Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 4

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -23-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 4

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 4 ว่าด้วยเรื่อง “คริสตจักรของพระเจ้า” (ต่อ)
1. คริสตจักรของพระเจ้า มีความสำคัญอย่างไร?
2. คริสตจักรของพระเจ้า มีเพียงคริสตจักรเดียว
3. ผู้สร้าง เจ้าของและผู้ที่ใหญ่ที่สุดในคริสตจักร คือ พระเยซูคริสต์
4. พระเจ้ามอบภารกิจทั้งหมดของพระองค์ให้คริสตจักรทำแทน
5. พันธกิจหลักของคริสตจักร
(สอนไปแล้วในตอนที่ 2-3)

6. คริสตจักรในพระดำริ มีลักษณะอย่างไร?
มธ.16:18           ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
1ทธ.3:15           หากข้าพเจ้ามาช้า ท่านก็จะได้รู้ว่า ควรจะประพฤติอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้า คือคริสตจักรของพระเจ้าผู้ดำรงพระชนม์ เป็นหลักและรากแห่งความจริง
คริสตจักรในพระดำริ คริสตจักรที่พระเยซูคริสต์ทรงสร้าง คริสตจักรที่เป็นหลักและรากแห่งความจริง
คำว่า “คริสตจักร” ในภาษากรีกใช้คำว่า “เอกคลีเซีย”
พระเจ้าทรงสร้างคริสตจักร เพื่อเป็นการพบกันระหว่าง “กษัตริย์” กับ “ประชาชน”
เป็นการพบกันระหว่าง “พระเจ้า” กับ “มนุษย์ที่เป็นประชากรของพระองค์”

ลักษณะและความหมายของคำว่า “คริสตจักร” หรือ “เอกคลีเซีย”
1ปต.2:9             แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
-  เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียก
-  เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกให้ออกจากความมืด
-  เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มารวมตัวกันในความสว่าง
-  เป็นกลุ่มชนที่รวมตัวกันรับใช้พระเจ้า
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                              -24-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

-  เป็นกลุ่มชนที่รวมตัวกันเพื่อประกาศพระบารมีของพระเจ้า

6.1 เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียก
คริสตจักรเป็นเรื่องของกลุ่มชน ฝูงชน ไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ แต่เป็นกลุ่มใหญ่
กลุ่มชนนี้ พระเจ้าเป็นผู้เรียกเขา ... เป็นเรื่องของสวรรค์กับมนุษย์
และในการทรงเรียกนั้น พระเจ้าทรงเรียกชนทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชนชาติมารวมกัน

ก. ภาพรวมของการทรงเรียก วว.7:9-17
วว.7:9               ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และ ดูเถิด คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก
พระวจนะตอนนี้ เป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าทรงเรียก
“ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา” คือ กลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียก เป็นฝูงชน เป็นคนกลุ่มใหญ่
“สวมเสื้อสีขาว” คือ การรวมตัวกันในความสว่าง
“ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก” คือ เรื่องของมนุษย์กับพระเจ้า
นี่เป็นเหตุให้ไม่มีสิ่งใด ผู้ใด อำนาจใดทำลายคริสตจักรของพระเจ้าได้

พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงเรียก พระองค์จะทรงรับผิดชอบ
ในการเรียกนี้ พระองค์ตั้งใจเรียก ตัดสินใจเรียก ไม่ได้ฝืนใจเรียก
พระเจ้าเรียก เพราะรักเราทุกคน แม้เราจะเป็นคนบาป
และพระเจ้าทรงเรียกชนทุกชาติ ไม่ได้เรียกเฉพาะชาติใดชาติหนึ่ง
ถ้าเราเข้าใจคำว่าคริสตจักรในพระดำริ เราจะเข้าใจว่าพระเจ้ามีคนของพระองค์เสมอ
การที่พระเจ้าเรียกเป็นกลุ่มชน แสดงว่า พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าของเราทุกคน
เมื่อพระเจ้าเห็นคุณค่าเรา เราต้องทำตัวมีคุณค่า และประพฤติตัวอย่างเหมาะสมในครอบครัวของพระเจ้าด้วย
เราต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะแม้เราไม่เดินตามพระเจ้า ก็ยังมีคนที่เดิมตามพระเจ้าอยู่ดี
สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ พระเจ้ารักทุกคน เรียกทุกคน
แต่พระองค์จะเลือกใช้เราแตกต่างกัน เลือกให้เราทำงานแตกต่างกันตามของประทาน

