Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ บุคคลผู้เป็นสุข ” ตอน 6 จาก “ มธ.5:3-11 ”

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -30-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

รื่อง บุคคลผู้เป็นสุข ตอน 6 จาก มธ.5:3-11

                มธ.5:3-11               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลมบุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกบุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบบุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้าบุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตรบุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
                พระวจนะในตอนนี้ เป็นลักษณะของบุคคลผู้เป็นสุข เป็นแนวทาง เป็นเคล็ดลับ เป็นกุญแจ เป็นหนทางที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ โดยมีรายละเอียดทั้งหมด 9 ประการ

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 1 (มธ.5:3) บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 2 (มธ.5:4) บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 3 (มธ.5:5) บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 4 (มธ.5:6) บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
(สอนรายละเอียดไปแล้วในตอนที่ 1-5)

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 5 (มธ.5:7) บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
พระวจนะในตอนนี้ เป็นกุญแจดอกที่ 5 ที่จะทำให้เรามีความสุข
ลูกของพระเจ้านั้น หากอยากมีความสุข เราก็ต้องเอาแนวทางของพระเจ้ามาใช้

1. พระวจนะทุกข้อ เป็นกฎสวรรค์ เป็นรหัสของพระเจ้า
มธ.5:7                     บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
พระวจนะใน มธ.5 นี้ เป็นพระพรสองชั้นที่เราจะได้รับจากพระเจ้า
ชั้นที่ 1 คือ เป็นสุข ชั้นที่ 2 คือ รับพระพรพิเศษจากพระเจ้า
เช่น รับแผ่นดินสวรรค์ รับการปลอบประโลม และรับพระกรุณาตอบ เป็นต้น
แต่ผู้ใดจะเป็นสุขได้ ผู้ใดจะได้รับพระพรได้ พระวจนะของพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว
ทุกคำ ทุกข้อของพระเจ้าเป็นรหัส เป็นพาสเวิร์ด เมื่อลงมือปฏิบัติตาม ก็จะมีผลออกมาตามที่พระเจ้าทรงตรัส

วว.20:12                 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้วทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆ ก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ        
ทุกสิ่งที่เรากระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือของชีวิต
และพระเจ้าจะพิพากษาตามการกระทำของเราที่บันทึกไว้ในหนังสือนั่นแหละ

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -31-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สดด.19:7-9            กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจดถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น
กฎหมาย กฎเกณฑ์ของพระเจ้า คือ พระวจนะนั้นแน่นอน
โลกดิจิตอลสอนเรา รหัสหรือพาสเวิร์ดที่วางไว้ หากกดผิดก็ไม่ทำงาน
พระพรของพระเจ้าก็เช่นกัน เราไม่ทำตามรหัสของพระเจ้า เราก็ไม่ได้รับพระพร

มธ.5:18                   เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆ หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
ทุกสิ่งในโลก แม้วันหนึ่งจะล่วงไป แต่พระคำของพระเจ้าหาได้ล่วงไปไม่
จนกว่าสิ่งที่บันทึกไว้ได้เกิดขึ้น นี่คือ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระวจนะ
ดั้งนั้น ผู้ใดอยากได้รับพระพร ผู้นั้นต้องทำเอาเอง เหมือนคำว่า “ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง”
พระพรก็เช่นไม่มีขาย อยากได้เราต้องทำเอาเอง โดยกระทำตามพระวจนะพระเจ้า

1.1 ใจกรุณา ตรงข้ามกับ ใจโหดเหี้ยม ใจโกรธ และใจร้าย
อฟ.4:31-32             จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคืองและใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น
คนที่มีใจกรุณา จะไม่ทำร้าย ไม่ทำลาย และไม่พูดจาให้ผู้อื่นเสียหาย
เพราะใจเขาไม่ได้เป็นใจที่โหดเหี้ยม ไม่เป็นใจที่โกรธ และไม่เป็นใจที่ห่ำหั่น
คนพูดร้าย ทำลายผู้อื่น แสดงว่า ไม่ได้เป็นคนที่มีใจกรุณา และคนประเภทนี้ ไม่มีวันที่จะมีความสุข

1.2 ใจกรุณา เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
กท.5:22                  ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ
ผลของพระวิญญาณในข้อนี้เน้นที่ ความปรานี คือ ความกรุณา
คนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน จะมีใจกรุณา
คนที่ไม่มีใจกรุณา แสดงว่า เป็นคนที่ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าในชีวิต

