Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 6

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -37-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 6

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 6 ว่าด้วยเรื่อง “คริสตจักรของพระเจ้า” (ต่อ)
1. คริสตจักรของพระเจ้า มีความสำคัญอย่างไร?
2. คริสตจักรของพระเจ้า มีเพียงคริสตจักรเดียว
3. ผู้สร้าง เจ้าของและผู้ที่ใหญ่ที่สุดในคริสตจักร คือ พระเยซูคริสต์
4. พระเจ้ามอบภารกิจทั้งหมดของพระองค์ให้คริสตจักรทำแทน
5. พันธกิจหลักของคริสตจักร
6. คริสตจักรในพระดำริ มีลักษณะอย่างไร
6.1 เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียก
6.2 เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกให้ออกมาจากความมืด
(สอนไปแล้วในตอนที่ 2-5)

6.3 เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มารวมตัวกันในความสว่าง
1ปต.2:9             แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
คริสตจักรในพระดำริ เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มารวมตัวกันในความสว่าง
ความสว่างอันมหัศจรรย์ เป็นสาระสำคัญของคริสตจักรในพระดำริ
คริสเตียน เป็นความสว่างของพระเจ้า เป็นพระฉายของพระเจ้า
เราจะต้องระวังไม่ให้ใครร้อง ยี้ เมื่อเห็นเรา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว คำพูด หรือการแสดงความคิดเห็น

พระวจนะเกี่ยวกับความสว่าง
กจ.26:18           เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขาและให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยความเชื่อในเรา
มธ.5:14-16        ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบได้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับ
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -38-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
ฟป.2:15                        เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็นบุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฎในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลก
คริสเตียน เป็นความสว่างของโลก คือ อยู่ที่ไหนของโลก อยู่กับใครในโลก ก็ส่องสว่าง

ความสว่าง หมายถึง
ก. การเป็นผู้มีปัญญา
(1) ปัญญา อันดับแรกมาจากพระเจ้า
สภษ.8:10-12      จงรับคำสั่งสอนของเราแทนเงิน และความรู้แทนทองคำอย่างดี เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้ เราคือปัญญา อยู่ในความหยั่งรู้และเราพบความรู้และความเฉลียวฉลาด
ปัญญาที่มาจากพระเจ้า ดีกว่าอัญมณีของทั้งโลกมารวมกัน
ทั้งยิวฝ่ายวิญญาณ (คริสเตียน) และยิวฝ่ายเนื้อหนัง เป็นผู้ที่เจริญก้าวหน้าและกุมอำนาจของทั้งโลก
นั่นก็เพราะพวกเขามีสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ปัญญาของโลก

ปัญญาจากพระเจ้า แตกต่างจาก ปัญญาจากโลก
ยก.3:13-18        ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่างๆ แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

(2) การมีความรู้และการศึกษา ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าจะเป็นคนมีปัญญา
เราเคารพคนมีการศึกษา เคารพคนมียศถาบรรดาศักดิ์
รม.13:7             ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ...ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ
แต่เราเข้าใจความจริงว่า แม้เรียนสูง หรือตำแหน่งสูง ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเขาจะมีปัญญาสูงไปด้วย
ถ้าจะสังเกตกันให้ดี สังคมวุ่นวายก็เพราะคนที่มีความรู้สูงและตำแหน่งสูงนี่แหละ ไม่ใช่คนธรรมดา
เช่น ฮิตเลอร์ ผู้นำที่ทำความเดือดร้อนให้ทั้งโลก

(3) รายละเอียดของปัญญา
(3.1) ผู้มีปัญญา คือ ผู้มีองค์ความรู้
มีความรู้บางอย่าง ไม่ถือว่าเป็นองค์ความรู้
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -39-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

องค์ความรู้ คือ รู้อย่างหลากหลาย ไม่ได้หมายถึง ด้านไอคิว (I.Q) เท่านั้น แต่รวมถึงอีคิว (E.Q) ด้วย

