Saturday, March 26, 2011

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 12

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -76-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 12

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 12 ว่าด้วยเรื่อง สิทธิอำนาจ(ต่อ)
1. ความสำคัญแห่งสิทธิอำนาจ
2. สิทธิอำนาจของพระเจ้าใน 5 สถาบันที่เราต้องเข้าใจและยอมรับ
2.1 สิทธิอำนาจของพระเจ้าในคริสตจักรหรือศาสนจักร
ก. พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ มอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านคริสตจักร
ข. เมื่อโลกนี้สิ้นไป คริสตจักรจะปกครองร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์
ค. ในคริสตจักร ผู้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า คือ ผู้รับใช้ของพระองค์
ง. สิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ : ใครต้อนรับพระองค์ ผู้นั้น รับสิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้า
จ. คริสตจักรและผู้รับใช้ มีสิทธิอำนาจในการตัดชื่อผู้เชื่อออกจากสมาชิกสวรรค์
ฉ. สิทธิอำนาจเกี่ยวกับเงินถวาย
ช. สิทธิอำนาจในการบริหารราชกิจของพระเจ้า เป็นพระราชอำนาจของพระเจ้า
(1) พระเจ้าเป็นผู้เจิมแต่งตั้งผู้นำ
(2) พระเจ้าเจิมตั้งผู้นำ และเจิมผ่านการวางมือ
(สอนไปแล้วในตอนที่ 9-11)

(3) พระเจ้าเจิมตั้งเปโตรให้ประกาศกับอิสราเอลเท่านั้น
มธ.10:1-10        พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้อัครทูต {แปลว่า ผู้ที่ทรงใช้ไป} ... พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรียแต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่าจงไปพลางประกาศพลางว่า "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว"จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงินหรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่านหรือย่ามใช้ตามทาง หรือเสื้อ หรือถือไม้เท้า หรือสวมรองเท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน
พระเจ้าเรียกและประทานสิทธิอำนาจให้สาวก สิทธิอำนาจนั้น คือ การขับผีออก การรักษาโรคได้
และพระเยซูคริสต์ทรงย้ำว่า อย่าไปหาพวกต่างชาติ แต่ให้ไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล
ถือเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการรบของพระเจ้า กว่าคนนอกจะเชื่อนั้นยาก
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -77-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เราต้องสร้างคนในของเราให้แข็งก่อน เพื่อจะสามารถรองรับคนนอกได้

พระเจ้าให้สิทธิอำนาจเปโตรในการประกาศกับอิสราเอลเท่านั้น
กท.2:7-10          แต่ตรงกันข้ามเมื่อเขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้น ที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต (เพราะว่าพระองค์ผู้ได้ทรงดลใจเปโตรให้เป็นทูต ไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต ก็ได้ทรงดลใจข้าพเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติเหมือนกัน) เมื่อยากอบกับเคฟาสและยอห์นผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลัก ได้เห็นพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส แสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และท่านเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัตท่านเหล่านั้นขอแต่เพียงไม่ให้เราลืมนึกถึงคนจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำ
พระเจ้าทรงเริ่มราชกิจของพระองค์ โดยการนำอิสราเอลก่อน แล้วจึงค่อยเรียกเปาโลให้ประกาศกับต่างชาติ

(4) พระเจ้าเจิมตั้งเปาโลให้ประกาศกับประชาชาติ กษัตริย์และอิสราเอล
กจ.9:15-16        ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า "จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอลเพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา"
อัครทูตรุ่นแรก ทำงานตั้งแต่พระเยซูคริสต์อยู่กับพวกเขา
แต่เปาโล เริ่มทำงานรับใช้พระเจ้าประมาณ ค.ศ.46-62
(ถ้าอยากรู้รายละเอียดให้เปิดดูแผนที่ด้านหลังพระคัมภีร์ จะเห็นเส้นทางการประกาศของเปาโล)

เมื่อก่อนเปาโลข่มเหงคริสเตียน แต่เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านๆ กลับถูกข่มเหงเสียเอง
เปาโล ยอมถูกข่มเหง เพื่อกระทำพระราชกิจของพระเจ้าให้สำเร็จ
เราจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ให้ดูที่เขาทำอะไร อย่าฟังที่เขาพูดเท่านั้น
หลายคนบอกว่าตัวเองเป็นผู้รับใช้ แต่ไม่เคยมีผลงานเป็นรูปเป็นร่าง
ย่อมไม่ใช่การเจิมจากพระเจ้า แต่เป็นความตั้งใจของตัวเขาเอง
ถ้าพระเจ้าเจิมตั้งใคร สิ่งนั้นจะศักดิ์สิทธิ์และสำเร็จตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เหมือนอย่างที่พระเจ้าเจิมเปโตรไปประกาศกับอิสราเอล และเจิมเปาโลให้ประกาศกับประชาชาติ

