Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 3

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -16-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 3

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 3 ว่าด้วยเรื่อง “คริสตจักรของพระเจ้า” (ต่อ)
1. คริสตจักรของพระเจ้า มีความสำคัญอย่างไร?
2. คริสตจักรของพระเจ้า มีเพียงคริสตจักรเดียว
3. ผู้สร้าง เจ้าของและผู้ที่ใหญ่ที่สุดในคริสตจักร คือ พระเยซูคริสต์
(สอนไปแล้วในตอนที่ 2)

4. พระเจ้ามอบภารกิจทั้งหมดของพระองค์ให้คริสตจักรทำแทน
มธ.16:18-19       ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้ เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย"
พระเจ้าทรงมอบกุญแจสวรรค์ให้กับคริสตจักร
การเผยแพร่ข่าวประเสริฐ และการขยายอาณาจักรของพระเจ้าจะเกิดผล ถ้าไม่ได้รับกุญแจจากสวรรค์
“กุญแจสวรรค์” คือ สิทธิอำนาจจากสวรรค์ให้ใช้อำนาจของพระเจ้าแทนพระองค์
คริสตจักร เป็นพระกายของพระคริสต์
พระเจ้ามอบอำนาจให้ผู้เชื่อและกลุ่มชนของพระเจ้ากระทำพันธกิจแทนพระองค์
คริสตจักรกล่าวห้ามสิ่งใด สิ่งนั้นถูกกล่าวห้ามในสวรรค์
คริสตจักรกล่าวอนุญาตสิ่งใด สิ่งนั้นถูกกล่าวอนุญาตในสวรรค์
กล่าวให้เข้าใจง่าย คือ คริสตจักรทำหน้าที่เหมือนสถานทูตของแต่ละประเทศนั่นเอง
สามารถอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คนเข้าประเทศได้

ภารกิจที่พระเจ้ามอบให้คริสตจักรทำแทน คือ
4.1 ภารกิจจาก กจ.26:18
กจ.26:18           เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขา และให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยความเชื่อในเรา

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -17-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ก. คริสตจักรมีหน้าที่เบิกตาคน
ประกาศข่าวประเสริฐ คือ การประกาศพระราชโองการของพระเจ้า
เมื่อเราประกาศออกไป เมื่อคนได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ ... “ตา” ของเขาจะถูก “เบิก”
แม้ยังไม่เชื่อทันที แต่จะเกิดความสงสัยและอยากพิสูจน์ความจริงของพระเจ้า
“เบิกตา” คือ เบิกความเข้าใจ เบิกปัญญา เบิกความจริงให้เขารู้
เมื่อตาถูกเบิก เราจะเข้าใจ เชื่อและวางใจในพระเจ้า ... มั่นใจ ภูมิใจและเต็มใจเดินตามพระองค์
คริสตจักรมีหน้าที่ต้องเบิกตาคนทุกระดับ และจะเบิกได้ต้องพูดความจริงด้วยความรัก
นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป เป็นไปได้สำหรับคนของพระเจ้า

ข. คริสตจักรมีหน้าที่นำคนออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างของพระเจ้า
“ตื่นแล้ว แต่ยังนอนอยู่บนเตียง” กับ “ตื่นแล้ว และลุกออกจากเตียง” ต่างกัน
การเบิกตา คือ ทำให้เขาตื่น แต่การนำออกจากความมืด คือ การนำให้เขาลุกออกจากเตียง
คริสตจักรมีหน้าที่ต้องนำคนออกจากความมืด ... คิดผิด หลงผิด เชื่อผิด และความบาปทุกชนิด เป็นความมืด
แต่ทางของพระเจ้า คือ ความสว่าง
เราต้องตระหนักว่า “แก่นสารของชีวิต ไม่ใช่การเติมเต็มด้านวัตถุ แต่เป็นการเติมเต็มด้านจิตวิญญาณ”
โลกทุกวันนี้ทุกข์ เพราะเอาวัตถุมาก่อนคุณธรรม ...
เมืองสว่างไสวด้วยแสงจากไฟฟ้า แต่ใจของคนในเมืองกลับมืดมิดด้านคุณธรรม
คริสตจักรมีหน้าที่ต้องช่วยโลก ต้องเป็นคำตอบของโลกด้านคุณธรรมและจิตวิญญาณ