(3.1.1) จะมีองค์ความรู้ได้ ต้องเป็นผู้เรียนรู้ ต้องรักในการเรียน เพื่อจะมีความรู้
การเรียนรู้ เพื่อรู้ คือ รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวตั้งแต่เกิดจนตาย และใช้มันในการดำเนินชีวิต

(3.1.2) ผู้เรียนรู้ จะกล้าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการเรียนรู้
เพื่อเข้าใจ เข้าถึงความหมายของบางสิ่งได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เช่น เป็นคนช่างสังเกต แต่ไม่ได้เป็นการจับผิด
ชอบพิจารณา ใคร่ครวญ หาเหตุและผลในเรื่องต่างๆ

(3.1.3) องค์ความรู้ และความรู้ที่เรามี สามารถแบ่งเป็นระดับได้ดังนี้
A. ความรู้ที่เกิดจากความจำ
เป็นความรู้ที่เป็นจำเป็น แต่เป็นระดับล่าง เหมือนอิฐก้อนแรก
รู้ได้จากสิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัส สิ่งที่ท่องจำ ... แต่จำได้ ไม่ได้หมายถึง เข้าใจ

B. ความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจ
เป็นระดับความรู้ที่สูงขึ้นมาอีกขั้น แม้ท่องจำไม่ได้ แต่มีความเข้าใจ
รู้ได้จากสิ่งที่อ่าน สิ่งที่ฟัง สิ่งที่ดู สิ่งที่สัมผัส แล้วก่อให้เกิดความเข้าใจ
ยน.6:63             ...ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
ถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เป็นจิตวิญญาณ เป็นชีวิต
แต่หลายคนทำได้เพียงแค่ท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ
แต่ถ้าเราเข้าใจ ถ้อยคำเหล่านั้น จะเกิดเป็นชีวิตใหม่ในตัวเรา

C. ความรู้ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้
นำเรื่องราวต่างๆ ที่รู้ มาแยกแยะ และเลือกใช้อย่างถูกต้อง
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะรู้มาก แต่ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้

D. ความรู้ที่สามารถวิเคราะห์ได้
วิเคราะห์ คือ ความสามารถในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มา
รู้ถึงที่มา ที่ไปของปัญหา รู้ถึงเหตุและผลของสิ่งต่างๆ

E. ความรู้ที่สามารถสังเคราะห์ได้
สังเคราะห์ คือ สามารถนำส่วนต่างๆ ที่เรียนรู้ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่
คนเราต้องเริ่มจากการ ลอกแบบ พัฒนาไปเป็น เลียนแบบ
แล้วในที่สุด เราจะค่อยๆ กลายเป็น ต้นแบบ ด้วยตัวเอง
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -40-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

F. ความรู้ที่สามารถประเมินค่าได้
การประเมินค่า ทำให้สิ่งที่เราทำมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
เมื่อมีการประเมิน เราจึงไม่ประมาท ... การขอความเห็นจากผู้ชำนาญในแต่ละสายจึงสำคัญมาก
ทำให้เรารู้ข้อบกพร่อง และรู้ว่าอะไรที่เราควรจะแก้ไขให้มันดีขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น

(3.2) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างมีเหตุผล
(3.3) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่ผู้ยึดมั่นในหลักการ
(3.4) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
(3.5) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่คิดเป็น ทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
(3.6) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่ใช้ชีวิต ได้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา
เป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมนุษย์
หลักการ คือ อย่าให้คำแนะนำกับคนดื้อ หรือคนโง่ เพราะถูกที่ ไม่ถูกคน ไม่ถูกเวลา
เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก บางครั้งถึงขั้นเสียเพื่อนด้วย
(3.7) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่มีความสามารถ มีความรู้ มีประสบการณ์ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
(3.8) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่มีความสำเร็จ ทั้ง 7 ส.
คือ สำเร็จ สุข สงบ สะอาด สว่าง สาระ และสร้างสรรค์
(รายละเอียดของผู้มีปัญญา ตั้งแต่ข้อ (3.2) (3.8) หาอ่านได้ในหนังสือ ผู้เป็นเสาหลักของคริสตจักร)