1.3 ใจกรุณา เป็นใจของพระเยซู
ผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นก็มีใจของพระเยซู
หลายคนบอกว่ามีพระเยซูอยู่ในใจ แต่ไม่เคยกรุณาผู้ใด ผู้นั้นมิได้ถือว่ามีใจพระเยซู แต่มีใจผี มีใจมารอยู่ในตัว

ก. มธ.9:36              เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง...
ผลของใจกรุณา คือ มีความสงสาร
ใจของพระเยซูนั้น รู้สึกสงสาร เมื่อเห็นคนถูกรังควาน และเห็นคนไร้ที่พึ่ง
คนเจ็บ คนเป็นโรค คนป่วยไข้ คนไม่มีที่พึ่ง พระเจ้าไม่ได้สมน้ำหน้า แต่พระเจ้าทรงสงสาร
นี่คือ สวรรค์บนแผ่นดินโลก นี่คือ แผ่นดินของพระเจ้าที่อยู่ในโลก
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -32-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ข. มธ.14:14            ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย
พระเยซูทรงสงสารคนหมู่ใหญ่ ไม่เพียงแต่ทรงรักษาโรคพวกเขาเท่านั้น
แต่พระองค์ยังทรงกระทำการอัศจรรย์โดยการเลี้ยงคนจำนวนมากด้วยขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว
ถึงกระนั้นพระคัมภีร์ ก็ยังบันทึกว่า
“เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม” (มธ.18:20)
ความสงสารของพระเยซู ส่งผลให้พระองค์รักษาโรค และทำให้ผู้หิวได้อิ่ม
ความสงสารของเรา ต้องมีการแสดงออกอย่างพระองค

ค. มธ.20:34            พระเยซูมีพระทัยสงสาร ก็ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขา ในทันใดนั้นตาของเขาก็เห็นได้ และเขาทั้งสองได้ติดตามพระองค์ไป
คนตาบอด ร้องให้พระองค์ทรงช่วย ยิ่งคนห้าม เขายิ่งร้องเสียงดัง
เมื่อพระเยซูได้ยินคำขอร้อง ก็ทรงสงสาร จึงรักษาเขาให้หายบอด
เราไม่มีอิทธิฤทธิ์ทำให้ใครหายบอดได้เหมือนพระเยซู แต่เราสามารถมีใจกรุณาอย่างพระองค์ได้

ง. มธ.23:37             โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
พระเยซูนั้น ทรงมีพระทัยสงสาร แม้กระทั่งกับพวกที่ด่าพระองค์ ปองร้ายพระองค์
ใครทำร้ายพระเจ้า พระองค์มิได้ทรงสาปแช่ง เพราะการสาปแช่งนั้น เป็นวิชาของมาร เป็นเดรัจฉานวิชา
ใครทำสิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งนั้น ให้ร้ายผู้อื่น ตัวเองก็รับการร้าย แช่งด่าผู้อื่น ตัวเองก็รับการแช่งด่า
มีใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ก็รับความเมตตากรุณาตอบ พระเจ้าทรงพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว

จ. มก.1:40-42         คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลวิงวอนพระองค์ว่า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้ พระเยซูทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องคนนั้น ตรัสแก่เขาว่า เราพอใจแล้ว จงหายเถิด ในทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย และคนนั้นก็สะอาด
คนโรคเรื้อน ถือว่าเป็นมลทิน แต่ในขณะที่ทุกคนรังเกียจ พระเยซูกลับสงสาร
ขณะที่คนอื่นห่างไกล พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสรักษาเขา
นี่คือ ความกรุณาที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นการกระทำ

ฉ. ลก.7:13-15        เมื่อพระองคได้ทรงเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสว่า อย่าร้องไห้ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้นเถิด คนที่ตายนั้นก็ลุกนั่งเริ่มพูดพระองค์จึงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา
พระเยซู ทรงเห็นหญิงม่ายที่สามีเสียชีวิต และลูกชายตาย พระองค์ก็ทรงสงสาร
หลายคนทำดีภายนอก แต่ไม่ได้มาจากใจดี มาจากใจเล่ห์เหลี่ยม ทำดีเอาหน้า
แต่พระเยซูทรงกระทำดี มาจากพระทัยที่ดีของพระองค์
เห็นคนทุกข์ แล้วมีความเมตตา เห็นคนถูกทอดทิ้ง แล้วมีใจกรุณา
คือ แก่นธรรมะที่แท้จริงของทุกศาสนา