(5) ทุกการเจิม เพื่อประโยชน์แก่อาณาจักรพระเจ้าเท่านั้น
ไม่ว่าพระเจ้าจะเจิมตั้งใคร ก็เพื่อประโยชนแก่อาณาจักรของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเท่านั้น
และผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ย่อมรับพระพร
1คร.12:4-7         ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้มีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆ ในทุกคนการสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
อฟ.2:19-22        เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -78-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ทรงเป็นศิลามุมเอก ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
เราทุกคนก็เหมือนอวัยวะต่างๆ ในกายเดียวกัน ทุกอวัยวะล้วนทำงานเพื่อร่างกาย
เราทุกคนเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเติบโตขึ้นด้วยรากฐานที่อัครทูตวางไว้
เราทุกคนต้องร่วมกันก่อ ต้องร่วมกันทำงานรับใช้พระเจ้า
และจำไว้ว่าในงานของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยใส่ความสามารถให้ใครคนใดคนหนึ่ง
แต่พระเจ้าใส่ให้เราทุกคน ใช้เราทุกคนในงานของพระองค์

(6) พระเจ้าเป็นผู้เจิมแต่งตั้ง พระเจ้าก็มีสิทธิ์ปลด
การเจิมของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปคิดว่าพระเจ้าเจิมตั้งแล้ว เราจะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้
เพราะพระองค์ทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ เจิมได้ ก็ปลดได้เช่นกัน
ดังนั้น ผู้ที่รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า จึงต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก

ตัวอย่าง
1ซมอ.15:11       เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันกลับเสียจากการตามเรา และไม่ได้กระทำตามบัญญัติ ของเรา" และซามูเอลก็โกรธจึงร้องทูลต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง
1ซมอ.15:19-23   เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ไปเฉี่ยวทรัพย์สิ่งของต่างๆและกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตร พระเจ้า" และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปประกอบกิจตามที่พระเจ้าทรง ใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้คุมตัวอากักพระราชาแห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขเสียอย่างสิ้นเชิงแต่พวกพลได้เก็บส่วนของทรัพย์เชลยรวมทั้งแกะและโคส่วนที่ดีที่สุดจากของซึ่งกำหนดให้ทำลายนั้น เพื่อนำมา เป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล"และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุร เสียงของพระองค์หรือดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์"
พระเจ้าเป็นผู้เจิมตั้งซาอูลให้ทำหน้าที่กษัตริย์ แต่ซาอูลกลับมาทำหน้าที่ปุโรหิต
ถือเป็นการขัดคำสั่ง และละเมิดสิทธิอำนาจของพระเจ้า
คิดว่าพระเจ้าเจิมตั้งเป็นกษัตริย์ จะสามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้
ผลสุดท้าย พระเจ้าจึงต้องปลดซาอูลออกจากตำแหน่ง
ซาอูลนั้น ไม่มีความผิดด้านศีลธรรมเลย แต่ผิดคำสั่งพระเจ้า ละเมิดสิทธิอำนาจ
รับโทษทั้งโลกนี้และโลกหน้าจากพระเจ้า
ทุกอำนาจมีขอบเขต เราจะอยู่ในอำนาจนั้นได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในขอบเขต

1ซมอ.16:6-13    อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า "ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแน่ แล้ว"แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -79-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้"แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ" เจสซีตอบว่า "ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดู เถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่" และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะ มาที่นี่"เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเจ้าตรัสว่า "จงลุกขึ้น เจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ"ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับดาวิด อย่างมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์
เมื่อพระเจ้าทรงปลดซาอูล พระองค์จึงทรงเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์แทน
และตลอดชีวิตของดาวิด แม้มีคนปองร้าย หรือแม้เขาทำผิดด้านศีลธรรม แต่กลับใจ
พระเจ้าป้องกัน พิทักษ์รักษา และอวยพรเพราะเป็นผู้รับสิทธิอำนาจจากพระองค์