(3.9) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่มีดวงตาแหลมคม สามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ ได้
ไม่ว่าจะเป็นปัญหา อุปสรรค คุณธรรม หรือพระวจนะของพระเจ้า เขาสามารถมองทะลุได้
สภษ.1:2-6         เพื่อให้บรรลุปัญญาและมีวินัย เข้าใจถ้อยคำแห่งความรอบรู้ รับคำสั่งสอนในเรื่องการกระทำที่ฉลาด ในเรื่องความชอบธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม เพื่อให้ความหยั่งรู้แก่คนเขลา ให้ความรู้และความเฉลียวฉลาดแก่คนหนุ่ม ทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้ และคนที่มีความเข้าใจจะได้ความช่ำชอง เพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและอุปมา ทั้งถ้อยคำของปราชญ์และปริศนาของเขา
ทุกคนมอง แต่น้อยคนเห็น ทุกคนฟัง แต่น้อยคนได้ยิน
แต่คนมีปัญญา มองเมื่อไร เห็นเมื่อนั้น ฟังเมื่อไร ได้ยินเมื่อนั้น
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ตาเรา เสมองเราต้องเปิดอยู่ตลอดเวลา
มธ.5:3               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

(3.10) ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่สามารถใช้ศาสตร์ทุกศาสตร์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ข. การเป็นผู้มีคุณธรรม มุ่งมั่น สู่ความชอบธรรมทั้งสิ้น
ความสว่างที่พระเจ้านำผู้เชื่อมาถึงนั้น ไม่ได้หมายถึง สติปัญญาเท่านั้น
แต่หมายถึง การเป็นผู้มีคุณธรรม และต้องมุ่งมั่นสู่ความชอบธรรมทั้งสิ้นด้วย
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -41-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

มธ.3:15             แต่พระเยซูคริสต์ตอบยอห์นว่า บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งที่ชอบธรรมทุกประการ...
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้
พระองค์สอนว่า สมควรที่เราจะทำสิ่งชอบธรรมทุกประการ
พระองค์ใส่ใจแม้เป็นความชอบธรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องบัพติศมา (เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า)
พระองค์ให้ความสำคัญกับความชอบธรรม และความถูกต้องเสมอ

มธ.23:23           วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย
พระเยซูคริสต์ ย้ำ 3 สิ่งที่สำคัญในชีวิตแห่งความสว่าง คือ ความยุติธรรม ความเชื่อ และความเมตตา
ความสว่างของพระเจ้า เน้นทั้งด้านปัญญา และคุณธรรม ไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

1ปต.4:7 -8         อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะและจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะความความรักลบล้างความผิดมากมายได้
คุณธรรมที่โดดเด่นที่สุด คือ ความรัก และพระเจ้าย้ำให้เรารักกันให้มาก
พระเจ้ามีความรักให้เราเสมอ ให้อภัย ให้โอกาสเราเสมอ
พระเจ้าให้โอกาสเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอ จนกระทั่งใกล้ตาย ...
แต่เราต้องระวังถ้ามัวนับหนึ่งใหม่ตลอดชีวิต ตายไป จะไปเฝ้าพระเจ้าได้แต่ตัว ปราศจากบำเหน็จและพระพร

รม.14:17           เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
แผ่นดินของพระเจ้า คือ แก่นสารของชีวิตคริสเตียน
ไม่ใช่การกิน การดื่ม ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นการมุ่งมั่นในความชอบธรรม
เรามีวัตถุได้ แต่ต้องไม่ทุกข์เพราะวัตถุ เราเหนื่อยเพราะการทำงานได้ แต่ไม่ควรทุกข์เพราะงาน