ค. คริสตจักรมีหน้าที่นำคนออกจากอำนาจมารมาถึงอำนาจพระเจ้า
อำนาจของผีมารซาตานมีจริง เจ้ากรรมนายเวรมีจริง บาปบุญคุณโทษมีจริง
1ยน.5:19           เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย
เป็นหน้าที่ของคริสตจักรที่จะต้องนำคนออกมาจากอำนาจของมารซาตาน

ง. คริสตจักรมีหน้าที่ประกาศการยกโทษความบาปผิดของคน
พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถยกโทษบาปผิดให้กับมนุษย์ ในขณะที่ศาสนาหรือศาสดาใดๆ ไม่สามารถยกได้
ไม่มีมนุษย์คนใดอยากรับโทษความผิดบาปของตัวเอง
พระเจ้าจึงมอบพันธกิจให้คริสตจักรประกาศข่าวประเสริฐ
การยกโทษบาปผิดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รับผิดตามกฎหมาย
แต่หมายถึง เราไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องรับเวรกรรม

จ. คริสตจักรมีหน้าที่ชำระคนให้ชอบธรรม
พระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาทำลายคำสอนของศาสนาใด แต่มาทำให้สมบูรณ์
มธ.5:18             อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -18-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สมบูรณ์ทุกประการ
คนที่มีพระเยซูคริสต์ จะเป็นศาสนิกชนที่ดีของศาสนา
เราจะทำดีได้มากขึ้น ชอบธรรมมากขึ้น สะอาดมากขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น

4.2 ภารกิจจาก มธ.28:19-20
มธ.28:19-20       เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค
พันธกิจของคริสตจักรนั้น ไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐ นำคนมาถึงพระเจ้าเท่านั้น
แต่นำมาแล้ว ต้องสั่งสอนให้เป็นสาวกของพระเจ้าด้วย
รากศัพท์ของคำว่า “สาวก” มาจากคำว่า “วินัย”
คริสตจักร ต้องสอนคนของพระเจ้าให้มีวินัย ให้เป็นคนที่มีชีวิตที่สมดุล
โดยสอนจากพระคัมภีร์ทุกข้อ ทุกจุด ทุกตอน ทุกมิติ
ชีวิตที่สมดุล คือ เป็นชีวิตที่มีอิสรภาพ และมีความรับผิดชอบ
“อิสรภาพ” ที่ปราศจาก “ความรับผิดชอบ” คือ คนบ้า
แต่ความรับผิดชอบที่ไม่มีอิสระ คือ การเป็นทาสและเป็นหุ่นยนต์

4.3 ภารกิจจาก มก.16:15, มธ.24:14
มก.16:15           ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
มธ.24:14           ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
ภารกิจของเรา คือ การประกาศ และเป็นพยานกับทุกคน ทุกประชาชาติ ทั่วโลก
คำพูดของคุณไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ กล่าวว่า “ถ้ารักชาติ เราต้องรักประชาชาติ และรักมนุษยชาติ”
พระเจ้าทรงรักและเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกคน เราต้องเห็นคุณค่าของทุกคนเช่นกัน

วว.7:9               ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และ ดูเถิด คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก
วว.7:13-14         แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้นถามข้าพเจ้าว่า "คนที่สวมเสื้อสีขาวเหล่านี้คือใครและมาจากไหน" ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว" ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า "คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด
ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า มีชนทุกชาติ และคนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว
ในปัจจุบันมีการแบ่งเป็นสีต่างๆ แต่ถ้ามีใครถามว่าลูกพระเจ้าสีอะไร เราต้องตอบว่า สีขาว
สีขาว หมายถึง ทุกสีมารวมกัน ทุกคนมารวมกัน ...