(7) พระเจ้าทรงเจิมตั้ง 5 ขุนพล ผู้นำฝ่ายวิญญาณสูงสุดของคริสตจักร
อฟ.4:11             ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาลและอาจารย์
เป็นของประทานของพระเจ้าให้คริสตจักรสากล เป็นได้เพราะการเจิมของพระเจ้าเท่านั้น
โรงเรียนพระคัมภีร์ มีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ แต่ใครจะเป็นอะไร อยู่ที่การเจิมของพระเจ้าเท่านั้น
บางคนสอบเรื่องอัครทูตได้เกียรตินิยม แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้เจิมให้เขาเป็นอัครทูต
เขาก็เป็นไม่ได้ ทำไม่ได้ การงานไม่เกิดผล
หลายคริสตจักรไม่เติบโต เพราะไปจ้างนักศึกษาที่จบพระคัมภีร์มาเป็นศิษยาภิบาล
ตราบใดที่เขาไม่ได้รับการเจิมจากพระเจ้าให้เป็น ต่อให้จบปริญญาเอกก็ไม่สามารถทำงานได้เกิดผล

(8) พระเจ้าเจิมตั้งผู้นำท้องถิ่น เช่น ศิษยาภิบาล คณะผู้ปกครอง มัคนายก
ทต.1:5              เหตุที่ข้าพเจ้าละท่านไว้ที่เกาะครีต ก็เพื่อท่านจะได้แก้ไขสิ่งที่ยังบกพร่องให้เรียบร้อย และตั้งผู้ปกครองไว้ทุกเมืองที่ข้าพเจ้ากำชับท่าน
ทีมงานทั้งหมดของเปาโล ไม่ว่าจะเป็นทิโมธี ฟิเลโมนหรือทิตัส
ล้วนรับมอบอำนาจจากเปาโลในการเลี้ยง สร้างและปกครองคริสตจักร

การเจิมตั้งผู้นำท้องถิ่นนี้ ไม่ใช่คิดจะเจิมใครก็ได้ ต้องดูคุณสมบัติที่เหมาะสมด้วย
ทต.1:6-8            คือตั้งคนที่ไม่มีข้อตำหนิ เป็นสามีของหญิงคนเดียว บุตรของเขามีความเชื่อ และไม่มีช่องทางให้ผู้ใดกล่าวหาว่า บุตรนั้นเป็นนักเลงหรือเป็นคนดื้อกระด้างเพราะว่าผู้ปกครองดูแลนั้น ในฐานะที่เป็นผู้รับมอบฉันทะจากพระเจ้า ต้องเป็นคนที่ไม่มีข้อตำหนิ ไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนเลือดร้อน ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้และ

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -80-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ไม่เป็นคนโลภมักได้แต่เป็นคนมีอัชฌาสัยรับแขกดี เป็นผู้รักความดี เป็นคนมีสติสัมปชัญญะ เป็นคนยุติธรรม เป็นคนบริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง
ผู้รับใช้ จะตัดสินอะไรต้องตัดสินตามพระคัมภีร์ ไม่ใช่ ตัดสินตามประเพณี

หน้าที่ของคณะผู้ปกครอง
กจ.11:29-30       พวกสาวกทุกคนจึงตกลงใจว่า จะเรี่ยไรกันตามกำลังฝากไปช่วยบรรเทาทุกข์พวกพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดีย เขาจึงได้ทำดังนั้น และฝากไปกับบารนาบัสและเซาโลเพื่อนำไปให้พวกผู้ปกครอง
คณะผู้ปกครอง มีหน้าที่ดูแลรายรับรายจ่ายในคริสตจักรให้เรียบร้อย

กจ.20:17,28       เปาโลจึงใช้คนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส ให้เชิญพวกผู้ปกครองในคริสตจักรนั้นมา, ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้ปกครองคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
คณะผู้ปกครอง มีหน้าที่ปกครองฝูงแกะให้อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเอง

กจ.15:1-2     มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส จะรอดไม่ได้เมื่อเกิดการโต้แย้งและไล่เลียงกัน ระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายได้ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆในพวกนั้นให้ขึ้นไปหารือกับอัครทูตและผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องที่เถียงกันนั้น
คณะผู้ปกครอง มีหน้าที่ร่วมแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรร่วมกับคณะผู้นำฝ่ายวิญญาณ
จากพระวจนะตอนนี้ เป็นการขัดแย้งในข้อเชื่อ