1ทธ.6:6-12        จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด ส่วนคนเหล่านั้นที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป ด้วยว่าการรักเงินทองนั้น เป็นรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์ แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรมในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จึงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่าน



คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -42-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

รับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
เมื่อเราจากโลกนี้ไป สิ่งที่ต้องถวายรายงานพระเจ้า คือ การใช้สิ่งที่พระเจ้าให้มาอย่างเกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่?
เช่น ความสามารถ ปัญญา เวลา ทรัพย์สินเงินทอง
พระเจ้าประทานให้มาก แต่เราใช้น้อย เราจะรายงานพระเจ้าได้อย่างไร

ค. การเป็นผู้มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณ
1ปต.5:1             เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้ใหญ่ในพวกท่านทั้งหลาย ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และมีส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีอันจะมาปรากฎภายหลัง
คำว่า ผู้ใหญ่ในที่นี้ หมายถึง ผู้ใหญ่ทางวุฒิภาวะ ทางคุณธรรม ทางจิตวิญญาณ ทางความเข้าใจ
วุฒิภาวะด้านนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นตามอายุ แต่เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจและการเรียนรู้ชีวิต
หลายคนมีวัยวุฒิ แต่ขาดคุณวุฒิ เราไม่ดูหมิ่น แต่ไม่ยึดเป็นแบบอย่าง
(เรื่อง ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ อย่างละเอียด สามารถอ่านได้จากหนังสือ ผู้เป็นเสาหลักของคริสตจักร)

ลักษณะผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
(1) เป็นผู้ที่ตั้งใจที่จะเติบโต
อฟ.4:13             จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
มีทรัพย์สินน้อย แต่มีความสุขมาก นี่ก็เป็นแนวคิดของผู้มีวุฒิภาวะ
ดูอย่างท่านมหาตมะ คานธี ไม่มีทรัพย์สินอะไรมาก
แต่เป็นผู้ใหญ่ที่ครองใจคนทั้งอินเดีย รวมถึงคนทั้งโลกด้วย

(2) เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ
เราต้องมีเสรีภาพในการคิด ในการทำ ในการตัดสินใจ
แต่เราต้องรับผิดชอบต่อความคิด การกระทำและการตัดสินใจของเราด้วย
นี่คือ ลักษณะของคนที่มีความรับผิดชอบ

ง. การเป็นผู้ที่สอนได้ พัฒนาไม่รู้สิ้นสุด และมีความสร้างสรรค์เสมอ
มธ.5:3               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
คนที่รู้สึกบกพร่อง จะเป็นคนที่พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาของศาสนจักรทั่วโลก คือ มักจะเน้นด้านคุณธรรม คือ เป็นคนดี
ซึ่งสอนถูกต้อง แต่ถูกเพียงครึ่งเดียว ไม่ครบถ้วน
เพราะอีกด้านที่เราต้องเน้น คือ การพัฒนา
เป็นคนดีไม่พอ ต้องเป็นคนเก่งด้วย แต่เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ก็ต้องดีด้วยเช่นเดียวกัน


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -43-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

หลายคนทำสารพัด แต่ไม่เก่งสักเรื่อง ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
คนเก่งจริง ทำไม่กี่อย่าง เก่งไม่กี่เรื่อง แต่ทำและเก่งอย่างโดดเด่น
1ทธ.2:7             และสำหรับการนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต และเป็นครูสอนความเชื่อและความจริงแก่คนต่างชาติ
เปาโล เลือกเก่ง แค่ 3 อย่าง คือ ผู้ประกาศ อัครทูต และครูสอน (ทั้งๆ ที่ระดับท่านจะเป็นอีกกี่อย่างก็ได้)

ยน.15:8             พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา
การเป็นผู้ที่สอนได้ พัฒนาไม่สิ้นสุด และมีความสร้างสรรค์เสมอ
ก็มีชีวิตที่เกิดผล และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา

No comments:

Post a Comment