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -33-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ช. ยน.11:33-35      เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเองศพเขาไปไว้ที่ไหน เขาทูลพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด พระเยซูทรงพระกันแสง
พระเยซู ทรงเมตตาต่อครอบครัวของลาซารัส พระองค์ทรงกันแสง
สอนเราเพิ่มเติมในข้อนี้ว่า “ความรู้สึกที่แสดงออก ไม่ได้มาจากความบาปหรือกิเลส แต่มาจากความรับผิดชอบ”
พระเยซู ทรงกริ้ว เมื่อเห็นคนเอาศาสนามาหากิน , พระเยซู ทรงกันแสง เมื่อคนที่พระองค์ทรงรักตาย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นบาป หากเกิดจากในบริสุทธิ์

2. ความกรุณา เป็นศาสนาที่แท้จริง, เป็นแก่นของธรรมะ,  เป็นหัวใจ เป็นเลือดเนื้อ และเป็นวิญญาณของพระเจ้า
1ยน.4:8                  ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
ตัวอย่าง บุคคลที่ผู้ดำเนินกับพระเจ้า และมีใจกรุณาอย่างพระองค์
2.1 เอโนค
ปฐก.5:24                เอโนค ดำเนินกับพระเจ้า แล้วหายหน้าไป เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป
คนที่จะเดินเคียงคู่กับพระเจ้าได้ ต้องมีใจอย่างเดียวกับพระองค์
คือ มีความยุติธรรม มีใจกรุณา และถ่อมใจกับพระเจ้า
มคา.6:8                   มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า
พระองค์ไม่ได้ฟังที่เราพูด แต่พระเจ้าดูที่เราทำ (ทำเป็นปกติ ทำเป็นประจำ)

2.2 โนอาห์
ปฐก.6:9                  ...โนอาห์ เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยของเขา โนอาห์ดำเนินกับพระเจ้า
โนอาห์ชอบธรรม และดีพร้อม เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
ไม่มีอะไรที่พระเจ้าจะโปรดปรานไปมากกว่าการมีความกรุณา

2.3 โยบ
โยบ.1:1  มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย
โยบ เป็นคนยำเกรงพระเจ้าและหันจากสิ่งชั่วร้าย
เราต้องเข้าใจว่า เราอยู่ในโลกที่ชั่วร้าย เราเอาความชั่วร้ายออกจากโลกไม่ได้
เราต้องเจอกับคนชั่วร้าย และคนสกปรก แต่เราไม่จำเป็นต้องชั่วร้ายหรือสกปรกอย่างเขา

2.4 โครเนลิอัส
กจ.10:2                   ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชนและอธิษฐานพระเจ้าเสมอ
ความยำเกรงพระเจ้า ก่อให้เกิดความกรุณา การให้ทานเสมอ เป็นการแสดงถึงใจที่กรุณา

2.5 บารนาบัส
กจ.11:24                 บารนาบัสเป็นคนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความเชื่อ จำนวนคนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -34-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เป็นคนดี คือ มีเมตตา มีคุณธรรม คนอย่างนี้จึงจะเกิดผลในทางของพระเจ้า

2.6 อานาเนีย
อานาเนีย คือ คนที่วางมือบนเซาโล ตาม กจ.9:10-19
กจ.22:12           มีคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นคนถือธรรมบัญญัติเคร่งครัดและมีชื่อเสียงดีเป็นที่นับถือของพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น
พระวจนะตอนนี้เป็นรายละเอียดของอานาเนีย ที่กล่าวโดยเปาโล
ยี่สิบสองข้อสิบสอง รายละเอียดของอานาเนีย เป็นคำพูดของเปาโล

2.7 ทิโมธี
ฟป.2:20-22            ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง เพราะว่าคนอื่นๆ ย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์ แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้ว ว่าเขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา
เปาโล เขียนชมเชยลักษณะชีวิตของทิโมธี

ทั้ง 7 บุคคลที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ ถือเป็นบุคคลที่พระเจ้าพอพระทัย
เป็นคนที่มีศาสนา มีพระเจ้าแท้จริง เพราะมีใจกรุณา เป็นคนที่มีแก่นสารชีวิต มีธรรมะ
และที่สำคัญ คือ มีหัวใจ มีเลือดเนื้อ และมีวิญญาณของพระเจ้าในชีวิต