วว.7:10-12         คนเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า "ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเราผู้ประทับบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับพระเมษโปดก" และทูตสวรรค์ทั้งปวงที่ยืนรอบพระที่นั่ง รอบผู้อาวุโส และรอบสัตว์ทั้งสี่นั้น ก้มลงกราบหน้าพระที่นั่ง และนมัสการพระเจ้า และกล่าวว่า "อาเมนความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน"
“ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้า” จุดศูนย์รวมอยู่ที่พระเจ้าเท่านั้น
ตรงกับการรวมตัวกันเพื่อประกาศพระบารมีของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -25-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

วว.7:13-14         แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้นถามข้าพเจ้าว่า "คนที่สวมเสื้อสีขาวเหล่านี้คือใครและมาจากไหน" ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว" ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า "คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด
“คนที่สวมเสื้อผ้าสีขาว คนที่ได้ชำระล้างเสื้อผ้าของตนจนขาวสะอาด”
ตรงกับการมารวมตัวกันในความสว่าง
กลุ่มชนที่พระเจ้าเรียก หรือคริสตจักรในพระดำริ ต้องสวมเสื้อสีขาว
อันหมายถึง สวมความรู้สึกสีขาว สวมทัศนคติสีขาว และดำเนินชีวิตอย่างสีขาว
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งขาวเท่านั้น แต่ขาวทุกคน สว่างทุกคน สะอาดทุกคน

วว.7:15-17         เพราะเหตุนั้นเขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงสถิตด้วย และปกป้องคุ้มครองเขา พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย แสงแดดและความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป เพราะว่าพระเมษโปดก ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น"
พระวจนะตอนนี้ เป็นภาพรวมของอาณาจักรพระเจ้า คริสตจักรในพระดำริที่สวยงามที่สุด
“ปรนนิบัติพระองค์ในวิหาร” คือ ร่วมกันรับใช้พระเจ้า
พระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา พระเจ้าปกป้องคุ้มครองเรา พระเจ้าดูแลเรา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาให้เรา
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รวมเรา สิ่งที่ยึดกลุ่มชนของพระเจ้า คือ ประสบการณ์ของเราทุกคนที่มีต่อพระเจ้า

ข. พระเจ้าทรงเรียกเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
อฟ.1:4-6            ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักก่อนตามที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เป็นบุตรโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อจะให้เป็นที่สรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งทรงโปรดประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์    
ก่อนหน้าที่พระเจ้าจะทรงสร้างโลก ชีวิตของเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
พระองค์ได้ทรงกำหนดเราไว้แล้วด้วยความรัก
ในบรรดากลุ่มชน ฝูงชนที่พร่ะเจ้าทรงเรียก ... เราเป็นหนึ่งในนั้น

พระเจ้าทรงเรียกเรามาเพื่อรักษาและสร้างชีวิตของเรา
ทางพระเจ้าแตกต่างจากศาสนาอื่น ที่มีแต่คำว่า “จง” หรือ “อย่า”
“ศาสนา” เป็นเหมือนคนไปเยี่ยมคนป่วย เป็นความปรารถนาดี เอาของดีๆ ไปเยี่ยมคนไข้
และบอกให้เขาทานให้มากๆ ... คนป่วยอยากทานอยู่แล้ว แต่เพราะความป่วยจึงทำให้ทานมากไม่ได้
มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะทำดีอยู่แล้ว แต่ทำไม่ได้เพราะมนุษย์จำกัด



คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -26-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ในขณะที่ “พระเจ้า” เป็นเหมือนแพทย์รักษาคนป่วย
พระองค์ทรงรักษาความป่วยของเราก่อน เมื่อเราหายป่วยไม่ต้องมีใครมาบอกให้ทานมากๆ เราทานได้เอง
ดังนั้น ทุกคนที่พระเจ้าทรงเรียก พระเจ้าทรงปักป้ายไว้ในชีวิตของเรา
ว่า “ขออภัยในความไม่สะดวก กำลังปรับปรุงชีวิต”
พระเจ้าสร้างเราไม่ใช่วันเดียว แต่ใช้เวลาสร้างทั้งชีวิต ตราบที่ยังเชื่อก็เป็นคนของพระเจ้า
เพื่อชีวิตของเราจะได้ประกาศพระบารมีของพระเจ้าได้มากขึ้น

ค. ในการทรงเรียกของพระเจ้านั้น พระเจ้าเรียกจากเล็กๆ ให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
1คร.1:26-29       ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูงแต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอายพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญเพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้
ในการเรียกของพระเจ้านั้น น้อยคนที่จะมีปัญญาสูง หรือมีอำนาจมาก
แต่พระเจ้าเรียกคนธรรมดาสามัญให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์
พระเจ้าเลือกคนจำนวนน้อย ให้ขยายเผ่าพันธุ์ของพระเจ้า

มก.3:13-19        แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพอพระทัยจะเรียกผู้ใดพระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศและให้มีอำนาจขับผีออกได้และซีโมนนั้นพระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่า เปโตรและยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องของยากอบ ทั้งสองคนนี้พระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้องอันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมน พรรคชาตินิยมและยูดาสอิสคาริโอท ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้นพระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเรือน
ดูตัวอย่างจากการเลือกอัครทูตรุ่นแรก ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงและการศึกษาน้อย
แต่พวกเขาสามารถกลายเป็นคนที่คว่ำโลกได้ นี่แหละ การเรียกของพระเจ้า

ง. พระเจ้าเรียกเราจากการเร่ร่อนฝ่ายวิญญาณ มาเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า
อฟ.2:11-22        เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัตจงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้าแต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลงคือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุขและเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไปและพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -27-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกันเหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้าท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
เมื่อก่อนเราไม่มีความหวัง เราไหว้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า และเป็นพวกเร่ร่อนฝ่ายวิญญาณ
แต่พระเจ้าทรงเรียกเราให้มาเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า
พระเจ้าเรียกเราจากไม่เชื่อ ให้เชื่อ เรียกเราจากไม่มีความหวัง ให้มีความหวัง
พระเจ้าเรียกเราจากคนที่ไม่รัก ให้กลายเป็นคนที่รักพระเจ้าและรักผู้อื่นได้
กลุ่มชนทั้งหมดไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ถือเป็นกายเดียวกัน เป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า
เรื่องนี้สังเกตได้จาก เมื่อเรามีโอกาสพบคริสเตียนคนอื่น แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่ความรู้สึกของเราก็เหมือนกับเป็นพี่น้องที่รู้จักกันมานาน
นั่นเพราะ “ในพระเจ้า ... โดยพระเจ้า” พระองค์ทรงทำให้ข้อต่อทั้งหมดต่อกันอย่างสนิท