1ทธ.5:17           จงถือว่าผู้ปกครองที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เทศนาและสั่งสอน
ผู้ปกครองบางท่าน มีความสามารถในการเทศนาสั่งสอนด้วย
แต่ไม่ใช่หน้าที่หลักของคณะผู้ปกครอง แต่ใครที่ทำได้ ก็สมควรได้รับเกียรติ

ยก.5:14             มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
คณะผู้ปกครอง มีหน้าที่อธิษฐานเผื่อบรรดาผู้เจ็บป่วย

1ทธ.3:1             คำนี้เป็นคำจริง คือว่าถ้าผู้ใดปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร ผู้นั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ
การทำหน้าที่ผู้ปกครองคริสตจักรนั้น ถือเป็นการงานที่ประเสริฐถวายพระเจ้า
แต่ถ้าผู้ใดรับตำแหน่งแล้ว ไม่ทำหน้าที่ ก็ถือว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ประเสริฐให้กับพระองค์


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -81-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

หน้าที่มัคนายก
ฟป.1:1              เปาโล และทิโมธี ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ เรียน บรรดาธรรมิกชนในพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ในเมืองฟีลิปปี ทั้งบรรดาผู้ดูแลและมัคนายก
พระเจ้าเจิมแต่งตั้งมัคนายก คือ ผู้รับใช้พระเจ้าฝ่ายธุรการ
กจ.6:1-3            ในคราวนั้นเมื่อศิษย์กำลังทวีมากขึ้น พวกนิยมกรีกบ่นติเตียนพวกฮีบรูว่า ในการแจกทานทุกๆวันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกแม่ม่ายชาวกรีกฝ่ายอัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้ประชุมกัน แล้วกล่าวว่า "ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้า มัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายจงเลือกเจ็ดคนในพวกท่าน ที่มีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาให้ดูแลการงานนี้
ดูแลความเรียบร้อยของสมาชิกในคริสตจักร ให้มีความอบอุ่น ให้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
เพื่อสนับสนุนให้คณะผู้นำฝ่ายวิญญาณ ทำงานของท่านได้เต็มที่

(ขออภัยเนื่องจากเวลาในการสอนแต่ละรุ่นจำกัด
ดังนั้น ในเรื่องสิทธิอำนาจจึงมีการสอนและลงรายละเอียดเฉพาะสิทธิอำนาจของพระเจ้าในคริสตจักรเท่านั้น)


เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 10

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -64-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง “ คำสอนอันมีหลัก ” (ภาค 1) ตอน 10

2ทธ.4:3-5          เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ
            การเข้าใจ และเข้าถึงคำสอนอันมีหลัก จะทำให้ชีวิตคริสเตียนมีหลัก และส่งผลให้การรับใช้พระเจ้าเกิดผล เราจะไม่ถูกซัดไปเซมา หรือหันไปเหมา เพราะลมปากของมนุษย์ แต่เราจะมีจุดยืนบนพระวจนะของพระเจ้า

คำสอนอันมีหลัก ตอน 10 ว่าด้วยเรื่อง สิทธิอำนาจ(ต่อ)
1. ความสำคัญแห่งสิทธิอำนาจ
2. สิทธิอำนาจของพระเจ้าใน 5 สถาบันที่เราต้องเข้าใจและยอมรับ
2.1 สิทธิอำนาจของพระเจ้าในคริสตจักรหรือศาสนจักร
ก. พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ มอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านคริสตจักร
ข. เมื่อโลกนี้สิ้นไป คริสตจักรจะปกครองร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์
(สอนไปแล้วในตอนที่ 9)

ค. ในคริสตจักร ผู้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า คือ ผู้รับใช้ของพระองค์
(1) ผู้รับใช้ สามารถให้คำพรหรือคำสาปได้
มธ.16:19           เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย
พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ มอบสิทธิอำนาจของพระองค์ไว้กับคริสตจักร
ผู้ที่ใช้กุญแจและสิทธิอำนาจนั้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ ผู้รับใช้ที่รับการเจิมจากพระองค์
ไม่ได้หมายถึง ผู้รับใช้จะเป็นมนุษย์ที่สูงส่งกว่าผู้อื่น แต่เรื่องนี้เป็นสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
เป็นการมอบและกระจายอำนาจของพระเจ้ามาถึงประชากรของพระองค์
สำหรับผู้รับใช้นั้น ยิ่งมีอำนาจจากพระเจ้ามาก ก็ยิ่งต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้ามากเช่นกัน
จะใช้อำนาจหรือกุญแจนั้นแบบส่งเดชไม่ได้ แต่ต้องใช้ตามแนวทางของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าเท่านั้น