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -19-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

คนที่จะสวมเสื้อสีขาวได้ต้องชำระชีวิต
คือ ชำระความคิด ชำระทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง คิดอย่างโลก คิดอย่างคน
เปลี่ยนมาเป็นคิดอย่างพระเจ้า คิดอย่างพระคัมภีร์จนชีวิตขาวสะอาดอย่างพระองค์
ลูกพระเจ้า เป็นชาวสวรรค์ เราต้องนำโลก ไม่ใช่ให้โลกนำเรา

ในข้อที่ 14-15 กล่าวว่าคนเหล่านั้นมาจากคนที่รอดจากทุกขเวทนาครั้งใหญ่
สอนเราว่า ในยุคสุดท้ายนี้ ไม่ว่าใครจะล้มหายตายจากเพราะความทุกขเวทนา
แต่คนของพระเจ้าจะรอด จะพ้น เพราะพระเจ้าจะทรงปกป้องเรา
เราทุกคนต้องตาย แต่สำคัญกว่าการตาย คือ ตายแล้วจะไปไหน?
แน่นอนว่าผู้เชื่อทุกคนตายไปก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
แต่ก่อนตาย เราควรใช้ชีวิตให้คนเห็นสวรรค์ในตัวเราด้วย

5. พันธกิจหลักของคริสตจักร
พันธกิจของคริสตจักรร่วมนิมิต เน้นรายละเอียดของการรับใช้ 3 มิติ ซึ่งมั่นใจว่าเป็นคำสอนอันมีหลัก ดังนี้
5.1 การรับใช้มิติที่ 1 คือ 5 พันธกิจ
5 พันธกิจหลักของคริสตจักร คือ (1) เลี้ยง (2) สร้าง (3) นำ (4) ปกป้อง (5) ปกครอง
คริสตจักรมีหน้าที่เลี้ยงดูคนด้วยธัมมะ ด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ถ้าเราเลี้ยงผู้เชื่อไม่ได้ เราก็สร้าง และนำเขาไม่ได้ เมื่อนำเขาไม่ได้ก็ไม่สามารถปกป้องและปกครองเขาได้เช่นกัน
คริสตจักรทุกแห่งเป็นของพระเจ้าก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคริสตจักรจะสามารถทำใน 5 พันธกิจนี้ได้
แต่คริสตจักรใดที่ทำได้ ก็ถือว่าคริสตจักรนั้นได้ทำหน้าที่ถวายพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

(1) เลี้ยง
ยน.21:15-17      เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด" พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด" พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า ถ้ารักพระเจ้า ก็ต้องเลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์
เราต้องมีความละเอียดในการดูแลมนุษย์
การเทศนา สั่งสอน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดูเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด
เราทุกคนจะเติบโตในทางของพระเจ้าได้ ต้องมีอาหารประจำวัน
ต้องมีการเลี้ยงดูประจำวัน ต้องมีพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ เลี้ยงด้วยพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -20-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

(2) สร้าง
คส.1:24-25        บัดนี้ข้าพเจ้าปลื้มปีติในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า เพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์ คือคริสตจักรข้าพเจ้าได้มาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร ตามที่พระเจ้าได้ทรงโปรดมอบภาระให้ข้าพเจ้าเพื่อท่าน เพื่อจะได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
การสร้างคนไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำสำเร็จก็เกิดความปลาบปลื้ม
คริสตจักร มีหน้าที่สร้างคนให้มีคุณธรรม ให้การศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
และสร้างคนให้อาสาทำประโยชน์ให้กับสังคม ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม

คส.1:28-29        พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์ เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่
เพราะพระเจ้า ... ทำให้เราประกาศ ทำให้เราสอน ทำให้เราสร้างคน
พระเจ้าย้ำให้เราสร้างทุกคน ไม่ใช่บางคน และสร้างผ่านการเตือนสติและสั่งสอน
เป้าหมายของการสร้าง คือ ถวายเขาให้เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์
คือ เป็นผู้มีวุฒิภาวะทางธัมมะ ทางจิตวิญญาณ ทางปัญญา
สังคมทุกวันนี้ที่วุ่นวาย ก็เพราะวุฒิภาวะของคนต่ำมาก
คริสเตียนต้องทำให้สังคมน่าอยู่ โดยสร้างคนที่เป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้น