จ. พระเจ้าทรงเรียกทุกคน ทรงรักทุกคนและทรงหวงแหนทุกคน
เมื่อพระเจ้าทรงเรียก พระเจ้าก็ทรงรัก เมื่อพระเจ้าทรงเลือก พระเจ้าก็จะรับผิดชอบ
วว.1:11-13         ตรัสว่า “สิ่งซึ่งท่านได้เห็นจงเขียนไว้ในหนังสือม้วน และฝากไปให้คริสตจักรทั้งเจ็ด คือคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส เมืองสเมอร์นา เมืองเปอร์กามัม เมืองธิยาทิรา เมืองซาร์ดิส เมืองฟีลาเดลเฟียและเมืองเลาดีเซีย" ข้าพเจ้าจึงเหลียวมาทางพระสุรเสียงที่ตรัสแก่ข้าพเจ้านั้น ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคันและในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนกับบุตรมนุษย์ ...
“คริสตจักรทั้งเจ็ด” และ “คันประทีปทองคำเจ็ดคัน” เล็งถึง คริสตจักรในโลก
“ทองคำ” เป็นสิ่งมีค่าสำหรับมนุษย์ฉันใด ... “คริสตจักร” ก็เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพระเจ้าฉันนั้น

วว.1:16             พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีพระแสงสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์ดุจดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงกล้า
“ดวงดาวเจ็ดดวง” เป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักร
พระเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางคันประทีป และพระองค์ทรงถือดวงดาว
หมายถึง พระเจ้าทรงรักและเห็นคุณค่าของคริสตจักร และพระองค์เองทรงอยู่ท่ามกลางคริสตจักรนั้น
ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรของพระเจ้า หรืออาณาจักรของพระเจ้าจึงไม่มีวันเสื่อม
และไม่มีผู้ใดล้มคริตจักรของพระเจ้าได้เลย

ลก.20:9-18        คำอุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า
โลกใบนี้ คือ สวนองุ่นของพระเจ้า พระเจ้า คือ เจ้าของสวน
คนเช่า คือ ชนชาติยิว, บุตรเจ้าของสวน คือ พระเยซูคริสต์


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -28-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ความเดิมแผนการของพระเจ้าทั้งหมดมอบให้กับชนชาติยิวเท่านั้น
แต่เมื่อพวกยิวปฏิเสธพระองค์ พระเจ้าจึงเปลี่ยนแผนการให้ชาวต่างชาติ คือ ทุกชนชาติในโลก
มาเป็นคริสตจักรของพระองค์

ลก.20:17-18       ฝ่ายพระองค์ทรงเพ่งดูเขาและตรัสว่า "เหตุฉะนั้นพระวจนะซึ่งเขียนไว้นั้น หมายความอย่างไรกัน ซึ่งว่า ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ยังได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว ผู้ใดล้มทับศิลานั้น ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ศิลานั้นจะตกทับผู้ใดผู้นั้นจะแหลกละเอียดไป
แม้พวกยิว จะทอดทิ้งและปฏิเสธพระเยซู แต่พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระเจ้า
และพระองค์ทรงรักคริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยโลหิต
กจ.20:28           ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้ปกครองคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
พ่อแม่รักลูกฉันใด พระเจ้ารักคริสตจักรฉันนั้น
ดังนั้น พระเจ้าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายหรือทำลายคริสตจักรของพระองค์

“ศิลา” คือ คริสตจักร ... ผู้ใดทำลายคริสตจักร พระเจ้าจะทำลายผู้นั้น
เปาโล เคยข่มเหงคริสตจักร แต่ก็ต้องล้มลง เพราะพระเจ้าไม่ยอมให้ใครทำลายคริสตจักรของพระองค์
กจ.9:4-5            เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม" เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง”

ไม่มีสถาบันใดที่ต่อต้านพระเจ้าแล้วจะไม่แหลกละเอียด
อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ การเมือง
แต่ทั้งอาณาจักรโรมและคอมมิวนิสต์ที่เคยข่มเหงคริสตจักรและคริสเตียน
เวลานี้ทั้งสองอาณาจักรล่มสลายไปแล้ว ... เพราะข่มเหงคริสตจักร เท่ากับข่มเหงพระเจ้า
ดังนั้น อย่าทำลายหรือให้ร้ายคริสตจักรใด เพราะพระเจ้าทรงรักคริสตจักรของพระองค์
ทำลายคริสตจักร ก็เท่ากับต่อสู้กับพระเจ้า

No comments:

Post a Comment