มธ.10:5-10        สิบสองคนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า จงไปพลางประกาศพลางว่า "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆจงให้เปล่าๆ อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงินหรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน หรือย่ามใช้ตามทาง หรือเสื้อ หรือถือไม้เท้า หรือสวมรองเท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน
พระเยซูทรงส่งสาวก (ผู้รับใช้) ออกไปทำงาน พร้อมทั้งมอบสิทธิอำนาจให้พวกเขาด้วย
โดยให้เขา ประกาศข่าวประเสริฐ รักษาคนเจ็บป่วย และขับผีออก
คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -65-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

และในสมัยนั้น ผู้รับใช้มีหน้าที่ทำงานรับใช้พระเจ้าเพียงอย่างเดียว
พระเยซูคริสต์ไม่อนุญาตให้ทำงานอย่างอื่น โดยพระองค์เป็นผู้เลี้ยงดูพวกเขาเอง
แต่ภายหลังในยุคอัครทูตเปาโล พระเจ้าอนุญาตให้ทำงานไปและรับใช้พระเจ้าไปด้วยได้

มธ.10:11-15       เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้น จนกว่าจะจากไปขณะเมื่อขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้นถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของท่านอยู่กับเรือนนั้น แต่ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่ท่านอีกถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย เพื่อแสดงว่าท่านไม่รับผิดชอบต่อไปเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น
พระวจนะตอนนี้สำคัญมาก เล็งถึง สิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้ผู้รับใช้ ในการให้คำพรหรือคำสาป
ผู้รับใช้ ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นผู้แทนพระองค์ และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากพระเจ้า
ต่อผู้ที่มีท่าทีถูกต้อง ผู้รับใช้สามารถให้พรและสันติสุขของพระเจ้าดำรงอยู่กับครัวเรือนนั้นได้
ส่วนผู้ที่มีท่าทีผิดนั้น แม้ผงคลีที่ติดเท้าพระเจ้ายังให้ผู้รับใช้สะบัดออก
และครัวเรือนนั้นจะต้องรับโทษหนักยิ่งกว่าที่เมืองโสโดม (เมืองที่เต็มไปด้วยความบาป) รับเสียอีก

ดังนั้น เมื่อเราต้อนรับผู้รับใช้พระเจ้า ต้องต้อนรับเขาในฐานะตัวแทนของพระเจ้า
ทำอย่างไรกับผู้รับใช้ ก็เท่ากับทำอย่างนั้นกับพระเจ้า
เกาหลีใต้เป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้า ก็เพราะเขาให้เกียรติและเคารพผู้รับใช้พระเจ้า
เพราะถือเป็นเรื่องสิทธิอำนาจของพระองค์

มลค.3:10-12      พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร ด้วยว่าเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ
ผู้รับใช้ สามารถอวยพรเราผ่านการถวายทศางค์อย่างเต็มขนาดในพระนิเวศของพระเจ้า
ทศางค์ คือ สิบลด (10% ของรายได้สุทธิ) เป็นเงินของพระเจ้า ต้องนำมาคืนสู่ท้องพระคลัง
(คือ คริสตจักรท้องถิ่นที่เราเป็นสมาชิกอยู่)
ทศางค์นั้น พระเจ้าอนุญาตให้ใช้ในราชกิจของพระองค์ เพื่อดูแลและสนับสนุนเลวี (ผู้รับใช้)
รวมทั้งขยายอาณาจักรของพระเจ้า (ไม่ใช่มีไว้ฝากเป็นเงินเก็บ แต่ไม่มีผลต่อการนำคนมาถึงพระองค์)
ผู้รับใช้ ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าในการใช้ทศางค์นั้นอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ถวายได้รับพระพร

(2) ผู้รับใช้ ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้าและประชากรของพระองค์

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -66-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

กว่าที่พระเจ้าจะทรงเจิมใช้ผู้ใด พระเจ้าต้องมั่นใจว่าเขาสามารถใช้ได้
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า อำนาจมาก ก็ย่อมต้องรับผิดชอบมากเช่นกัน
พระวจนะของพระเจ้าสมดุล สอนว่าเราต้องให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า
แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงสอนให้ผู้รับใช้มีท่าทีที่ถูกต้อง สมควรกับเกียรตินั้นเช่นกัน

