติ วิงวอน ขอร้องให้ผู้รับใช้มาพักด้วย เพราะเธอเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า
จำไว้ว่า ทุกครั้งที่เราต้อนรับผู้รับใช้ของพระองค์ บำเหน็จพระพรก็อยู่กับเรา

2พกษ.4:1-8       ผู้รับใช้ให้พรกับหญิงม่าย ผ่านท่าทีที่ถูกต้องของเธอ
2พกษ.4:8-10      วันหนึ่งเอลีชาเดินต่อไปถึงเมืองชูเนม เป็นที่ที่หญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านให้รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านทางนั้นไปเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหาร และนางได้บอกสามีของนางว่า "ดูเถิด ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า เดินผ่านบ้านเราอยู่เนืองๆ ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนหลังคาสำหรับท่าน วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น"
หญิงชาวชูเนม มีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้พระเจ้า
ครัวเรือนของนางก็ได้รับพระพรด้วย มีคนตาย แต่ผู้รับใช้อธิษฐานให้ฟื้นได้
ผู้รับใช้พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระพรของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ผู้รับใช้ไปที่ไหน นำพรไปที่นั่น

(4) พันธกิจของผู้รับใช้ที่จะต้องทำต่อผู้เชื่อ
แต่ละคนกว่าจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้ เป็นบุตรแล้วว่าจะเป็นทหารที่เข้มแข็ง
ต้องผ่านกระบวนการที่ผู้รับใช้พระเจ้าทำ ดังนี้
- ต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐ
รม.10:14           แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้
- ต้องมีการอธิษฐานนำรับเชื่อ
รม.10:9-10         คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอดด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
เป็นการรับใช้พระเจ้า นำวิญญาณถวายพระเจ้า
- ต้องเลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณ
ยน.1:12-13        แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกามหรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
ต้องสอนให้ผู้เชื่อเข้าใจว่า ผู้เดียวที่ทำให้เขารอดได้ คือ พระเยซูคริสต์
ไม่ใช่การอยู่ในโบสถ์คริสต์ หรือศาสนาคริสต์
มธ.10:32           เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์
เรารอดได้ ก็เพราะความเชื่อ ... แต่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็รับความรอด
ใครปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ชีวิตก็พินาศ ไม่รับความรอด
แต่การยืนหยัด ไม่ปฏิเสธ ยอมถูกข่มเหงเพราะนามของพระเจ้า จะรับพระพร

No comments:

Post a Comment