(3) นำ
เป็นผู้นำ ต้องมีการนำ ... ทุกสังคมจะเกิดผล ถ้ามีผู้นำที่เข้มแข็ง
การนำ คือ การก้าวหน้า ... การมุ่งไปข้างหน้า จะทำให้เราลืมความหลังได้
วัยวุฒิ ไม่ได้วัดที่วัย แต่วัดที่ความเข้าใจชีวิต                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    
ยน.10:1-4          เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ นายประตูจึงเปิดประตูให้ผู้นั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่าน ออกไปหมดแล้ว ก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน
ภารกิจหลักของผู้นำ คือ นำหน้า และเดินนำแกะ
ผู้นำ ต้อง “ทำ” และ “เป็น” มากกว่าผู้ตาม ... อยากให้ผู้ตามเป็นอย่างไร ผู้นำต้องทำมากกว่านั้นหลายเท่า

(4) ปกป้อง
กจ.20:29-32       ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปแล้วจะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาในหมู่พวกท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย จะมีบางคนในหมู่พวกท่านเองกล่าวผันแปรความจริง เพื่อจะชักชวนพวกสาวกให้หลงตามเขาไป เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่ และจำไว้ว่าข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปี


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -21-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

มิได้หยุดหย่อนบัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้าและกับคำแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งมีฤทธิ์อาจก่อสร้างท่านขึ้นได้
และให้ท่านมีมรดกด้วยกันกับบรรดาวิสุทธชน
คริสตจักรจำเป็นต้องมี “การปกป้อง” เพราะมารซาตานจะกระทำงานของมันตลอดเวลา ในการผันแปรความจริง
ถ้าไม่มีการปกป้องสมาชิก บางครั้งเขาอาจจะคิดผิด หลงผิด เชื่อผิด และกระทำความผิดได้
การปกป้อง จึงเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญของคริสตจักร

(5) ปกครอง
กจ.20:28           ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้ปกครองคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
คนที่สามารถ “ปกป้อง” เราได้ เราจะยอมให้เขา “ปกครอง” เรา
ถ้าคริสตจักรมีการเลี้ยง มีการสร้าง มีการนำ มีการปกป้อง สมาชิกก็จะยอมให้เราปกครองด้วย
“การปกครอง” ไม่ใช่ “การควบคุม” เพราะคนไม่ใช่นักโทษ หรือทาส
แต่การปกครอง คือ การปกคลุมฝ่ายวิญญาณ
ที่ไหนอบอุ่น ที่ไหนร่มเย็น ใครๆ ก็อยากอยู่ แต่จะอบอุ่นและร่มเย็นได้ บางครั้งก็ต้องอาศัยระเบียบวินัย
คนเราจะเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง ต้องมีทั้ง “ไม้เรียว” และ “ไม้รัก”
ทางของพระเจ้าจึงมีคำว่า “ตีสอน” ... ก่อนตีต้องสอน และสอนแล้วอาจจะมีการตี
แต่พื้นฐานทั้งหมดอยู่ที่ความรักและความหวังดี

5.2 การรับใช้มิติที่ 2 คือ 5 สถานภาพ
ผลของการกระทำ 5 พันธกิจ คือ เลี้ยง สร้าง นำ ปกป้องและปกครองอย่างต่อเนื่อง
จะก่อให้เกิดการรับใช้มิติที่ 2 คือ 5 สถานภาพ
(1) ผู้เชื่อ จะเป็น “ลูก” ที่ดีของพระเจ้า
(2) ผู้เชื่อ จะเป็น “ทายาท” ที่สง่างามของพระองค์
(3) ผู้เชื่อ จะเป็น “เจ้าสาว” ที่งามและเหมาะสมกับเจ้าบ่าว คือ พระคริสต์
(4) ผู้เชื่อ จะเป็น “พระกาย” ที่ทำงานแทนพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
มือของเรา จะเป็นพระหัตถ์ของพระเจ้า ปากของเรา จะเป็นพระโอษฐ์ของพระองค์
(5) ผู้เชื่อ จะเป็น “สหาย” ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระเจ้า