มธ.20:26-28       แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลายถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่านอย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
ผู้รับใช้ ต้องเลียนแบบชีวิตจากพระเจ้า
ไม่ใช่เป็นเจ้านาย แต่เป็นทาสสมัคร มาเพื่อปรนนิบัติ ไม่ใช่รับการปรนนิบัติ
ทำงานพระเจ้า เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่สร้างอาณาจักรของตัวเอง

เปาโล ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ กระทำหมายสำคัญให้คนง่อยลุกขึ้นได้โดยสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
เมื่อผู้คนเห็นก็แห่พากันมานมัสการเปาโลเป็นพระเจ้า
กจ.14:11-15       เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า "พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว"เขาจึงเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส เพราะเปาโลเป็นคนพูดปุโรหิตประจำรูปพระซุสซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงโค และถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชนแต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินดังนั้น จึงฉีกเสื้อผ้าของตนเสียวิ่งเข้าไปท่ามกลางคนทั้งหลายร้องว่าดูก่อนท่านทั้งหลาย เหตุไฉนจึงทำการอย่างนี้ เราเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย และมากล่าวข่าวประเสริฐให้ท่านกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ ให้ท่านมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทะเลและสิ่งสารพัด ซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น
แต่ท่าทีของเปาโล คือ ให้เกียรติพระเจ้า สอนให้คนนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่นมัสการตัวเอง
หลายคนอ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้ แต่แทนที่จะสอนให้คนผูกพันกับพระเจ้า กลับสอนให้คนผูกพันกับตัวเองแทน
ใครที่ใช้คำสอนของพระเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่พระเจ้า วิบัติจะเกิดแก่ผู้นั้น

ผู้รับใช้ที่แท้จริง ชีวิตต้องตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้
สอนให้ใครทำอะไร เป็นอะไร ผู้รับใช้ต้องทำและเป็นให้ได้ก่อน
และต้องไม่ทำหรือเป็นเพื่อเอาหน้า แต่ต้องทำหรือเป็น ... เพราะสิ่งนั้นเป็นชีวิตและจิตวิญญาณของเรา
ผู้รับใช้ที่แท้จริง ต้องมีความรู้ในเรื่องพระคัมภีร์
เข้าใจและสามารถถ่ายทอดพระราชโองการของพระเจ้าถึงประชากรของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
ผู้รับใช้ที่แท้จริง ต้องมีผลงานในการรับใช้เป็นเครื่องยืนยันถึงการเจิม
นำคนได้ สอนคนได้ เลี้ยงคนได้ สร้างคนได้
เหล่านี้ คือ คุณสมบัติของผู้รับใช้ที่จะรับสิทธิอำนาจจากพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์


คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -67-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

(3) เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า
เราต้องร่วมกันสร้างสถาบันของพระเจ้าให้เข้มแข็ง เริ่มต้นจากการมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้
เขาควรรับเกียรติ เพราะเขาทำงานที่มีเกียรติเพื่อพระเจ้า
ถ้าสถาบันของพระเจ้าเข้มแข็ง คนดี คนเก่ง ก็อยากจะทำงานรับใช้พระองค์
ถ้าได้คนดี คนเก่งมาทำงาน ราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ขยายได้ง่ายขึ้น
แต่ทุกวันนี้ที่คนดีๆ ไม่ค่อยอยากรับใช้ เพราะประชากรส่วนมากมีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง
เห็นผู้รับใช้ เป็นยิ่งกว่าทาส ทั้งสะดุด ทั้งติฉินนินทา ใครจะมีกำลังใจในการรับใช้
เราเรียนเรื่องสิทธิอำนาจ ก็เพื่อที่จะให้พระเจ้าอวยพรตัวเรา
อวยพรงานพระเจ้าและอวยพรคริสตจักรของพระองค์ผ่านความเข้าใจที่ถูกต้องของเรา