3. การแสดงความเมตตากรุณาที่เป็นรูปธรรม 9 ประการ
คนที่จะแตะโลกหรือคว่ำโลกได้ ไม่ได้แตะด้วยความแข็งแกร่ง แต่แตะด้วยความอ่อนสุภาพ
คนมีบารมี คือ คนมีความดี มีคุณธรรม มีใจเมตตา
เช่น พระเยซูคริสต์, พระพุทธเจ้า, มหาตมะ คานธี อยู่ในใจของคน
ไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะใจกรุณา เพราะความดี
ความเมตตากรุณาพูดง่าย แต่จะสรุปได้อยู่ที่การกระทำ
ความเมตตากรุณา ใครพูดก็ดูดี ฟังเพราะ แต่ยังสรุปไม่ได้
จนกว่าสิ่งที่เขาพูด ได้แสดงออกเป็นการกระทำ (ที่เขาทำเป็นประจำ และเป็นนิสัย)

3.1 นายคุกกลับใจ กราบเท้าและล้างแผลให้เปาโล (ผู้ซึ่งตนเองสั่งจำคุก)
กจ.16:29                 นายคุกจึงสั่งให้จุดไฟมา แล้วตัวสั่นวิ่งเข้าไปกราบลงที่เท้าของเปาโลกัลสิลาส
กจ.16:33                 ในกลางคืนชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง นายคุกจึงพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และในขณะนั้น นายคุกก็ได้รับบัพติศมาพร้อมทั้งครัวเรือนของเขา
เมื่อเปาโล และสิลาสถูกจับ พวกเขาอธิษฐานและนมัสการพระเจ้าจนประตูคุกเปิด
นายคุก จึงเกิดความยำเกรงพระเจ้า และเกรงกลัวผู้รับใช้พระเจ้า จึงกลับใจ
เป็นจุดกำเนิดของคริสตจักรเมืองฟิลิปปี

เมื่อท่านกลับใจแล้วจึงตระหนักว่าทำผิดต่อผู้รับใช้พระเจ้า
ท่านจึงแสดงการกลับใจ ด้วยการพาเปาโลและสิลาสไปล้างแผล และจัดเลี้ยงอย่างดี
คนมีใจกรุณา ปากต้องพูด และมือต้องยื่นไปช่วยเหลือด้วย จึงจะถือว่าทำได้ครบ
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -35-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

3.2 ชาวสะมาเรีย แสดงใจเมตตา เป็นการกระทำ (พันแผล พาไปรักษาจนหาย)
ลก.10:33-35           แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้ วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้
ชาวสะมาเรีย ในสมัยนั้น พวกยิวถือว่าเป็นมลทิน เพราะเป็นลูกผสมระหว่างยิวกับต่างชาติ
ภาพลักษณ์ภายนอกเสียหายสำหรับมนุษย์ แต่ภายในกลับแตะพระทัยพระเจ้า
พระวจนะตอนนี้เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก คนไม่เคยรู้จักกัน แต่ช่วยอย่างสุดกำลัง
คนแบบนี้แหละ ที่จะเป็นใหญ่ในสวรรค์

3.3 ธิดาฟาโรห์ เมตตาต่อลูกชาวฮิบรู
อพย.2:6                  เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนามทรงเมตตาทารกนั้น ตรัสว่า นี่เป็นลูกชาวฮิบรู
ขณะนั้นฟาโรห์สั่งให้ฆ่าบุตรชายฮิบรูทุกคนที่เกิดมา
ธิดาฟาโรห์ แม้ไม่ใช่คริสเตียน แม้เป็นพวกไหว้รูปเคารพ
แต่กลับมีความเมตตา เมื่อเห็นทารกน้อย (โมเสส) ลอยมาตามแม่น้ำ
แม้รู้ทั้งรู้ว่า เป็นชาวฮิบรู นางยังทรงเมตตา รับเลี้ยงไว้ นี่คือ คุณธรรมที่เป็นรูปธรรม

นอกจากนี้เรื่องของโมเสสยังสอนเรา
บุคคลที่พระเจ้าเลือกไว้ เจิมไว้ แม้มีภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ต่างๆ แต่พระเจ้าจะพิทักษ์รักษาและป้องกันเขาไว้
ดังนั้น อย่าแตะต้องผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ เพราะวิบัติจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น