เส้นทางในการเข้าสู่ 5 สถานภาพนี้ แม้จะต้องเดินทางไกล แต่ถ้าเราตั้งใจเดินทุกวัน ก็ย่อมมีวันถึง
เมื่อก่อนเราเป็นเด็ก เราก็คิดและทำอย่างเด็ก
แต่เมื่อกาลเวลาผ่าน เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็เลิกอาการอย่างเด็ก ไม่ต้องมีใครมาบอก แต่เป็นธรรมชาติชีวิต
เราต้องตั้งใจทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อวันพรุ่งนี้จะดูแลวันพรุ่งนี้เอง
การกระทำอย่างดีที่สุดในวันต่อวัน จะมีผลต่อชีวิตของเรา
งานที่เราทำทุกวันอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ผลงานจะยิ่งใหญ่ นำความภาคภูมิใจสู่ตัวเราเอง
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -22-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

พันธกิจในการสร้างคน แม้ยากลำบาก และต้องใช้ความอดทน แต่ปลายทางคือศักดิ์ศรีและเกียรติยศของชีวิต
5 พันธกิจที่เราทำอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ 5 สถานภาพเกิดในตัวผู้เชื่อทุกคน

5.3 การรับใช้มิติที่ 3 คือ 5 ผูกพัน
การที่ผู้เชื่อจะเติบโตอย่างเข้มแข็ง และเกิดผลอย่างถาวรนั้น
นอกจากต้องมี 5 พันธกิจ และ 5 สถานภาพแล้ว
การรับใช้มิติที่ 3 ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน คือ 5 ผูกพัน
(1) ผูกพันกับพระเจ้า
สดด.91:14         เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
พระเจ้าต้องสามารถพูดกับเราได้ว่า เราเป็นคนที่ผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรัก
ก่อนเชื่อไม่สำคัญว่าชีวิตของเราจะผูกพันกับอะไร เช่น ทรัพย์ เกียรติ ชื่อเสียง
แต่เมื่อมาเชื่อในพระเจ้า เราต้องเปลี่ยนหลักผูกชีวิต คือ มาผูกพันอยู่กับพระเจ้า
การทำ 5 พันธกิจนั่นแหละ จะส่งผลให้ผู้เชื่อผูกพันกับพระเจ้า
และในขบวนการ 5 ผูกพันนั้น ต้องเริ่มต้นจากการผูกพันกับพระเจ้า
ถ้าการผูกพันกับพระเจ้าเราไม่ผ่าน ก็ยากที่จะผูกพันกับสิ่งอื่นๆ

(2) ผูกพันกับคริสตจักร
ทุกคนมีครอบครัว ทุกคนมีประเทศของตัวเอง
การผูกพันกับคริสตจักรก็เช่นเดียวกัน ถือเป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเรา

(3) ผูกพันกับผู้นำ
ผู้นำ ถือเป็นหัวหน้าครอบครัวฝ่ายวิญญาณ คือเป็นพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณของเรา
เราผูกพันตัวและเคารพผู้นำครอบครัวฝ่ายร่างกายอย่างไร ครอบครัวฝ่ายวิญญาณก็เป็นอย่างนั้น

(4) ผูกพันกับพี่น้อง
เมื่อเรามีพระบิดาองค์เดียวกัน ผู้เชื่อทุกคนก็ถือเป็นพี่น้องของเรา
การผูกพันตัวกับพี่น้องในคริสตจักร จึงถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตคริสเตียน

(5) ผูกพันกับงานรับใช้
ความรัก ความผูกพันเป็นเรื่องที่บังคับหรือห้ามกันไม่ได้ แต่หน้าที่ของคริสตจักร คือ ต้องส่งเสริมความเชื่อนั้น
2คร.1:24            เราไม่ใช่เป็นนายบังคับความเชื่อของพวกท่าน แต่ว่าเราเป็นผู้อุปการะ เพื่อท่านจะรับความชื่นชมยินดี เพราะท่านตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อแล้ว
การรับใช้ทั้ง 3 มิติ จะช่วยให้ผู้เชื่อมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น
เมื่อผู้เชื่อเข้มแข็ง คริสตจักรของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าจึงเข้มแข็งด้วย

No comments:

Post a Comment