มธ.10:40           ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา
พระเยซูสอนท่าทีต่อผู้รับใช้พระเจ้าอย่างชัดเจน
ต้อนรับผู้รับใช้ ก็เท่ากับต้อนรับพระเจ้า ปฏิบัติกับผู้รับใช้อย่างไร ก็เท่ากับปฏิบัติกับพระเจ้าอย่างนั้น
ผู้รับใช้สมควรได้รับเกียรติ เพราะเขารับมอบหน้าที่จากพระเจ้าให้ดูแลลูกๆ ของพระองค์
ดูแลด้วยการสอน ด้วยการแนะนำ ด้วยการปรับปรุงแก้ไข และด้วยการเสริมสร้างชีวิต
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตผู้เชื่อต้องผ่านการวางมือจากผู้รับใช้
แรกเกิด ก็นำไปถวายบุตร ให้ผู้รับใช้อธิษฐานเผื่อ
แต่งงาน ก็ให้ผู้รับใช้ วางมืออธิษฐานเผื่ออีกเช่นกัน
และเมื่อต้องตายจากโลกนี้ ผู้ที่อธิษฐานเผื่อเป็นคนสุดท้ายก็ไม่พ้นผู้รับใช้พระเจ้า
นี่ยังไม่รวมการอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วย หรือช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ ปราศจากผู้รับใช้พระเจ้าไม่ได้เลย
ดังนั้น สมควรที่เราจะให้เกียรติ มีท่าทีและปฏิบัติต่อผู้รับใช้อย่างถูกต้อง

มธ.25:40           แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"
การทำดีต่อพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน ยังไม่ขาดบำเหน็จพระพรจากพระเจ้า
การทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์ จะรับบำเหน็จและพระพรมากขนาดไหน

ตัวอย่างท่าทีที่ถูกต้อง
กจ.16:13-15       มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังเราชื่อลิเดีย มาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วง เป็นคนที่ถือพระเจ้า หญิงนั้นได้ฟังเรา และพระเจ้าได้ทรงเปิดใจของเขาให้สนใจในถ้อยคำซึ่งเปาโลได้กล่าว เมื่อหญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเขาได้รับบัพติศมาแล้ว จึงอ้อนวอนเราว่า "ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในตึกของข้าพเจ้าเถิด" และเขาได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้
นางลิเดีย หญิงที่มีฐานะร่ำรวย ปฏิบัติต่อผู้รับใช้อย่างถูกต้อง

คำสอนอันมีหลัก ภาค 1                                               -68-                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ให้เกียรติ วิงวอน ขอร้องให้ผู้รับใช้มาพักด้วย เพราะเธอเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า
จำไว้ว่า ทุกครั้งที่เราต้อนรับผู้รับใช้ของพระองค์ บำเหน็จพระพรก็อยู่กับเรา

2พกษ.4:1-8       ผู้รับใช้ให้พรกับหญิงม่าย ผ่านท่าทีที่ถูกต้องของเธอ
2พกษ.4:8-10      วันหนึ่งเอลีชาเดินต่อไปถึงเมืองชูเนม เป็นที่ที่หญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านให้รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านทางนั้นไปเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหาร และนางได้บอกสามีของนางว่า "ดูเถิด ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า เดินผ่านบ้านเราอยู่เนืองๆ ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนหลังคาสำหรับท่าน วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น"
หญิงชาวชูเนม มีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้พระเจ้า
ครัวเรือนของนางก็ได้รับพระพรด้วย มีคนตาย แต่ผู้รับใช้อธิษฐานให้ฟื้นได้
ผู้รับใช้พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระพรของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ผู้รับใช้ไปที่ไหน นำพรไปที่นั่น

(4) พันธกิจของผู้รับใช้ที่จะต้องทำต่อผู้เชื่อ
แต่ละคนกว่าจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้ เป็นบุตรแล้วว่าจะเป็นทหารที่เข้มแข็ง
ต้องผ่านกระบวนการที่ผู้รับใช้พระเจ้าทำ ดังนี้
- ต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐ
รม.10:14           แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้
- ต้องมีการอธิษฐานนำรับเชื่อ
รม.10:9-10         คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอดด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
เป็นการรับใช้พระเจ้า นำวิญญาณถวายพระเจ้า
- ต้องเลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณ
ยน.1:12-13        แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกามหรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
ต้องสอนให้ผู้เชื่อเข้าใจว่า ผู้เดียวที่ทำให้เขารอดได้ คือ พระเยซูคริสต์
ไม่ใช่การอยู่ในโบสถ์คริสต์ หรือศาสนาคริสต์
มธ.10:32           เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์
เรารอดได้ ก็เพราะความเชื่อ ... แต่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็รับความรอด
ใครปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ชีวิตก็พินาศ ไม่รับความรอด
แต่การยืนหยัด ไม่ปฏิเสธ ยอมถูกข่มเหงเพราะนามของพระเจ้า จะรับพระพร