3.4 ชาวเกาะมอลตา มีความกรุณาต่อพวกของเปาโล
กจ.28:1-2               ครั้นรอดพ้นภัยแล้ว พวกเราจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อเกาะมอลตา ฝ่ายชาวพื้นเมืองมีความกรุณาแก่พวกเราอย่างผิดปกติ เขาก่อไฟรับรองเรา เพราะฝนตกและหนาว
ชาวเกาะมอลตา แม้ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่ก็เมตตาและต้อนรับลูกพระเจ้าเป็นอย่างดี
จนเปาโล ต้องกล่าวว่า พวกเขามีความกรุณาอย่างผิดปกติ
แววตาที่เป็นมิตร กิริยาที่อบอุ่น แสดงออกกับผู้ใด ก็ได้ใจผู้นั้น และเป็นความงดงามของชีวิตมนุษย์อีกด้วย

3.5 แม้ในกองทัพที่คุ้นเคยกับการเข่นฆ่า ยังต้องมีความเมตตา
2พศด.28:13-15      พูดกับเขาทั้งหลายว่า เจ้าอย่านำเชลยเข้ามาที่นี่ เพราะเจ้ามุ่งหมายที่จะนำโทษบาปมาเหนือเราต่อพระเจ้า เพิ่มเข้ากับบาปและกรรมชั่วในปัจจุบันของเรา เพราะว่ากรรมชั่วของเราก็ใหญ่โตอยู่ พระพิโรธอันแรงกล้าต่ออิสราเอลมีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ถืออาวุธจึงทิ้งเชลยและของที่ริบมาต่อหน้าเจ้านายและชุมนุมชนทั้งปวง และผู้ชายซึ่งถูกระบุชื่อนั้นได้ลุกขึ้นเอาเสื้อผ้า อันเป็นของที่ริบมาให้แก่คนที่เปลือยกายอยู่ในพวกเชลย และเขาก็นุ่งหุ่มให้เขาไว้ และให้รองเท้า และจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ และชโลมเขา และนำคนที่อ่อนเปลี้ย ในพวกเขาขึ้นลานำเขากลับมายังญาติพี่น้องของเขาที่เมืองเยรีโค...
ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ให้ข้อคิดแก่กองทัพ ขอให้ส่งเชลยศึกกลับบ้าน
เราทำชั่วมามากแล้ว ทำไมต้องทำชั่วต่อไปอีก เปลี่ยนเป็นการทำดีดีกว่า


บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -36-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

3.6 ความเมตตาของโยบ ที่แสดงออกเป็นการกระทำ
โยบ.29:15              ข้าเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด และเป็นเท้าให้คนง่อย
คนตาบอด มองเห็นได้ ถ้ามีคนตาดีช่วยเขา คนเป็นง่อย เดินได้ ถ้ามีคนขาดีช่วยเขา
เราต้องเป็นคนๆ นั้นที่ช่วยเหลือและเมตตาแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก

3.7 ความร่ำรวย จะมีความหมาย เมื่อหยิบยื่นให้คนจน
สภษ.31:20              เธอหยิบยื่นให้คนยากจน เธอยื่นมือออกช่วยคนขัดสน
ความร่ำรวยไม่มีความหมาย ถ้าไม่หยิบยื่นให้คนยากจน
แต่เราจะให้ได้มาก ก็ต่อเมื่อเรามีมาก แต่ท่าทีของการมีมากเราต้องถูกต้องด้วย คือ มีเพื่อให้ ไม่ใช่ อวด

3.8 ความเมตตา แสดงออก ด้วยการมีคำพูดที่หนุนใจคน
อสย.50:4                                พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน
พระเจ้าให้เรามี ... “ลิ้น”
มีไว้เพื่อหนุนใจ สอน ค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยด้วยถ้อยคำจากปากของเรา
นี่คือ ความเมตตาที่แสดงออก เป็นการกระทำ

3.9 เครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย คือ ไม่ละเลยการทำดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน
ฮบ.13:16                                จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุดในมนุษย์ คือ การทำดี
เราต้องไม่ละเลยในการทำดี และอย่าลืมที่จะแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกันด้วย
คนที่ประพฤติเช่นนี้ จึงจะกล่าวได้ว่า เป็นคนมีใจกรุณา

No comments:

Post a Comment